บทที่ 974 สมุดบันทึก
แววแห่งความมุ่งมั่นส่องประกายในดวงตาของฝูหย่า หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
นางก็แค่นเสียงเยาะ "บางที พวกเรากำลังไล่ตามติดเขาเกินไปใช่หรือไม่?
ผู้ชายคนนี้ก็เป็นแบบนี้ ยิ่งไล่ตามติดเท่าไร ก็ยิ่งจับตัวยากขึ้นเท่านั้น! ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป
พวกเราจะรออยู่ที่เรือนพักหลิงเย่วอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ออกไปไหน และไม่ทำอะไร ผ่านไปสักพักค่อยหารือกันอีกที!”
"เอาแบบนี้รึ!" เจียเสวี่ยจะไม่ค่อยยินดีนัก: การมาไล่ตามอยู่ที่นี่
อย่างน้อยนางก็ได้โผล่หน้ามาให้เห็นบ้าง ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง
ท่านโหวเกิดหวั่นไหวขึ้นมาวูบหนึ่ง ก็ทำให้เรื่องสำเร็จได้! หากไปอยู่กันอย่างปลีกวิเวกและไม่ทำอะไรเลย
มันจะยังมีความหวังอีกเหรอ? ผ่านไปไม่นาน ข้าเกรงว่าท่านโหวคงจะจำไม่ได้แล้วล่ะ
ว่าตัวนางกลมหรือแบนกันแน่!
ฝูหย่าไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายเชื่อฟังคำพูดของตนเอง เพียงแต่ตนเองได้ตัดสินใจไปแล้ว
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดมาเช่นนี้ นางก็เหลือบมองเจียเสวี่ยคราหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
"พวกเราไปกันเถอะ!" แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เจียเสวี่ยมองเหม่อ แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แต่แล้วก็ตัดสินใจเชื่อฟังฝูหย่า
เหลียนฟางโจว, หลี่ฟู่ และครอบครัวญาติพี่น้องรับประทานอาหารมื้อเย็นกัน
และหลังจากนั่งพักผ่อนอยู่พักหนึ่ง โจวซื่อ เหลียนเจ๋อ และคนอื่นๆก็กลับไป
จะว่าไป ทั้งสามครอบครัวมีสมาชิกในครอบครัวกันไม่กี่คน สามครอบครัวได้แก่
จวนเก่าตระกูลหลี่ฝั่งโน้น ซึ่งประกอบด้วยมารดาและบุตรชาย ครอบครัวตระกูลเหลียนก็ประกอบด้วยพี่ชายน้องสาวสองคน
บ้านไม่อาจทิ้งร้างโดยไม่มีเจ้านายอยู่โยงเลยสักคนเดียวได้ ดังนั้นถึงจะอยากค้างคืนแค่ไหน พวกเขาก็ทำได้แค่กลับไป
เมื่อหลี่ฟู่และเหลียนฟางโจวส่งพวกเขากลับไปแล้ว ก็ไปดูบุตรชายเข้านอน
ก่อนจะไปอาบน้ำชำระร่างกาย แล้วกลับไปที่ห้องนอน
เมื่อเข้าไปในห้อง ดวงตาของหลี่ฟู่ก็เป็นประกาย เขายิ้มอย่างหมายมาด และร้องเรียก
"ฮูหยิน!" ก่อนจะตรงเข้าสวมกอดอีกฝ่ายโดยไม่ยอมปล่อยมือ
เมื่อเหลียนฟางโจวอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของสามี นางจึงเอนตัวพิงอกแกร่งไว้
กลิ่นอายบุรุษเพศอันเข้มข้นและคุ้นเคย โอบรอบตัวนางไว้ ทำให้หญิงสาวอ่อนระทวยโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นความคิดบางส่วนก็แตกกระเจิง ความรู้สึกสับสนผุดขึ้นในหัว
ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น
“ฮูหยิน...” หลี่ฟู่หอบหายใจแรง และอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาอุ้มหญิงสาวขึ้นโดยไม่ลังเล
และสาวเท้าเดินไปที่เตียง ก่อนจะขึ้นทาบทับ
หลังพายุสวาทพัดผ่านไปอย่างรื่นรมย์สองครา หลังจากทำความสะอาดร่างกายและเก็บทุกอย่างเป็นระเบียบแล้ว
ทั้งสองก็กอดกันด้วยความรักความเสน่หาอยู่พักหนึ่ง หลี่ฟู่กอดหญิงสาวข้างกายไว้แน่น
พลางเอ่ยกระซิบ "ฮูหยิน วันนี้ไท่จื่อทรงถวายสมุดบันทึกแด่ฮ่องเต้
มันเกี่ยวกับการขายที่ดินล่ะ"
ดวงตาเหลียนฟางโจวเรืองวาบ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับช่องทางหาเงินในอนาคตของตัวนางด้วย
ดังนั้นนางจึงรีบถามข้อสรุป
เรื่องที่หลี่ฟู่นำมาคุยกับนาง เดิมทีก็เป็นเรื่องนี้เขาต้องการเล่าให้นางฟังอยู่แล้ว
ชายหนุ่มจึงยิ้มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระซิบ
ก่อนหน้านี้ เขาได้ทรงส่งข่าวให้ไท่จื่อ ผ่านช่องทางที่เคยติดต่อกันมาแต่ก่อน
และไม่นานทางฝั่งไท่จื่อก็รีบดำเนินการอย่างรวดเร็วยิ่ง
ภายในสมุดบันทึกที่ทูลถวายฮ่องเต้ เรื่องแรกที่กล่าวก็คือ มีวันหนึ่งมีขุนนางบางคนของตำหนักบูรพาบังเอิญนั่งรถม้าผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง
ในรายงานกล่าวว่ามีพ่อค้าคนหนึ่งเตรียมจะซื้อบ้านมาขาย แต่เพราะปัญหาการให้ค่าชดเชยที่อยู่ยังไม่เรียบร้อยดี
พวกชาวบ้านที่อาศัยมาแต่ดั้งเดิม ต่างออกไปร้องทุกข์ด้วยความคับแค้นใจ และกลายเป็นคนไร้บ้านที่ต้องจากไปอย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว
เรื่องราวเช่นนี้มาเกิดขึ้นใต้พระบาทของฮ่องเต้ผู้องอาจเกรียงไกรได้อย่างไร? เมื่อเจตจำนงของราษฏรไม่มั่นคง หากเรื่องนี้ชักนำให้เกิดความวุ่นวายอะไรตามมา
จะเป็นเพราะราชสำนักไร้ความสามารถหรือไม่?
เรื่องนี้อาจทำลายชื่อเสียงของฮ่องเต้ที่รักพสกนิกรดั่งลูกได้
ดังนั้นเรื่องนี้มิสู้มอบให้กรมพระคลังจัดการบริหารให้เป็นเอกภาพ
ไม่เพียงแต่ในเมืองหลวงเท่านั้น ที่ใช้วิธีการนี้ แต่ยังรวมถึงนครเอกของมณฑลอื่นๆทั่วแคว้นทั้งหมด
ก็ให้ใช้วิธีแบบนี้ด้วย หากมีการซื้อขายที่ดิน คนที่รับผิดชอบซึ่งทางกรมพระคลังส่งมาดูแลปีละครั้ง
จะเป็นผู้กำกับดูแลในเรื่องนี้
ในจังหวัดและอำเภออื่นๆ ที่ว่าการของเจ้าเมืองหรือนายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะร่วมมือกันเพื่อจัดการกับเรื่องนี้
โดยไม่อนุญาตให้มีการกว้านซื้อที่ดินและกดขี่ข่มเหงราษฎร หากเรื่องนี้ชักนำให้เกิดคดีถูกใส่ร้าย
และเป็นต้นเหตุให้ราษฏรก่อการจลาจล ทางการจะดำเนินการสอบสวนทันที และจะไม่ปล่อยคนร้ายให้ลอยนวลไปง่ายๆ
ความจริงแล้วสมุดบันทึกของไท่จื่อถูกส่งไปยังโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้เมื่อบ่ายวานนี้แล้ว
ในรูปแบบสมุดบันทึกลับ ฮ่องเต้รับสั่งให้นำสมุดนี้มาอ่านในที่ประชุมเช้าในวันนี้ และรับสั่งให้ขุนนางทุกคนแสดงความคิดเห็น
ทุกคนอยู่ในความโกลาหล จากนั้นพวกเขาต่างมองไปที่หลี่ฟู่เป็นตาเดียว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาสงสัยว่าสมุดบันทึกของไท่จื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลี่ฟู่หรอกหรือ
แต่ทว่า เหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวงในปีนี้มีสองเหตุการณ์ นั่นคืองานเฉลิมพระชนมพรรษาของฮ่องเต้
และอีกเหตุการณ์คือโครงการขายบ้านในสวนอี๋จูย่วนและตรอกหย่าจูฝาง
คำศัพท์ใหม่หลายคำอาทิเช่น ‘การพัฒนาที่ดิน’ ‘อสังหาริมทรัพย์’ ‘การเปิดตัว’
‘ชุมชน’ ‘ทรัพย์สิน’ ‘ความมั่นคงปลอดภัย’ และอื่นๆ ก็เป็นที่นิยมอยู่พักหนึ่งเช่นกัน หากเจ้าไม่เข้าใจความหมายของคำเหล่านี้
ก็ต้องอับอายขายหน้า เวลาเจ้าบอกว่าตัวเองเคยไปเมืองหลวงมาแล้วเป็นแน่
แน่นอนว่า ทุกคนย่อมรู้ว่านี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ฮูหยินเว่ยหนิงโหว และหลิวจวิ้นหวางเฟยนำเสนอขึ้นมา
ต่อให้พวกนางจะไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะชนก็ตาม
ครอบครัวขุนนางใดในเมืองหลวงบ้างที่ไม่มีร้านค้าธุรกิจอยู่ในกำมือสักแห่ง? ไม่มีใครสามารถเอาเรื่องนี้ไปโยงกับหลี่ฟู่ได้ หากตรวจดูอย่างละเอียด
ไม่ว่าขุนนางคนไหนก็ทำกันทั้งนั้น ขอเพียงไม่ใช่ธุรกิจผิดกฏหมาย ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อย่อมจะทรงเมินเฉย
และจะไม่ตรัสอะไรมาก
และจากที่ประเมินออกมาโดยสายตาคนนอก ประมาณได้ว่านี่เป็นการค้าที่ทำกำไรมหาศาล
เหล่าพ่อค้าและขุนนางผู้ทรงอิทธิพลต่างจับตามองธุรกิจนี้ด้วยความอิจฉาตาร้อนทันที
จากการประมาณการของพวกเขา พวกเขาสามารถสร้างรายได้มากขึ้นจากการทำธุรกิจเช่นนี้!
ราคาบ้านสามารถสูงขึ้นได้และค่าชดเชยที่อยู่อาศัยสามารถลดลงได้ เมื่อหัวข้อเรื่องทั้งสองตัวหนึ่งสูงขึ้นและตัวหนึ่งต่ำลง
ก็จะมีช่องว่างมากมายให้ตักตวงผลประโยชน์ด้วยความชื่นชมยินดี!
ใครจะรู้เล่าว่า ตระกูลของอวี๋กั๋วกงที่เป็นผู้นำนั้น จะโหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ
การให้ค่าชดเชยที่อยู่อาศัยที่ทำกันอยู่ตอนนี้ กลับมีค่าเท่ากับการไม่จ่าย นี่จึงเป็นชนวนให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย
และดึงดูดให้ขุนนางที่ซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเห็นเข้า แล้วมีอะไรจะแก้ตัวกันอีกไหม?
มีคนไม่กี่คนที่ร้องทุกข์ในตัวขุนนางคนนี้ด้วยเรื่องนี้เป็นเหตุ และคนที่ถูกทุกคนร้องทุกข์ก็คือตระกูลของอวี๋กั๋วกง
หากไม่ใช่เพราะความโลภไม่รู้จักพอของครอบครัวเขา เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เมื่อราชสำนักลงมาควบคุมดูแลในเรื่องนี้แล้ว ต้นทุนก็จะสูงขึ้นมหาศาล!
อย่างไรก็ตาม ความหมายของฮ่องเต้นั้นชัดเจนนัก: ราชสำนักจะต้องดูแลเรื่องนี้!
ขุนนางทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ธรรดา จะมีใครยินดีไปสู้รบปรบมือกับฮ่องเต้ได้เล่า?
แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้ตรัส แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าฮ่องเต้ทรงกำลังหาเงินเข้าท้องพระคลังอยู่!
เพียงแค่มองรอยยิ้มที่หุบไม่ลงบนใบหน้าของเสนาบดีกรมพระคลังและผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมพระคลัง
ก็รู้แล้ว
นอกจากนี้ แม้ว่าธุรกิจการลงทุนขนาดใหญ่ประเภทนี้จะทำรายได้มหาศาล
แต่การลงทุนครั้งแรกก็เป็นเงินก้อนโตเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถที่จะทำธุรกิจนี้ได้
ขุนนางส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินลงทุนมากมายในการทำธุรกิจแบบนี้เช่นกัน
ใครๆ ก็เป็นแบบนี้ พอข้าไม่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้ แล้วไยจะปล่อยให้เจ้าได้รับมันมาง่าย
ๆด้วยเล่า ?
ดังนั้นข้าราชบริพารส่วนใหญ่จึงเห็นพ้องต้องกันว่า
กรมพระคลังควรกำกับดูแลเรื่องนี้ และเรียกร้องให้กลุ่มคนที่รังแกผู้อื่นด้วยอำนาจและเงินตราหยุดมือเสียที!
การที่คนที่มียศศักดิ์อย่างหลิวจวิ้นหวางเฟย และนางมารอารมณ์ร้ายอย่างฮูหยินเว่ยหนิงโหว
ไม่กดขี่ข่มเหงราษฏรเลย พวกเขาจะทำได้อย่างสองคนนี้ได้อย่างไร?
“แม้ว่าจะไม่มีการประกาศผลสรุปในวันนี้ ทว่าฮ่องเต้ก็ได้แต่ขอให้ทุกคนกลับไปคิดทบทวนอย่างรอบคอบ
และจะสามารถสรุปผลการตัดสินใจได้ในที่ประชุมราชสำนักในอีกสามวันให้หลัง แต่ก็เป็นเพียงการได้ข้อสรุปเท่านั้น
ตามที่เจ้าคำนวณไว้จะเห็นว่า ทางฝั่งกรมพระคลังน่าจะสามารถโล่งใจได้มาก เพราะนับว่าเรื่องนี้สามารถแก้ไขปัญหาใหญ่ๆของกรมพระคลังได้!
ฮ่องเต้ก็ทรงมีพระพักตร์เบิกบาน มีแต่ผลดีไม่มีผลเสียต่อไท่จื่อเลย" หลี่ฟู่หัวเราะอีกครั้ง
งานเฉลิมวันพระราชสมภพในครั้งนี้ เนื่องจากมีการลอบสังหารหย่งอ๋อง ทำให้ไท่จื่อเจอการกดดันจากทั้งสองฝั่งจนสถานะแทบต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
การรักษาสถานะไม่ให้ต่ำไปกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการติดต่อกับอ๋องต่างแคว้นและราชทูตแคว้นอื่นจะต้องมีให้น้อยที่สุด
และปล่อยให้หลีอ๋องและเซี่ยนอ๋องทำทุกอย่างแทน
เมื่อได้เห็นหลีอ๋องและเซี่ยนอ๋อง—โดยเฉพาะหลีอ๋องที่โดดเด่นได้รับความสนใจอยู่พักหนึ่งและได้รับคำยกย่องจากทุกคน
แม้แต่ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อยังออกปากชมหลีอ๋องอยู่หลายครั้งด้วยอารมณ์เกษมสำราญ ทำให้องค์ไท่จื่อเกิดความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อนในพระทัยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม มีหลายเรื่องที่หลีอ๋องและเซี่ยนอ๋องสามารถทำได้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่พวกเขาทำไม่ได้ในฐานะองค์ไท่จื่อ
สิ่งที่ไท่จื่อทำคือการเป็น "ราชาผู้ทรงคุณธรรม" และสิ่งที่พวกเขาทำคือ
"ซื้อใจผู้คนด้วยแรงจูงใจแอบแฝง"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น