บทที่ 976 เหล่าองค์ชายพี่น้องพบปะกัน
“ท่านอ๋อง... พระองค์ตรัสว่า วันนี้พระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมคนป่วยที่ตำหนักหยกอ๋อง!
ไม่ทราบว่าทรงวางแผนจะเสด็จไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?
"เสียงของพ่อบ้านดังขึ้นจากด้านนอก เขาพูดอย่างรวดเร็วถูกต้องและชัดเจน
น้ำเสียงนั้นก็อยู่ในระดับอ่อนโยนและนุ่มนวลอย่างหาใดเปรียบ และฟังดูใจเย็น
เห็นได้ชัดว่า ทักษะนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะฝึกฝนกันได้แค่วันสองวัน
กว่าหลีอ๋องจะได้ระเบิดโทสะ พ่อบ้านก็พูดจบเรียบร้อยแล้ว เขาจึงแค่นหัวเสียงเย็นชา
"เตรียมรถม้า นำของขวัญที่พระชายาเตรียมไว้ไปด้วย อีกประเดี๋ยวเปิ่นหวางจะไปแล้ว!"
เหล่าพี่น้องต่างนัดแนะกันว่าวันนี้จะไปเยี่ยมหย่งอ๋อง ตัวเขาเองก็ไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
พ่อบ้านถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วรีบรับคำ ก่อนจะหันไปกระซิบกับเด็กรับใช้
"ไปปรนิบัติท่านอ๋องเปลี่ยนอาภรณ์ซะ หัดฉลาดเสียบ้าง!"
เด็กรับใช้พยักหน้า แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลังจากนั้นไม่นาน หลีอ๋องก็เปลี่ยนไปสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเหลือบเงิน คอกลม
ชายแขนเสื้อเป็นรูปหัวลูกศร คาดเข็มขัดหยกสีขาว และปักปิ่นหยกที่มวยด้านบน
เขานำองครักษ์ส่วนตัวและผู้ติดตามสองคนขึ้นรถและตรงไปที่ตำหนักหย่งอ๋อง
อาการบาดเจ็บของหย่งอ๋อง ใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว
เพียงแต่หย่งอ๋องไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งเหยิงในเมืองหลวง เขาพอใจจะพักฟื้นรักษาอาการป่วยอยู่ในห้อง ไม่ออกไปพบใคร
พลางคิดใคร่ครวญว่าจะขอราชโองการให้เขากลับไปที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือในอีกราวหนึ่งเดือน
เพียงพริบตาเดียวก็ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือตอนนั้นจะสดชื่น
อาชาก็อ้วนพีและแข็งแรง เขาต้องนั่งอยู่ที่แดนตะวันตกเฉียงเหนือ ตนเองถึงรู้สึกสบายใจ
และตัวเสด็จพ่อเองก็จะทรงสบายพระทัยไร้กังวลเช่นกัน
เมื่อหลีอ๋องมาถึงตำหนักหย่งอ๋อง เขาก็เปลี่ยนเป็นคนสุภาพเรียบร้อยอีกหน
และทำตัวเสมือนท่านอ๋องที่ดี ดูสูงส่งสง่างาม
เขายิ้มและสั่งให้ตบรางวัลบ่าวที่นำทางเข้าตำหนักหย่งอ๋อง
ก่อนจะถามขึ้น "ไท่จื่อและเซี่ยนอ๋อง พวกเขามาถึงหรือยัง?"
บ่าวที่ได้รับรางวัลใหญ่ มีสีหน้าปลาบปลื้ม เมื่อเห็นว่าหลีอ๋องใจดีและเป็นมิตร
เขาก็เต็มใจจะตอบคำถามเช่นกัน ดังนั้นจึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ท่านอ๋อง ไท่จื่อเสด็จมาที่นี่ได้สองเค่อแล้ว
และกำลังสนทนากับท่านอ๋องของเราอยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเซี่ยนอ๋องยังไม่เสด็จมา บางทีอาจไปแวะรับอวี้อ๋องก่อน
แล้วค่อยเสด็จมาด้วยกัน!”
หลีอ๋องหัวเราะ "อืม น้องสามและน้องห้ามีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดต่อกันเสมอมา
และน้องห้าชอบกวนน้องสามให้สอนการวาดภาพและเขียนอักษรให้เขา คงจะเป็นเช่นนั้นแน่!" จากนั้นก็เอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างผ่อนคลายสบายๆว่า
ช่วงนี้หย่งอ๋องทรงเป็นอย่างไรบ้าง ? เจริญอาหารหรือไม่? เสวยยาวันละกี่ครั้ง? อาการบาดเจ็บกำเริบหรือไม่? มีใครมาเยี่ยมบ้างและอื่นๆ
ผู้ติดตามก็รวบรวมเรื่องที่เขารู้ อธิบายไปทีละคำถาม
ไท่จื่อและหย่งอ๋องกำลังสนทนากันในศาลาสี่เหลี่ยมกว้างที่มีหลังคาจั่วสันโค้งในสวน
โดยศาลาหันหน้าไปทางทะเลสาบสีฟ้าที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่นบางเบา ท่ามกลางต้นหลิวลู่ลมคล้ายพู่ห้อย
และดอกชบาที่กำลังบานสะพรั่งงดงามแลดูบอบบาง ดูแล้วเป็นที่สบายตายิ่งนัก
มีคนเข้ามารายงานว่าหลีอ๋องมาถึงแล้ว
ด้วยเพราะกำลังสนทนากับไท่จื่ออยู่ หย่งอ๋องจึงไม่สะดวกลุกขึ้นไปต้อนรับอีกฝ่าย
และด้วยไท่จื่อมีสถานะสูงกว่าและเป็นพระเชษฐา ดังนั้นการออกไปต้อนรับจึงยิ่งเป็นไปไม่ได้
หย่งอ๋องจึงสั่งให้พ่อบ้านที่รอรับใช้อยู่ด้านข้าง
ไปต้อนรับอีกฝ่ายแทน
ทันทีที่พ่อบ้านมาถึงทางเข้าสวน ก็เห็นหลีอ๋องกำลังเดินมา จึงรีบยิ้มแย้มและก้าวเข้าไปคารวะและต้อนรับเขา
หลีอ๋องคลี่ยิ้ม พลางยกมือขึ้น และสั่งให้อีกฝ่ายลุกขึ้น ก่อนจะเดินตามพ่อบ้านไปที่ศาลา
เมื่อหย่งอ๋องเห็นอีกฝ่าย ก็ยิ้มแย้มและลุกขึ้นร้องทัก “พี่รอง!”
หลีอ๋องพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "น้องสี่!" หลังจากเข้าไปในศาลาแล้ว
เขาก็ประคองมือค้อมคำนับไท่จื่ออย่างเต็มพิธีการ แล้วเอ่ยขึ้น "หม่อมฉันคารวะไท่จื่อ
ขอทรงพระเจริญพ่ะย่ะค่ะ!"
ไท่จื่อรีบจับมือและดึงตัวเขาไว้ก่อน พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "น้องรองทำดั่งเป็นคนอื่นคนไกลไปได้!
พวกเราพี่น้องไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้!"
หลีอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ไท่จื่อทรงมีพระเมตตา
แต่มารยาทไม่สามารถละทิ้งได้พ่ะย่ะค่ะ"
หย่งอ๋องหัวเราะ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "หากเทียบกับพระเชษฐารองแล้ว
หม่อมฉันช่างเป็นคนหยาบกระด้างจริงๆ!"
หลีอ๋องหัวเราะ "น้องสี่ เจ้าพูดเรื่องอะไร! หากไม่มีคนหยาบเช่นน้องสี่คอยปกป้องพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือ
พวกเราที่อยู่ในเมืองหลวงก็คงไม่รู้สึกสบายใจเช่นกัน! ตรงกันข้าม ข้าเป็นพระเชษฐาของเจ้า
ทางบุ๋นก็ไม่ได้ ทางบู๊ก็ไม่ดี ข้านับเป็นคนหยาบกระด้างยิ่งกว่าเสียอีก!”
“พี่รองพูดให้ขำแล้ว!”
สามพี่น้องต่างหัวเราะ และนั่งสนทนากันสักพัก
หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยนอ๋องก็มาพร้อมกับอวี้อ๋องจริงๆ
อวี้อ๋องยังเยาว์นัก เขาอายุน้อยกว่าโอรสองค์รองของไท่จื่อเกือบสามปี พระสนมชั้นเฟยผู้เป็นพระมารดาของเขาเป็นยอดพธู
รูปร่างหน้าตาของเขาจึงหล่อเหลาเป็นพิเศษ เขามีนิสัยอ่อนโยนและมีจิตใจเมตตา
เป็นคนที่สามารถมองเห็นตัวตนได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แวบแรกที่เห็น
และเป็นคนไม่มีแผนการใดๆ
ไม่ต้องพูดถึงว่าฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อทรงรักโอรสองค์เล็กคนนี้ยิ่งนัก
แม้แต่ไท่จื่อและหลีอ๋องต่างก็ชอบเขามาก พวกเขายินดีปกป้องพระอนุชาองค์เล็กในทุกเรื่อง
ด้วยนิสัยใจคอและอายุที่ยังเยาว์ จึงไม่เป็นภัยคุกคามต่อใครทั้งสิ้น
“โอ้ พี่สาม ดูสิ พวกเรามาสายอีกแล้ว!” เมื่อเห็นว่าไท่จื่อและพวกเขาทั้งสามคนนั่งอยู่ที่นั่น
อวี้อ๋องก็อดกระทืบเท้าและบ่นไม่ได้
หลายคนหัวเราะขึ้นมา ส่วนหย่งอ๋องก็เอ่ยอย่างบูดบึ้ง "พวกเจ้า? พวกเจ้ารักใคร่สนิทสนมกัน
กระทั่งคำเรียกยศตำแหน่งล้วนถูกผู้อื่นตัดออกหมดแล้ว เจ้าบอกว่าพี่สี่ของเจ้ายากนักกว่าจะได้เดินทางกลับเมืองหลวงแต่ละที แล้วไยเจ้าไม่มาคุยกับข้าบ่อยๆเล่า วันทั้งวันเอาแต่ไปขลุกอยู่พระเชษฐาสาม
เฮ้อ ข้าจะอิจฉาแล้วนะ!"
ไท่จื่อและคนอื่น ๆ แอบหัวเราะ เมื่อเห็นหย่งอ๋อง ผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพที่คุมกองทัพนับแสน
กล่าวคำพูดน้อยอกน้อยใจเช่นนี้
ทว่าอวี้อ๋องกลับร้อนใจจริงๆ แล้วรีบไปหาหย่งอ๋อง พลางดึงแขนอีกฝ่ายไว้
แล้วรีบเอ่ย "พี่สี่! พี่สี่! อย่าอิจฉาเลย ข้า อืม ข้าเองก็อยากจะอยู่กับพี่สี่มากกว่า
แต่ว่า พี่สามบอกว่า – เอ่อ ไม่ได้ ตัวข้าคิดว่า ท่านกำลังพักฟื้นอยู่
คงไม่สะดวกที่จะไปรบกวน ข้าก็เลยไม่กล้ามาง่าย ๆ ไม่เช่นนั้น ต่อจากนี้ข้าจะมาคุยกับพี่สี่ทุกวันเลย
ตกลงไหม?”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ทุกคนก็เริ่มหัวเราะกันล่วงหน้าแล้ว
เซี่ยนอ๋องซึ่งถูกพระอนุชาหักหลังต่อหน้า ก็ส่ายหัวดิกด้วยรอยยิ้มปลดปลง
แล้วรีบให้อวี้อ๋องไปคารวะทักทายไท่จื่อด้วยกัน
ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำการคารวะ ไท่จื่อก็คว้าตัวอวี้อ๋องไว้ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเซี่ยนอ๋อง
"วันนี้ พวกเรามาเยี่ยมน้องสี่ ทำตัวให้เหมือนพี่น้องในครอบครัวสามัญเถิด นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องมารยาทกันนะ!
"
เซี่ยนอ๋องจึงรับคำด้วยรอยยิ้ม ส่วนอวี้อ๋องไม่มีอะไรจะพูดอีก
เหล่าพี่น้องนั่งลงสนทนากันอีกครั้ง
ต่อให้เป็นคนระดับหยกและทองเลอค่า แต่ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องกันนั้น
ช่างเบาบางจริงๆ การที่พี่น้องไม่กี่คนจะสามารถนั่งคุยกันได้ครบทุกคน หากไม่นับในงานเลี้ยงของครอบครัวในพระราชวังแล้ว
สถานการณ์แบบส่วนตัวเช่นนี้นับว่ามีเป็นครั้งแรก .
ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่าทุกคนจะมีสีหน้าเป็นอย่างไร ในใจของแต่ละคนมักรู้สึกสลดหดหู่
เพียงรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ช่างราวกับอยู่ในความฝัน หาใช่ความจริงไม่
บางทีพวกเขาอาจตระหนักดีว่า เหตุการณ์แบบนี้คงจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้
เหล่าพี่น้องไม่พูดถึงหัวข้อที่อ่อนไหว พวกเขาได้แต่พูดคุยหัวเราะในเรื่องสนุกและน่าสนใจในครอบครัวของแต่ละคน
ซึ่งก็สร้างความเพลิดเพลินให้ทุกคนไปได้พักหนึ่ง
แม้ว่าอวี้อ๋องจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่สนทนาของพี่น้องตนเองนัก
แต่เขาก็นั่งข้างหย่งอ๋องอย่างเชื่อฟัง ชิมถั่วและเมล็ดสนคั่วบนโต๊ะน้ำชาตรงหน้าเขา
และพบว่าพวกมันถูกคั่วมาได้ดีนัก เมื่อเขาเริ่มติดใจ เขาก็ปอกเปลือกเมล็ดสนอย่างบรรจงและหย่อนใส่ปากกิน
เหล่าพี่น้องอยู่รับสำรับกลางวันที่ตำหนักหย่งอ๋องต่อ และพักผ่อนต่ออีกพักหนึ่ง
โดยรู้ดีว่าหย่งอ๋องต้องการพักฟื้น ดังนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายลากลับไปทีละคน
อวี้อ๋องยังจำสิ่งที่หย่งอ๋องพูดก่อนหน้านี้ได้ เขาจึงปฏิเสธที่จะจากไป
แต่ต้องการอยู่กับพระเชษฐาองค์ที่สี่ ทุกคนหัวเราะและปล่อยให้เขาอยู่ตามสบาย
หย่งอ๋องเองก็ยังยิ้มแย้มและปล่อยให้น้องชายอยู่ด้วย ก่อนจะสั่งให้คนพาอีกฝ่ายไปเล่นในสวน
เขายังเป็นคนป่วย จึงต้องเอนหลังนอนพักสักครู่
เซี่ยนอ๋องยิ้มและกล่าวว่าเขาจะทิ้งรถม้าให้อวี้อ๋อง ส่วนเขาจะนั่งรถม้าไปกับหลีอ๋องเอง
และขอให้พระเชษฐาองค์รองช่วยอ้อมไปส่งเขา
หลีอ๋องย่อมไม่ปฏิเสธ
“ดูจากสภาพพี่สี่แล้ว อาการบาดเจ็บน่าจะใกล้หายแล้ว!
เฮ้อ โชคดีที่พี่สี่สุขภาพแข็งแรง ก็เลยรอดมาได้ หากเป็นข้า ข้าเกรงว่าตนเองคงจะตายไปนานแล้ว
ช่างอันตรายนัก โชคดี! โชคดีจริงๆ!” หลังจากเข้าไปในรถม้าแล้ว เซี่ยนอ๋องก็นั่งพิงผนังรถม้าด้านหนึ่ง
ขณะยกพัดที่พับอยู่เคาะกับฝ่ามือ พลางถอนหายใจ
...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น