บทที่ 975 เรื่องสดใหม่
การเป็นไท่จื่อเป็นเรี่องที่ยากที่สุดในโลก
ไม่เพียงแต่จะต้องฉลาดและมีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้เสด็จพ่อเห็นแล้วชื่นชม
และไม่ให้เหล่าพระอนุชากล้าคิดกำเริบเสิบสานมากจนเกินไปแล้ว เขายังต้องไม่อวดฉลาดและมีชื่อเสียงจนเกินไปด้วย
เพื่อไม่ให้เสด็จพ่อบังเกิดความระแวง จนตนเองต้องลงเอยอย่างน่าอนาถจากการถูกกักบริเวณตลอดชีวิต
เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เป็นแบบนี้ก็ดี! พอองค์ไท่จื่อไปได้ดี
ท่านจะได้ไม่ต้องกังวล! พอท่านไม่ต้องกังวล ท่านจะได้ใช้เวลาอยู่กับข้าและบุตรชายให้มากขึ้น!
เอาล่ะ บอกข้าหน่อย หรือว่าข้าควรจัดตั้งหน่วยงานรับเหมาก่อสร้างสร้างสักสองสามหน่วยดี
เป็นหน่วยผู้เชี่ยวชาญที่รับสร้างบ้านน่ะ?”
หลี่ฟู่: "..."
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงนิ่งอึ้งของสามี เหลียนฟางโจวก็ต้านทานความหล่อเหลาของเขาไม่ไหว
จนอดหยิกแก้มทั้งสองของเขาไม่ได้ แล้วนางก็ดึงแก้มทั้งสองข้างนั่นยืดออกเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
"ท่านทำหน้าอันใดกัน! ลืมมันซะเถอะ ข้าไม่ล้อท่านเล่นอีกแล้ว ข้าก็แค่พูดให้ขำเท่านั้น! เรื่องนี้เป็นที่ดึงดูดสายตาคนมากเกินไป
อีกทั้งการควบคุมดูแลก็ไม่ค่อยสะดวก และข้าเองก็ไม่อยากดึงดูดความสนใจของผู้คนด้วย!"
ไม่ต้องพูดถึงร้านขนมหวานและร้านเป็ดย่างที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นจนรุ่งเรืองเฟื่องฟูสุดขีดเลย
ลำพังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวก็สามารถโกยรายได้ให้นางเกือบสิบล้านตำลึงเข้าไปแล้ว
บวกกับทรัพย์สมบัติดั้งเดิมของหลี่ฟู่อีก ซึ่งทั้งหมดมีให้ครอบครัวนางถลุงใช้ไปสามชาติก็ยังไม่หมด!
หลี่ฟู่คลี่ยิ้มจนปัญญา "ข้ายังคิดว่าเจ้าจะเอาจริงเสียอีก!
เรื่องนี้ลืมไปก่อนเถอะ ช่วยคนเหล่านั้นสร้างบ้าน ระวังจะเก็บเงินไม่ได้เอา!"
มุมปากของเหลียนฟางโจวกระตุก นึกเอ่ยในใจว่า: นี่สินะที่เรียกว่าพูดแทงใจดำขนานแท้!
เรื่องทำนองที่หน่วยงานรับเหมาก่อสร้างเก็บเงินลูกค้าไม่ได้ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นยากในยุคปัจจุบันเลย
"ความจริงแล้วในจวนของเรายังมีปัญหาอยู่นะ" จู่ๆหลี่ฟู่ก็นึกถึงเรื่องที่เขาเจอฝูหย่าและเจียเสวี่ยในตอนกลางวันขึ้นมาได้อีกครั้ง
และอดอารมณ์เสียไม่ได้ เขากัดริมฝีปากเหลียนฟางโจวอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด แล้วกล่าวอย่างขุ่นเคือง
"ข้าจะต้องทนพวกนางไปถึงเมื่อไรกัน? หากข้ารู้แต่แรกว่ามันจะสร้างปัญหาถึงเพียงนี้
ตอนนั้นที่ฮ่องเต้ทรงประสงค์จะพระราชทานคนเป็นรางวัลคน ไม่ว่าอย่างไร
ข้าน่าจะปฏิเสธไปเสียก็ดี!"
“มาพูดเอาตอนนี้ยังจะมีประโยชน์อันใด?” เหลียนฟางโจวถอนหายใจ
แล้วรีบโอบรอบคอเขา แล้วโผเข้าอ้อมอกชายหนุ่มพร้อมกับลูบอกเขาช้าๆ
เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม "ข้ารู้ว่ามันทำให้ท่านคับข้องใจ แต่ยามนี้ท่านได้โปรดอดทนไปก่อน
ข้าคิดว่าคงไม่นานหรอกกระมัง?"
เหลียนฟางโจวแอบบ่นในใจ: ให้ตายเถอะ ถ้อยคำพวกนี้
ควรเป็นนางที่พูดให้เขาฟังถึงจะถูกใช่ไหม? นี่มันสลับบทบาทกันชัดๆ! เขามาพูดว่าเขาคับข้องใจเพราะนางได้อย่างไร?
เอ๋ หรือเป็นเพราะตัวข้ายังจัดการให้มันหละหลวมไม่เพียงพอเหรอ? ดังนั้นพวกนางจึงยังกระโดดโลดเต้นไม่พอ?
เอาเถอะ ให้อิสระแก่พวกนางเพิ่มอีกสักหน่อยเถอะ! แม่บ้านเฝ้าประตูได้รับการฝากฝังจากพวกนางให้ออกไปซื้อของข้างนอกหลายต่อหลายครั้งมิใช่หรือ? ในเมื่อเป็นแบบนี้
ก็ปล่อยให้พวกนางประจบประแจงไปเถอะ...
หลี่ฟู่กลับมาครั้งนี้ เขาไม่ยอมให้ภรรยาเกลี้ยกล่อมอีกแล้ว เขาจึงยื่นคำขาด
"ให้เวลาหนึ่งเดือน หากเจ้ายังไม่สามารถส่งพวกนางออกไปได้ภายในหนึ่งเดือน
ข้าก็ไม่สนใจฟังข้อแก้ตัวอันใดแล้ว ข้าจะโยนพวกนางทิ้งไว้ในจวงจื่อทันที แค่นางกำนัลไม่กี่คน
ต่อให้ฮ่องเต้ทรงทราบ จะยังสร้างความลำบากใจให้ข้าอีกเหรอ?”
เหลียนฟางโจวเงียบไป และนึกบ่นในใจ: ชัดเจนเลยว่าท่านเป็นคนก่อเรื่อง แต่กลับกลายเป็นข้าที่ต้องรับผิดชอบ
ทว่าสุดท้าย หญิงสาวก็ยังมีความสุขใจอยู่สองส่วน นางจึงรับปากด้วยรอยยิ้ม
เมื่อหลี่ฟู่เห็นเครื่องหน้าอันงดงามดุจภาพวาดของภรรยา ทั้งคิ้วและดวงตายังมีเสน่ห์เย้ายวนค้างอยู่
ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนหวาน และหางตาที่เหลือบใส่เขา ก็พลันโหมกระพือเสน่ห์อันร้อนแรงให้พุ่งขึ้นทันที
จิตใจเขาก็พลันร้อนเร่าอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว มือข้างหนึ่งนวดเอวคอดกิ่วนุ่มนิ่มของภรรยาอยู่สองสามครั้ง
แล้วมือใหญ่ก็ฉวยโอกาสช้อนแผ่นหลังขึ้น แล้วก็กดนางนอนลงใต้ร่างเขาอีกครั้ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหอบกระเส่าว่า
"วันนี้ คนเงอะงะพวกนั้นมาขวางหูขวางตาข้าอีกแล้ว ฮูหยินคนดีของข้า เจ้าต้องปลอบโยนข้าดีๆนะ..."
เหลียนฟางโจวอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกเขาบดจูบไปนานแล้ว ได้ยินเพียงเสียงครางอู้อี้เบาๆ
และทั้งสองคนก็กลิ้งไปบนเตียงด้วยกันอีกครั้ง
ในที่ประชุมราชสำนักในอีกสามวันต่อมา เรื่องของกรมพระคลังที่กำกับดูแลการขายที่ดิน
ก็ผ่านไปโดยไม่มีอุปสรรคขวากหนามใดๆ
ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อทรงมีพระพักตร์พอพระทัยอย่างที่สุด
การเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น[1]เป็นเรื่องที่ทำง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุด
ในตอนนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะมีบางคนร้องเพลงสรรเสริญ และยกย่องฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อ
และไท่จื่อ
เมื่อคนหนึ่งเปิดปากพูด คนที่เหลือก็ย่อมให้ความสนใจ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการแสดงว่า
เจ้าไม่ยอมเห็นด้วยนะสิ?
หากเจ้าไม่คิดแบบเดียวกัน แล้วในใจเจ้าคิดอย่างไรเล่า?
แม้แต่หลีอ๋อง,เซี่ยนอ๋อง และคนอื่น
ๆ ต่างก็ยิ้มแย้มและกล่าวยกย่องสองสามคำ
"วิธีนี้ค่อนข้างดีทีเดียว และเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและพสกนิกร! เรื่องที่ไท่จื่อตรัสมาเป็นความจริงอย่างยิ่ง!"
การประชุมครั้งนี้จึงมีแต่ความสมานฉันท์ และทุกคนในท้องพระโรงล้วนมีความสุข
แต่จะมีความจริงใจหรือไม่ ก็อยู่ที่ใจของแต่ละคน เพราะหัวใจคนเราตั้งอยู่ในโพรงอก จึงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้
หลังจากเลิกประชุมราชสำนักแล้ว หลีอ๋องก็เดินออกจากประตูพระราชวัง เขาทักทายทุกคนและกล่าวอำลา
ก่อนจะขึ้นรถม้า ทันทีที่ม่านรถถูกปล่อยลง รอยยิ้มบนใบหน้าของหลีอ๋องก็จางหายไปทันที
ยามนี้ใบหน้าของเขาดำมืดทะมึน
กลับมาที่ตำหนักอ๋อง ใบหน้าของเขายังคงปกคลุมไปด้วยเมฆดำ
ไม่ว่ารองเท้าหุ้มข้อผ้าจะก้าวผ่านไปที่ใด บรรดาบ่าวรับใช้และสาวใช้ต่างล้วนมุดหัวก้มหน้า
และเมื่อเห็นเจ้านายผ่านมา ก็รีบหลบไปอยู่ข้างทางกันจ้าละหวั่น ไม่กล้าระบายลมหายใจออกมา
ว่ากันว่าท่านอ๋องเป็นผู้อ่อนโยนและอบอุ่น แต่มีเพียงคนในตำหนักหลีอ๋องเท่านั้น
ที่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าเอาเรื่องข้างในไปพูดข้างนอกแม้แต่ครึ่งคำ ไม่เช่นนั้น
พวกเขาคงได้ตายอนาถและศพไม่สวยแน่
เมื่อท่านอ๋องก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ พอเด็กหนุ่มดูแลเอกสารที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษเห็น
ก็รีบตามเข้ามารับใช้ หลีอ๋องตวาดลั่น "ออกไป!" เด็กดูแลเอกสารตกใจกลัวยิ่งนัก
รีบรับคำและล่าถอยออกไป และรีบปิดประตูอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยืนที่หน้าประตู พลางเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวข้างในห้อง
แล้วพอได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของหลีอ๋อง และเสียงข้าวของตกแตกกระจายบนพื้น
รวมทั้งเสียงดังปึงปัง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวหนักขึ้นไปอีก
เพียงชั่วจิบชา หลีอ๋องก็ค่อยๆสงบสติอารมณ์ลง เขานั่งหลังตรงอยู่หลังโต๊ะด้วยใบหน้าเย็นชา
แล้วแค่นหัวเราะครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายหนุ่มทุบกำปั้นลงบนโต๊ะโดยไม่สนใจว่ามือจะแดง บวม
และเจ็บปวดหรือไม่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า "เสด็จพ่อ พระทัยของพระองค์จะลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าได้จริง
ๆ เหรอ..."
เหตุการณ์ลอบสังหารหย่งอ๋อง แม้หลีอ๋องจะวางแผนมาเป็นเวลานาน
และสั่งคนให้ทำ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบซานซือ[2]ก็ไม่สามารถสืบสาวมาถึงตัวเขาได้
ดังนั้นเขาย่อมเอาเรื่องนี้มาใส่หัวไทจื่อได้
ชัดเจนว่าไท่จื่อตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมร้ายแรง ทว่าเสด็จพ่อทรงพิโรธอย่างหนัก
และยืนกรานที่จะให้อภัยไท่จื่อโดยไร้เหตุผล บีบให้ซานซืออับจนหนทาง และต้องหาแพะรับบาปและจัดฉากในคุกว่า
‘ฆ่าตัวตายด้วยกลัวเกรงอาญาแผ่นดิน’
เพื่อยุติคดีนี้ ในขณะที่เสด็พ่อฮ่องเต้ทรงเอาแต่ตำหนิซานซือหนึ่งรอบ และปรับเบี้ยเลี้ยงคนที่เกี่ยวข้อง
โดยให้งดเว้นเบี้ยหวัดสามเดือนจนกว่าจะทำงานสำเร็จ
สำหรับข้อสงสัยในตัวไท่จื่อ ไม่มีการกล่าวถึงแม้แต่คำเดียว
เรื่องนี้ไม่มีเรื่องใดจะเทียบเทียมได้เลย
เขาวางแผนมาอย่างระเอียดรัดกุมที่สุด ต้องยากลำบากสุดแสนถึงจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญอย่างยิ่ง
ทว่าสิ่งที่เขาสู่อุตส่าห์ดิ้นรนทำไป กลับลงเอยด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ แล้วจะไม่ทำให้เขาเคียดแค้นชิงชังได้อย่างไร!
เห็นได้ชัดว่าตัวไท่จื่อยังคงรอลงอาญาในความผิดครั้งนี้อยู่
แต่หลังจากที่อีกฝ่ายถวายสมุดบันทึกเปิดเผยความจริงขึ้นไป เสด็จพ่อก็ทรงลืมสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท
และยกย่องไท่จื่ออย่างมากต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหมด!
แล้วเขาล่ะ? งานเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพ
เขาสิ้นเปลืองความคิดและความพยายามเป็นอย่างมาก ทว่าเสด็จพ่อฮ่องเต้ไม่เคยชมเชยเขาในวาระโอกาสที่เป็นทางการเลย
เพียงแค่ชมเขาโดยไม่ได้ตั้งใจในโอกาสอื่นที่ไม่เป็นทางการ เวลานึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาเท่านั้น!
ทั้งๆที่เป็นโอรสของเสด็จพ่อเหมือนกัน และเขาก็ยังโดดเด่นเก่งกาจกว่าไท่จื่อด้วยซ้ำไป
ไฉนเสด็จพ่อฮ่องเต้ถึงทำกับเขาแบบนี้!
เรื่องในวันนี้ ไม่ได้มีแค่ความลำเอียงของเสด็จพ่อเท่านั้น แต่เจ้าไท่จื่อผู้ชั่วร้ายและน่ารังเกียจนั่น
กลับแอบทำสมุดบันทึกนั่นโดยไม่กระโตกกระตากให้ผู้ใดรู้ ซึ่งเป็นการทำลายลู่ทางหาเงินของเขา
ทำให้เขาเกลียดอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น !
การซื้อใจคน เสาะหาผู้มีความสามารถ หาข่าว ขุดคุ้ยความสัมพันธ์ มีงานไหนบ้างที่ไม่เสียเงิน?
หลังจากลำบากลำบนค้นพบลู่ทางหาเงินที่สามารถสะสมเงินได้มากมายในระยะเวลาอันสั้น
ยังไม่ทันได้เริ่มต้น ไท่จื่อก็ตัดเงินรายได้นั้นไปมากกว่าครึ่งแล้ว!
**
[1]อุปมาว่า การพยายามเพิ่มเสริม เติมแต่ง
ปรุงแต่งในสิ่งที่เดิมมีอยู่แล้ว
[2]หรือซานกง คือขุนนางชั้นสูงสุดสามตำแหน่งนั้นมามีแต่โบราณ
ขุนนางทั้งสามรับผิดชอบกันคนละฝ่าย ถือเป็นที่ปรึกษาที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท
มีสามตำแหน่ง ตัวอย่างเช่น ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西漢朝) ซันกง ได้แก่ 1. เฉิงเซี่ยง (丞相; "อำมาตย์ผู้ช่วย")
คือ อัครมหาเสนาบดี
2.ยฺวี่ฉื่อต้าฟู (御史大夫; "นายใหญ่ผู้ดูแลพงศาวดาร") คือ
หัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดิน
3.ไท่เว่ย์ (太尉; "มหาเสนา") คือ หัวหน้าฝ่ายทหาร
...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น