วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 977 ชนักปักหลัง

 

บทที่ 977 ชนักปักหลัง

ท้ายที่สุด หลีอ๋องก็รู้สึกถึงชนักปกหลังในใจ พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขารู้สึกว่ามันแสลงหู  สีหน้าเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ แต่เขาไม่อาจแสดงออกนอกหน้าได้ จึงได้แต่พยักหน้าและถอนหายใจ "ก็ใครบอกว่าไม่ใช่เล่า!"

เซี่ยนอ๋องกล่าวอีกครั้ง "หม่อมฉันคาดไม่ถึงเลยว่าซานกงจะได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ ก็ถือว่าพวกเขาไร้ความสามารถ! เฮ้อ ยามปกติแล้ว ภายในล้วนเห็นพวกเขาแต่ละคนมีอำนาจและความน่าเกรงขามยิ่งนัก ใครเล่าจะรู้ว่า คุณประโยชน์สักเพียงครึ่งก็ไม่มี มิน่าเล่า เสด็จพ่อจึงทรงพิโรธใหญ่โตถึงเพียงนั้น! ไท่จื่อจะทรงทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? แม้แต่หม่อมฉันก็ยังไม่เชื่อเลย! เสด็จพี่รองบอกหม่อมฉันทีว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้กันแน่? ความคิดนี้ช่างทำให้คนหวาดกลัวจริงๆ! โชคดีที่เสด็จพ่อทรงพระปรีชา ไท่จื่อจึงทรงรอดชีวิตจากหายนะครั้งนี้มาได้อย่างปลอดภัย จากนี้ไปคาดว่าคงต้องระวังตัวไว้เสมอ จะให้เรื่องแบบนี้เกิดซ้ำไม่ได้อีก หากเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเองที่เป็นคนวงในเลย  ขนาดหม่อมฉันซึ่งเป็นคนนอก พอเห็นแล้วก็ยังรู้สึกสยองขวัญเลยพ่ะย่ะค่ะ!"

หลีอ๋องเดือดดาลทันที  นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ เขาจึงได้แต่คำรามเบาๆในลำคอ และเอ่ยเสียงเรียบ "เรื่องนี้หาผู้กระทำความผิดที่แท้จริงไม่พบแล้วเหรอ? จะมีใครอื่นอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้เสียที่ไหน? น้องสามพูดเรื่องนี้ต่อหน้าข้าก็ช่างเถอะ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อ น้องสามสามารถแก้ต่างให้ตัวเองต่อหน้าเสด็จพ่อได้ใช่ไหม! หากซานกงไร้ประโยชน์ถึงเพียงนั้น ไฉนในตอนนั้นน้องสามไม่เป็นฝ่ายอาสาสอบสวนเรื่องนี้เองเล่า? มาพูดเรื่องนี้เอาในตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด?"

เซี่ยนอ๋องสะดุ้ง และหน้าซีดด้วยความตกใจทันที เขาเสียใจที่รีบโพล่งความในใจออกไปเร็วหน่อย จึงโบกมือเป็นพัลวัน "ไม่ใช่ ไม่ใช่! วันนี้หม่อมฉันเพียงแต่มีความรู้สึกหวั่นไหวไปหน่อย จึงบ่นหยุมหยิมมากเกินไปก็เท่านั้น! ไม่มีเจตนาอื่นใดเลยจริงๆ! เสด็จพี่รองตรัสถูกแล้ว เรื่องนี้ก็มีการสรุปผลไปแล้ว และเสด็จพ่อก็ทรงอนุมัติแล้ว ไหนเลยยังจะมีการตั้งคำถามหาเหตุผลอีก? หม่อมฉันแค่สับสน พอหม่อมฉันสับสน ถึงได้พูดจาเหลวไหลไป! ฮ่าๆ เสด็จพี่รอง ทรงยังไม่รู้จักหม่อมฉันหรือ? ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ทำได้แค่เขียนตัวอักษร วาดภาพ อ่านหนังสือสองสามเล่ม และสอนน้องห้า นอกนั้นก็ไม่มีความสามารถอื่นใดแล้ว เสด็จพี่รอง ได้โปรดอย่าเอาคำพูดที่หม่อมฉันเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ แพร่งพรายออกไปเด็ดขาดนะ ไม่เช่นนั้นคงทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะจนตายแน่เลยพ่ะย่ะค่ะ!"

เมื่อหลีอ๋องเห็นว่าเซี่ยนอ๋องตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่งและหวาดกลัวจนถึงกับพูดติดๆขัดๆ ก็พลันรู้สึกโล่งใจ ใบหน้าก็ผ่อนคลายลงมาก ดังนั้นจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยขึ้น "ข้าก็แค่หวังดี จึงพูดออกไปเช่นนั้น พวกเราพี่น้องพูดคุยกันเอง แล้วมันแพร่งพรายออกไปได้อย่างไร? เพียงแต่ น้องสาม เจ้าคิดอย่างไร ก็พูดออกมาอย่างนั้น นิสัยนี้ควรเปลี่ยนได้แล้วจริงๆ!"

"เสด็จพี่รองตรัสถูกแล้ว ตรัสถูกจริงๆ!" เซี่ยนอ๋องแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วรีบพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

หลีอ๋องยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก

เพียงครู่เดียว รถม้าก็มาหยุดลงตรงหน้าตำหนักเซี่ยนอ๋อง เซี่ยนอ๋องจึงกล่าวคำอำลา และก้าวลงจากรถม้า

เสด็จพี่รอง จะเข้าไปนั่งเสวยชาสักถ้วยข้างในก่อนกลับไหมพ่ะย่ะค่ะ?” เซี่ยนอ๋องเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้มสุภาพ

หลีอ๋องเพียงเหลือบมองเขา แล้วจึงยิ้มอย่างสุภาพพร้อมส่ายหน้า "ไว้ครั้งหน้าเถิด! ข้าเองก็ค่อนข้างเพลียแล้วเช่นกัน ข้าอยากกลับไปงีบตอนบ่ายให้เร็วหน่อย"

พอกล่าวจบ สองพี่น้องก็กล่าวอำลากันทันที และจากไป

ในช่วงเวลานี้ ในรถม้าเหลือเพียงหลีอ๋องคนเดียว ข้างในเงียบมากจนไม่มีเสียงใดๆ ได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้าที่เหยียบย่ำเป็นจังหวะ และเสียงล้อรถบดถนนกึกก้องที่ด้านนอกดังมาเข้าหู

จู่ๆ หลี่อ๋องก็กระแทกกำปั้นลงบนตั่งในรถ พลางกัดฟันและสบถเสียงต่ำ "บัดซบ!"

จากคำพูดของเซี่ยนอ๋อง จู่ๆ เขาก็คิดได้ว่าไท่จื่อไม่ใช่คนโง่เลย เรื่องนี้ถึงแม้ไม่มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ว่าเขาเป็นคนจัดฉากในครั้งนี้ แต่ขอเพียงลองขบคิดดูว่าใครจะสามารถทำเรื่องนี้ได้ และใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดหากอีกฝ่ายโชคร้าย จึงไม่ยากที่จะคิดได้ว่าเขาคือหัวเรือใหญ่เรื่องนี้

จะตัดสินคดีใคร จำต้องมีหลักฐาน ทว่าความสงสัยกลับไม่ต้องมีหลักฐานก็ได้

ในเมื่อไท่จื่อสงสัยในตัวเขามากที่สุด แล้วเสด็จพ่อล่ะ? ในเมื่อเสด็จพ่อไม่โง่ พระองค์จะทรงมีดำริในเรื่องนี้อย่างไร?

ที่เขาเชื่อว่าเสื้อผ้านางฟ้าของตัวเองไร้รอยตะเข็บ[1] นับว่าเปล่าประโยชน์แท้! ความจริงแล้ว หากไท่จื่อถูกคุมขังในคุก แล้วถึงกับฆ่าตัวตายด้วยความหวาดกลัวโทษฑัณฑ์ แล้วหากเขาทำสำเร็จ มันจะเป็นอย่างเสื้อผ้านางฟ้าไร้รอยตะเข็บไหม! ทว่าความจริงแล้ว เขากลับทำไม่สำเร็จ เสด็จพ่อและไท่จื่อก็ต้องนึกสงสัยบ้างแล้ว...

ถึงแม้เสด็จพ่อจะไม่ตรัสอะไรในตอนนี้ ทว่าเมื่อทรงบังเกิดความสงสัยอยู่ในพระทัย มันก็จะยิ่งเป็นผลร้ายต่อตัวเขาเอง

ยิ่งหลีอ๋องคิดถึงเรื่องนี้เท่าไร เขาก็อดตื่นตระหนกมากขึ้นไม่ได้ และก็แอบท้อแท้อีกครั้ง: อย่าบอกนะว่าชาตินี้ เขาจะไม่มีหวังแล้ว? อย่าบอกนะว่า ภายภาคหน้าเขาต้องใช้ชีวิตโดยต้องคอยมองดูสีหน้าของไท่จื่อ?

หากเป็นเช่นนั้น ในบรรดาพี่น้องไม่กี่คน พวกเขาสามารถทนอยู่ใต้ไท่จื่อได้  แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่ทนอยู่ใต้อีกฝ่ายไม่ได้

ทั้งสองต่อสู้กันอย่างรุนแรงดุเดือดทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาเป็นเวลานานแล้ว และไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้งด้วย ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงร้าวลึก และทางเดียวที่จะยุติได้ก็คือ หากเจ้าไม่ตาย ข้าก็ม้วยเท่านั้น!

"เสด็จพ่อเอ๋ย เสด็จพ่อ..." หลีอ๋องถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหรุบตาลงต่ำทำหน้าครุ่นคิด และไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ในเวลาเดียวกัน ที่ตำหนักหลิวจวิ้นอ๋อง วันนี้เหลียนฟางโจวได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมหลิวจวิ้นหวางเฟย

สามวันมาแล้วที่ไท่จื่อได้ทูลถวายสมุดบันทึก หลิวจวิ้นหวางเฟยย่อมรู้เรื่องนี้แล้ว และรู้ด้วยว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และหัวข้อเรื่องสมุดบันทึกนี้ ได้กลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหลวงในปัจจุบัน รวมทั้งเรื่องชุดคำศัพท์ใหม่ที่ผุดขึ้นมาด้วย

แม้ว่าความคิดส่วนใหญ่จะมาจากเหลียนฟางโจว แต่ในฐานะผู้ร่วมหุ้นอันทรงเกียรติ ยามได้ยินเรื่องที่กำลังเป็นที่ถกเถียงและโจษจันท์กันในหมู่ผู้คน หลิวจวิ้นหวางเฟยยังรู้สึกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ จึงรู้สึกยินดีปรีดานัก

สำหรับหลิวจวิ้นอ๋อง ขอเพียงนางมีความสุข เรื่องอื่นก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อนางมีความสุข ทารกในครรภ์ก็จะมีความสุขไปด้วย หากคนสองคนมีความสุขตัวเขาก็จะมีความสุขเช่นกัน

"พี่สาว แล้วเรื่องที่ทางราชสำนักจะมีการจัดประมูลขายที่ดิน ได้มีการตัดสินใจแล้วหรือยัง? แล้วจะจัดขึ้นเมื่อใด? พวกเราเข้าไปร่วมสนุกและเก็บที่ดินมาสักสองผืนดีหรือไม่? ถึงอย่างไร พวกเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง!" หลิวจวิ้นหวางเฟยกล่าวด้วยจิตใจเบิกบาน

"ลืมมันไปก่อนเถอะ!" เหลียนฟางโจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม "พระองค์ทรงดูแลพระโอรสในครรภ์ด้วยความสบายใจเถอะ อย่าไปเข้าร่วมความตื่นเต้นเช่นนี้เลย! พวกเรายังมีที่ดินสองสามผืนอยู่ในมือ ซึ่งตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว!"

เห็นได้ชัดว่าหลิวจวิ้นอ๋องรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเหลียนฟางโจวพูด เห็นได้ว่าหวางเฟยของเขามีความคิดเช่นนี้มานานมาแล้ว และเขาก็โน้มน้าวนางไม่ได้เลย ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินหลี่กล่าวถูกแล้ว เจ้าจะเอาผลกำไรไปทั้งหมดคนเดียวไม่ได้นะ เจ้ากินเนื้อไปแล้ว ก็ต้องเหลือน้ำแกงสักคำไว้ให้คนอื่นเขาบ้างสิ!"

หลิวจวิ้นหวางเฟยและเหลียนฟางโจวต่างหัวเราะออกมา แต่แล้วก็คำรามเบาๆ "ต่อให้ข้าอยากจะกินเนื้อและดื่มน้ำแกงไปพร้อมกัน ใครจะกล้าขวางเหรอ"

หลิวจวิ้นอ๋องได้แต่ยิ้มแห้งๆ "ใช่ๆ แน่นอน ข้าไม่กล้าหรอก! เพียงแต่ตอนนี้เจ้าท้องอยู่ เอาไว้คลอดลูกก่อน ส่วนเรื่องอื่นก็ค่อยว่ากันอีกที ตกลงไหม?"

ความจริงแล้ว เหลียนฟางโจวเองก็คิดเหมือนหลิวจวิ้นอ๋องเช่นกัน เนื่องจากครอบครัวของพวกเขาคว้าโอกาสและได้เปรียบมหาศาลในการซื้อที่ดิน ไม่รู้ว่ายามนี้จะมีคนอิจฉาตาร้อนมากเท่าไรแล้ว หากก้าวเข้าไปร่วมวงในครั้งนี้อีก คงไม่ดีเลยจริงๆ

การทำอะไรแต่พอดียังคงสมเหตุสมผลนัก

จากนั้นหญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "สิ่งที่หลิวจวิ้นอ๋องตรัสก็คือ ธุรกิจในโลกนี้จะหมดสิ้นเสียที่ไหน! ในเมื่อเราได้ครอบครองผลประโยชน์มหาศาลจากมันแล้ว ก็ควรกลับมายืนดูความสนุกตื่นเต้นอยู่ข้างๆจะไม่ดีกว่าเหรอ? ไยจะต้องเดือดร้อนไปย่ำน้ำโคลนในครั้งนี้ด้วยเล่า? "

พี่สาวกล่าวถูกแล้ว!” หลิวจวิ้นหวางเฟยปรบมือหัวเราะชอบใจ

การเฝ้าดูความสนุกตื่นเต้น เป็นสิ่งที่นางชอบที่สุด

เมื่อหลิวจวิ้นหวางเฟยยอมเลิกคิดแล้ว หลิวจวิ้นอ๋องก็พลันรู้สึกโล่งใจมากจริงๆ

ยามที่สองสาวต้องการพูดคุยกันตามประสาผู้หญิง หลิวจวิ้นอ๋องจึงจากไปอย่างรู้กาละเทศะ

หลังจากนั้นไม่นาน เหลียนฟางโจวก็กลับไป

วันนี้เหลียนฟางโจวไม่มีอะไรทำ จึงมาอยู่เล่นกับซู่เอ๋อร์ในลานสวน จู่ๆหงอวี้ก็เดินเข้ามาและกระซิบกระซาบบางอย่าง ทีแรกเหลียนฟางโจวทำหน้าตกใจ จากนั้นยกยิ้มบาง "ข้ายังนึกว่านางจะสูงส่งมีคุณธรรมจริงๆเสียอีก ที่แท้ก็มีแค่นี้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว เรามาคอยดูกันสิว่านางจะเล่นตุกติกอันใด!”

**

[1]หมายความว่า สิ่งใดๆก็ตามที่มีความสมบูรณ์แบบ ที่ปราศจากร่องรอยหรือจุดด่างดำใดๆทั้งสิ้น

 

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ2 พฤษภาคม 2568 เวลา 08:59

    อยากรู้จริงๆ สาวๆเค้าจะทำอะไร

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ3 พฤษภาคม 2568 เวลา 11:50

    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ