วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 975 เรื่องสดใหม่

 

บทที่  975  เรื่องสดใหม่

การเป็นไท่จื่อเป็นเรี่องที่ยากที่สุดในโลก

ไม่เพียงแต่จะต้องฉลาดและมีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้เสด็จพ่อเห็นแล้วชื่นชม และไม่ให้เหล่าพระอนุชากล้าคิดกำเริบเสิบสานมากจนเกินไปแล้ว เขายังต้องไม่อวดฉลาดและมีชื่อเสียงจนเกินไปด้วย เพื่อไม่ให้เสด็จพ่อบังเกิดความระแวง จนตนเองต้องลงเอยอย่างน่าอนาถจากการถูกกักบริเวณตลอดชีวิต

เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เป็นแบบนี้ก็ดี! พอองค์ไท่จื่อไปได้ดี ท่านจะได้ไม่ต้องกังวล! พอท่านไม่ต้องกังวล ท่านจะได้ใช้เวลาอยู่กับข้าและบุตรชายให้มากขึ้น! เอาล่ะ บอกข้าหน่อย หรือว่าข้าควรจัดตั้งหน่วยงานรับเหมาก่อสร้างสร้างสักสองสามหน่วยดี เป็นหน่วยผู้เชี่ยวชาญที่รับสร้างบ้านน่ะ?”

หลี่ฟู่: "..."

เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงนิ่งอึ้งของสามี เหลียนฟางโจวก็ต้านทานความหล่อเหลาของเขาไม่ไหว จนอดหยิกแก้มทั้งสองของเขาไม่ได้ แล้วนางก็ดึงแก้มทั้งสองข้างนั่นยืดออกเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ท่านทำหน้าอันใดกัน! ลืมมันซะเถอะ ข้าไม่ล้อท่านเล่นอีกแล้ว  ข้าก็แค่พูดให้ขำเท่านั้น! เรื่องนี้เป็นที่ดึงดูดสายตาคนมากเกินไป อีกทั้งการควบคุมดูแลก็ไม่ค่อยสะดวก  และข้าเองก็ไม่อยากดึงดูดความสนใจของผู้คนด้วย!"

ไม่ต้องพูดถึงร้านขนมหวานและร้านเป็ดย่างที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นจนรุ่งเรืองเฟื่องฟูสุดขีดเลย  ลำพังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวก็สามารถโกยรายได้ให้นางเกือบสิบล้านตำลึงเข้าไปแล้ว บวกกับทรัพย์สมบัติดั้งเดิมของหลี่ฟู่อีก ซึ่งทั้งหมดมีให้ครอบครัวนางถลุงใช้ไปสามชาติก็ยังไม่หมด!

หลี่ฟู่คลี่ยิ้มจนปัญญา  "ข้ายังคิดว่าเจ้าจะเอาจริงเสียอีก! เรื่องนี้ลืมไปก่อนเถอะ ช่วยคนเหล่านั้นสร้างบ้าน ระวังจะเก็บเงินไม่ได้เอา!"

มุมปากของเหลียนฟางโจวกระตุก นึกเอ่ยในใจว่า: นี่สินะที่เรียกว่าพูดแทงใจดำขนานแท้! เรื่องทำนองที่หน่วยงานรับเหมาก่อสร้างเก็บเงินลูกค้าไม่ได้ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นยากในยุคปัจจุบันเลย

"ความจริงแล้วในจวนของเรายังมีปัญหาอยู่นะ" จู่ๆหลี่ฟู่ก็นึกถึงเรื่องที่เขาเจอฝูหย่าและเจียเสวี่ยในตอนกลางวันขึ้นมาได้อีกครั้ง และอดอารมณ์เสียไม่ได้ เขากัดริมฝีปากเหลียนฟางโจวอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด แล้วกล่าวอย่างขุ่นเคือง "ข้าจะต้องทนพวกนางไปถึงเมื่อไรกัน? หากข้ารู้แต่แรกว่ามันจะสร้างปัญหาถึงเพียงนี้ ตอนนั้นที่ฮ่องเต้ทรงประสงค์จะพระราชทานคนเป็นรางวัลคน ไม่ว่าอย่างไร ข้าน่าจะปฏิเสธไปเสียก็ดี!"

มาพูดเอาตอนนี้ยังจะมีประโยชน์อันใด?” เหลียนฟางโจวถอนหายใจ แล้วรีบโอบรอบคอเขา แล้วโผเข้าอ้อมอกชายหนุ่มพร้อมกับลูบอกเขาช้าๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม "ข้ารู้ว่ามันทำให้ท่านคับข้องใจ แต่ยามนี้ท่านได้โปรดอดทนไปก่อน ข้าคิดว่าคงไม่นานหรอกกระมัง?"

เหลียนฟางโจวแอบบ่นในใจ: ให้ตายเถอะ ถ้อยคำพวกนี้ ควรเป็นนางที่พูดให้เขาฟังถึงจะถูกใช่ไหม? นี่มันสลับบทบาทกันชัดๆ! เขามาพูดว่าเขาคับข้องใจเพราะนางได้อย่างไร?

เอ๋ หรือเป็นเพราะตัวข้ายังจัดการให้มันหละหลวมไม่เพียงพอเหรอ? ดังนั้นพวกนางจึงยังกระโดดโลดเต้นไม่พอ?

เอาเถอะ ให้อิสระแก่พวกนางเพิ่มอีกสักหน่อยเถอะ! แม่บ้านเฝ้าประตูได้รับการฝากฝังจากพวกนางให้ออกไปซื้อของข้างนอกหลายต่อหลายครั้งมิใช่หรือ?  ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ปล่อยให้พวกนางประจบประแจงไปเถอะ...

หลี่ฟู่กลับมาครั้งนี้ เขาไม่ยอมให้ภรรยาเกลี้ยกล่อมอีกแล้ว เขาจึงยื่นคำขาด "ให้เวลาหนึ่งเดือน หากเจ้ายังไม่สามารถส่งพวกนางออกไปได้ภายในหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่สนใจฟังข้อแก้ตัวอันใดแล้ว ข้าจะโยนพวกนางทิ้งไว้ในจวงจื่อทันที แค่นางกำนัลไม่กี่คน ต่อให้ฮ่องเต้ทรงทราบ จะยังสร้างความลำบากใจให้ข้าอีกเหรอ?

เหลียนฟางโจวเงียบไป และนึกบ่นในใจ:  ชัดเจนเลยว่าท่านเป็นคนก่อเรื่อง แต่กลับกลายเป็นข้าที่ต้องรับผิดชอบ

ทว่าสุดท้าย หญิงสาวก็ยังมีความสุขใจอยู่สองส่วน นางจึงรับปากด้วยรอยยิ้ม

เมื่อหลี่ฟู่เห็นเครื่องหน้าอันงดงามดุจภาพวาดของภรรยา ทั้งคิ้วและดวงตายังมีเสน่ห์เย้ายวนค้างอยู่ ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนหวาน และหางตาที่เหลือบใส่เขา ก็พลันโหมกระพือเสน่ห์อันร้อนแรงให้พุ่งขึ้นทันที จิตใจเขาก็พลันร้อนเร่าอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว มือข้างหนึ่งนวดเอวคอดกิ่วนุ่มนิ่มของภรรยาอยู่สองสามครั้ง แล้วมือใหญ่ก็ฉวยโอกาสช้อนแผ่นหลังขึ้น แล้วก็กดนางนอนลงใต้ร่างเขาอีกครั้ง  ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหอบกระเส่าว่า "วันนี้ คนเงอะงะพวกนั้นมาขวางหูขวางตาข้าอีกแล้ว ฮูหยินคนดีของข้า เจ้าต้องปลอบโยนข้าดีๆนะ..."

เหลียนฟางโจวอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกเขาบดจูบไปนานแล้ว ได้ยินเพียงเสียงครางอู้อี้เบาๆ และทั้งสองคนก็กลิ้งไปบนเตียงด้วยกันอีกครั้ง

ในที่ประชุมราชสำนักในอีกสามวันต่อมา เรื่องของกรมพระคลังที่กำกับดูแลการขายที่ดิน ก็ผ่านไปโดยไม่มีอุปสรรคขวากหนามใดๆ

ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อทรงมีพระพักตร์พอพระทัยอย่างที่สุด

การเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น[1]เป็นเรื่องที่ทำง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุด ในตอนนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะมีบางคนร้องเพลงสรรเสริญ และยกย่องฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อ และไท่จื่อ

เมื่อคนหนึ่งเปิดปากพูด คนที่เหลือก็ย่อมให้ความสนใจ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการแสดงว่า เจ้าไม่ยอมเห็นด้วยนะสิ?

หากเจ้าไม่คิดแบบเดียวกัน แล้วในใจเจ้าคิดอย่างไรเล่า?

แม้แต่หลีอ๋อง,เซี่ยนอ๋อง และคนอื่น ๆ ต่างก็ยิ้มแย้มและกล่าวยกย่องสองสามคำ "วิธีนี้ค่อนข้างดีทีเดียว และเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและพสกนิกร! เรื่องที่ไท่จื่อตรัสมาเป็นความจริงอย่างยิ่ง!"

การประชุมครั้งนี้จึงมีแต่ความสมานฉันท์ และทุกคนในท้องพระโรงล้วนมีความสุข

แต่จะมีความจริงใจหรือไม่ ก็อยู่ที่ใจของแต่ละคน เพราะหัวใจคนเราตั้งอยู่ในโพรงอก จึงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้

หลังจากเลิกประชุมราชสำนักแล้ว หลีอ๋องก็เดินออกจากประตูพระราชวัง เขาทักทายทุกคนและกล่าวอำลา ก่อนจะขึ้นรถม้า ทันทีที่ม่านรถถูกปล่อยลง รอยยิ้มบนใบหน้าของหลีอ๋องก็จางหายไปทันที ยามนี้ใบหน้าของเขาดำมืดทะมึน

กลับมาที่ตำหนักอ๋อง ใบหน้าของเขายังคงปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ไม่ว่ารองเท้าหุ้มข้อผ้าจะก้าวผ่านไปที่ใด บรรดาบ่าวรับใช้และสาวใช้ต่างล้วนมุดหัวก้มหน้า และเมื่อเห็นเจ้านายผ่านมา ก็รีบหลบไปอยู่ข้างทางกันจ้าละหวั่น ไม่กล้าระบายลมหายใจออกมา

ว่ากันว่าท่านอ๋องเป็นผู้อ่อนโยนและอบอุ่น แต่มีเพียงคนในตำหนักหลีอ๋องเท่านั้น ที่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าเอาเรื่องข้างในไปพูดข้างนอกแม้แต่ครึ่งคำ ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงได้ตายอนาถและศพไม่สวยแน่

เมื่อท่านอ๋องก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ พอเด็กหนุ่มดูแลเอกสารที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษเห็น ก็รีบตามเข้ามารับใช้ หลีอ๋องตวาดลั่น "ออกไป!" เด็กดูแลเอกสารตกใจกลัวยิ่งนัก รีบรับคำและล่าถอยออกไป และรีบปิดประตูอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยืนที่หน้าประตู พลางเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวข้างในห้อง

แล้วพอได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของหลีอ๋อง และเสียงข้าวของตกแตกกระจายบนพื้น รวมทั้งเสียงดังปึงปัง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวหนักขึ้นไปอีก

เพียงชั่วจิบชา หลีอ๋องก็ค่อยๆสงบสติอารมณ์ลง เขานั่งหลังตรงอยู่หลังโต๊ะด้วยใบหน้าเย็นชา แล้วแค่นหัวเราะครั้งแล้วครั้งเล่า

ชายหนุ่มทุบกำปั้นลงบนโต๊ะโดยไม่สนใจว่ามือจะแดง บวม และเจ็บปวดหรือไม่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า "เสด็จพ่อ พระทัยของพระองค์จะลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าได้จริง ๆ เหรอ..."

เหตุการณ์ลอบสังหารหย่งอ๋อง แม้หลีอ๋องจะวางแผนมาเป็นเวลานาน และสั่งคนให้ทำ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบซานซือ[2]ก็ไม่สามารถสืบสาวมาถึงตัวเขาได้ ดังนั้นเขาย่อมเอาเรื่องนี้มาใส่หัวไทจื่อได้

ชัดเจนว่าไท่จื่อตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมร้ายแรง ทว่าเสด็จพ่อทรงพิโรธอย่างหนัก และยืนกรานที่จะให้อภัยไท่จื่อโดยไร้เหตุผล บีบให้ซานซืออับจนหนทาง และต้องหาแพะรับบาปและจัดฉากในคุกว่า ฆ่าตัวตายด้วยกลัวเกรงอาญาแผ่นดิน เพื่อยุติคดีนี้ ในขณะที่เสด็พ่อฮ่องเต้ทรงเอาแต่ตำหนิซานซือหนึ่งรอบ และปรับเบี้ยเลี้ยงคนที่เกี่ยวข้อง โดยให้งดเว้นเบี้ยหวัดสามเดือนจนกว่าจะทำงานสำเร็จ

สำหรับข้อสงสัยในตัวไท่จื่อ ไม่มีการกล่าวถึงแม้แต่คำเดียว

เรื่องนี้ไม่มีเรื่องใดจะเทียบเทียมได้เลย

เขาวางแผนมาอย่างระเอียดรัดกุมที่สุด ต้องยากลำบากสุดแสนถึงจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่เขาสู่อุตส่าห์ดิ้นรนทำไป กลับลงเอยด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ แล้วจะไม่ทำให้เขาเคียดแค้นชิงชังได้อย่างไร!

เห็นได้ชัดว่าตัวไท่จื่อยังคงรอลงอาญาในความผิดครั้งนี้อยู่ แต่หลังจากที่อีกฝ่ายถวายสมุดบันทึกเปิดเผยความจริงขึ้นไป เสด็จพ่อก็ทรงลืมสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท และยกย่องไท่จื่ออย่างมากต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหมด!

แล้วเขาล่ะ? งานเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพ เขาสิ้นเปลืองความคิดและความพยายามเป็นอย่างมาก ทว่าเสด็จพ่อฮ่องเต้ไม่เคยชมเชยเขาในวาระโอกาสที่เป็นทางการเลย เพียงแค่ชมเขาโดยไม่ได้ตั้งใจในโอกาสอื่นที่ไม่เป็นทางการ เวลานึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาเท่านั้น!

ทั้งๆที่เป็นโอรสของเสด็จพ่อเหมือนกัน และเขาก็ยังโดดเด่นเก่งกาจกว่าไท่จื่อด้วยซ้ำไป ไฉนเสด็จพ่อฮ่องเต้ถึงทำกับเขาแบบนี้!

เรื่องในวันนี้ ไม่ได้มีแค่ความลำเอียงของเสด็จพ่อเท่านั้น แต่เจ้าไท่จื่อผู้ชั่วร้ายและน่ารังเกียจนั่น กลับแอบทำสมุดบันทึกนั่นโดยไม่กระโตกกระตากให้ผู้ใดรู้ ซึ่งเป็นการทำลายลู่ทางหาเงินของเขา ทำให้เขาเกลียดอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น !

การซื้อใจคน เสาะหาผู้มีความสามารถ หาข่าว ขุดคุ้ยความสัมพันธ์ มีงานไหนบ้างที่ไม่เสียเงิน?

หลังจากลำบากลำบนค้นพบลู่ทางหาเงินที่สามารถสะสมเงินได้มากมายในระยะเวลาอันสั้น ยังไม่ทันได้เริ่มต้น ไท่จื่อก็ตัดเงินรายได้นั้นไปมากกว่าครึ่งแล้ว!

**

[1]อุปมาว่า การพยายามเพิ่มเสริม เติมแต่ง ปรุงแต่งในสิ่งที่เดิมมีอยู่แล้ว

[2]หรือซานกง คือขุนนางชั้นสูงสุดสามตำแหน่งนั้นมามีแต่โบราณ ขุนนางทั้งสามรับผิดชอบกันคนละฝ่าย ถือเป็นที่ปรึกษาที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท มีสามตำแหน่ง ตัวอย่างเช่น ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西漢朝) ซันกง ได้แก่ 1. เฉิงเซี่ยง (丞相; "อำมาตย์ผู้ช่วย") คือ อัครมหาเสนาบดี

   2.ยฺวี่ฉื่อต้าฟู (御史大夫; "นายใหญ่ผู้ดูแลพงศาวดาร") คือ หัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดิน

    3.ไท่เว่ย์ (太尉; "มหาเสนา") คือ หัวหน้าฝ่ายทหาร

...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น