บทที่ 977 ชนักปักหลัง
ท้ายที่สุด หลีอ๋องก็รู้สึกถึงชนักปกหลังในใจ พอได้ยินคำพูดเหล่านี้
เขารู้สึกว่ามันแสลงหู สีหน้าเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ
แต่เขาไม่อาจแสดงออกนอกหน้าได้ จึงได้แต่พยักหน้าและถอนหายใจ "ก็ใครบอกว่าไม่ใช่เล่า!"
เซี่ยนอ๋องกล่าวอีกครั้ง "หม่อมฉันคาดไม่ถึงเลยว่าซานกงจะได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้
ก็ถือว่าพวกเขาไร้ความสามารถ! เฮ้อ ยามปกติแล้ว ภายในล้วนเห็นพวกเขาแต่ละคนมีอำนาจและความน่าเกรงขามยิ่งนัก
ใครเล่าจะรู้ว่า คุณประโยชน์สักเพียงครึ่งก็ไม่มี มิน่าเล่า
เสด็จพ่อจึงทรงพิโรธใหญ่โตถึงเพียงนั้น! ไท่จื่อจะทรงทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? แม้แต่หม่อมฉันก็ยังไม่เชื่อเลย! เสด็จพี่รองบอกหม่อมฉันทีว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้กันแน่? ความคิดนี้ช่างทำให้คนหวาดกลัวจริงๆ! โชคดีที่เสด็จพ่อทรงพระปรีชา
ไท่จื่อจึงทรงรอดชีวิตจากหายนะครั้งนี้มาได้อย่างปลอดภัย จากนี้ไปคาดว่าคงต้องระวังตัวไว้เสมอ
จะให้เรื่องแบบนี้เกิดซ้ำไม่ได้อีก หากเกิดขึ้นอีกครั้ง
ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเองที่เป็นคนวงในเลย ขนาดหม่อมฉันซึ่งเป็นคนนอก
พอเห็นแล้วก็ยังรู้สึกสยองขวัญเลยพ่ะย่ะค่ะ!"
หลีอ๋องเดือดดาลทันที
นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ เขาจึงได้แต่คำรามเบาๆในลำคอ และเอ่ยเสียงเรียบ
"เรื่องนี้หาผู้กระทำความผิดที่แท้จริงไม่พบแล้วเหรอ? จะมีใครอื่นอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้เสียที่ไหน?
น้องสามพูดเรื่องนี้ต่อหน้าข้าก็ช่างเถอะ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อ
น้องสามสามารถแก้ต่างให้ตัวเองต่อหน้าเสด็จพ่อได้ใช่ไหม! หากซานกงไร้ประโยชน์ถึงเพียงนั้น
ไฉนในตอนนั้นน้องสามไม่เป็นฝ่ายอาสาสอบสวนเรื่องนี้เองเล่า? มาพูดเรื่องนี้เอาในตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด?"
เซี่ยนอ๋องสะดุ้ง และหน้าซีดด้วยความตกใจทันที เขาเสียใจที่รีบโพล่งความในใจออกไปเร็วหน่อย
จึงโบกมือเป็นพัลวัน "ไม่ใช่ ไม่ใช่! วันนี้หม่อมฉันเพียงแต่มีความรู้สึกหวั่นไหวไปหน่อย
จึงบ่นหยุมหยิมมากเกินไปก็เท่านั้น! ไม่มีเจตนาอื่นใดเลยจริงๆ! เสด็จพี่รองตรัสถูกแล้ว เรื่องนี้ก็มีการสรุปผลไปแล้ว
และเสด็จพ่อก็ทรงอนุมัติแล้ว ไหนเลยยังจะมีการตั้งคำถามหาเหตุผลอีก?
หม่อมฉันแค่สับสน พอหม่อมฉันสับสน ถึงได้พูดจาเหลวไหลไป! ฮ่าๆ เสด็จพี่รอง ทรงยังไม่รู้จักหม่อมฉันหรือ? ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ทำได้แค่เขียนตัวอักษร
วาดภาพ อ่านหนังสือสองสามเล่ม และสอนน้องห้า นอกนั้นก็ไม่มีความสามารถอื่นใดแล้ว เสด็จพี่รอง
ได้โปรดอย่าเอาคำพูดที่หม่อมฉันเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ แพร่งพรายออกไปเด็ดขาดนะ ไม่เช่นนั้นคงทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะจนตายแน่เลยพ่ะย่ะค่ะ!"
เมื่อหลีอ๋องเห็นว่าเซี่ยนอ๋องตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่งและหวาดกลัวจนถึงกับพูดติดๆขัดๆ
ก็พลันรู้สึกโล่งใจ ใบหน้าก็ผ่อนคลายลงมาก ดังนั้นจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยขึ้น
"ข้าก็แค่หวังดี จึงพูดออกไปเช่นนั้น พวกเราพี่น้องพูดคุยกันเอง แล้วมันแพร่งพรายออกไปได้อย่างไร? เพียงแต่ น้องสาม เจ้าคิดอย่างไร ก็พูดออกมาอย่างนั้น
นิสัยนี้ควรเปลี่ยนได้แล้วจริงๆ!"
"เสด็จพี่รองตรัสถูกแล้ว ตรัสถูกจริงๆ!" เซี่ยนอ๋องแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แล้วรีบพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
หลีอ๋องยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก
เพียงครู่เดียว รถม้าก็มาหยุดลงตรงหน้าตำหนักเซี่ยนอ๋อง เซี่ยนอ๋องจึงกล่าวคำอำลา
และก้าวลงจากรถม้า
“เสด็จพี่รอง จะเข้าไปนั่งเสวยชาสักถ้วยข้างในก่อนกลับไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
เซี่ยนอ๋องเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้มสุภาพ
หลีอ๋องเพียงเหลือบมองเขา แล้วจึงยิ้มอย่างสุภาพพร้อมส่ายหน้า "ไว้ครั้งหน้าเถิด!
ข้าเองก็ค่อนข้างเพลียแล้วเช่นกัน ข้าอยากกลับไปงีบตอนบ่ายให้เร็วหน่อย"
พอกล่าวจบ สองพี่น้องก็กล่าวอำลากันทันที และจากไป
ในช่วงเวลานี้ ในรถม้าเหลือเพียงหลีอ๋องคนเดียว ข้างในเงียบมากจนไม่มีเสียงใดๆ
ได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้าที่เหยียบย่ำเป็นจังหวะ และเสียงล้อรถบดถนนกึกก้องที่ด้านนอกดังมาเข้าหู
จู่ๆ หลี่อ๋องก็กระแทกกำปั้นลงบนตั่งในรถ พลางกัดฟันและสบถเสียงต่ำ
"บัดซบ!"
จากคำพูดของเซี่ยนอ๋อง จู่ๆ เขาก็คิดได้ว่าไท่จื่อไม่ใช่คนโง่เลย เรื่องนี้ถึงแม้ไม่มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ว่าเขาเป็นคนจัดฉากในครั้งนี้
แต่ขอเพียงลองขบคิดดูว่าใครจะสามารถทำเรื่องนี้ได้
และใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดหากอีกฝ่ายโชคร้าย จึงไม่ยากที่จะคิดได้ว่าเขาคือหัวเรือใหญ่เรื่องนี้
จะตัดสินคดีใคร จำต้องมีหลักฐาน ทว่าความสงสัยกลับไม่ต้องมีหลักฐานก็ได้
ในเมื่อไท่จื่อสงสัยในตัวเขามากที่สุด แล้วเสด็จพ่อล่ะ? ในเมื่อเสด็จพ่อไม่โง่ พระองค์จะทรงมีดำริในเรื่องนี้อย่างไร?
ที่เขาเชื่อว่าเสื้อผ้านางฟ้าของตัวเองไร้รอยตะเข็บ[1] นับว่าเปล่าประโยชน์แท้! ความจริงแล้ว
หากไท่จื่อถูกคุมขังในคุก แล้วถึงกับฆ่าตัวตายด้วยความหวาดกลัวโทษฑัณฑ์
แล้วหากเขาทำสำเร็จ มันจะเป็นอย่างเสื้อผ้านางฟ้าไร้รอยตะเข็บไหม!
ทว่าความจริงแล้ว เขากลับทำไม่สำเร็จ เสด็จพ่อและไท่จื่อก็ต้องนึกสงสัยบ้างแล้ว...
ถึงแม้เสด็จพ่อจะไม่ตรัสอะไรในตอนนี้ ทว่าเมื่อทรงบังเกิดความสงสัยอยู่ในพระทัย
มันก็จะยิ่งเป็นผลร้ายต่อตัวเขาเอง
ยิ่งหลีอ๋องคิดถึงเรื่องนี้เท่าไร เขาก็อดตื่นตระหนกมากขึ้นไม่ได้
และก็แอบท้อแท้อีกครั้ง: อย่าบอกนะว่าชาตินี้ เขาจะไม่มีหวังแล้ว? อย่าบอกนะว่า ภายภาคหน้าเขาต้องใช้ชีวิตโดยต้องคอยมองดูสีหน้าของไท่จื่อ?
หากเป็นเช่นนั้น ในบรรดาพี่น้องไม่กี่คน พวกเขาสามารถทนอยู่ใต้ไท่จื่อได้ แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่ทนอยู่ใต้อีกฝ่ายไม่ได้
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างรุนแรงดุเดือดทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาเป็นเวลานานแล้ว
และไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้งด้วย ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงร้าวลึก
และทางเดียวที่จะยุติได้ก็คือ หากเจ้าไม่ตาย ข้าก็ม้วยเท่านั้น!
"เสด็จพ่อเอ๋ย เสด็จพ่อ..." หลีอ๋องถอนหายใจเบา
ๆ ก่อนจะหรุบตาลงต่ำทำหน้าครุ่นคิด และไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ในเวลาเดียวกัน ที่ตำหนักหลิวจวิ้นอ๋อง วันนี้เหลียนฟางโจวได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมหลิวจวิ้นหวางเฟย
สามวันมาแล้วที่ไท่จื่อได้ทูลถวายสมุดบันทึก หลิวจวิ้นหวางเฟยย่อมรู้เรื่องนี้แล้ว
และรู้ด้วยว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และหัวข้อเรื่องสมุดบันทึกนี้ ได้กลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหลวงในปัจจุบัน
รวมทั้งเรื่องชุดคำศัพท์ใหม่ที่ผุดขึ้นมาด้วย
แม้ว่าความคิดส่วนใหญ่จะมาจากเหลียนฟางโจว แต่ในฐานะผู้ร่วมหุ้นอันทรงเกียรติ
ยามได้ยินเรื่องที่กำลังเป็นที่ถกเถียงและโจษจันท์กันในหมู่ผู้คน หลิวจวิ้นหวางเฟยยังรู้สึกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
จึงรู้สึกยินดีปรีดานัก
สำหรับหลิวจวิ้นอ๋อง ขอเพียงนางมีความสุข เรื่องอื่นก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อนางมีความสุข
ทารกในครรภ์ก็จะมีความสุขไปด้วย หากคนสองคนมีความสุขตัวเขาก็จะมีความสุขเช่นกัน
"พี่สาว แล้วเรื่องที่ทางราชสำนักจะมีการจัดประมูลขายที่ดิน
ได้มีการตัดสินใจแล้วหรือยัง? แล้วจะจัดขึ้นเมื่อใด? พวกเราเข้าไปร่วมสนุกและเก็บที่ดินมาสักสองผืนดีหรือไม่? ถึงอย่างไร พวกเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง!" หลิวจวิ้นหวางเฟยกล่าวด้วยจิตใจเบิกบาน
"ลืมมันไปก่อนเถอะ!" เหลียนฟางโจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"พระองค์ทรงดูแลพระโอรสในครรภ์ด้วยความสบายใจเถอะ อย่าไปเข้าร่วมความตื่นเต้นเช่นนี้เลย!
พวกเรายังมีที่ดินสองสามผืนอยู่ในมือ ซึ่งตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว!"
เห็นได้ชัดว่าหลิวจวิ้นอ๋องรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเหลียนฟางโจวพูด
เห็นได้ว่าหวางเฟยของเขามีความคิดเช่นนี้มานานมาแล้ว และเขาก็โน้มน้าวนางไม่ได้เลย
ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินหลี่กล่าวถูกแล้ว
เจ้าจะเอาผลกำไรไปทั้งหมดคนเดียวไม่ได้นะ เจ้ากินเนื้อไปแล้ว ก็ต้องเหลือน้ำแกงสักคำไว้ให้คนอื่นเขาบ้างสิ!"
หลิวจวิ้นหวางเฟยและเหลียนฟางโจวต่างหัวเราะออกมา แต่แล้วก็คำรามเบาๆ
"ต่อให้ข้าอยากจะกินเนื้อและดื่มน้ำแกงไปพร้อมกัน ใครจะกล้าขวางเหรอ"
หลิวจวิ้นอ๋องได้แต่ยิ้มแห้งๆ "ใช่ๆ แน่นอน ข้าไม่กล้าหรอก! เพียงแต่ตอนนี้เจ้าท้องอยู่
เอาไว้คลอดลูกก่อน ส่วนเรื่องอื่นก็ค่อยว่ากันอีกที ตกลงไหม?"
ความจริงแล้ว เหลียนฟางโจวเองก็คิดเหมือนหลิวจวิ้นอ๋องเช่นกัน
เนื่องจากครอบครัวของพวกเขาคว้าโอกาสและได้เปรียบมหาศาลในการซื้อที่ดิน ไม่รู้ว่ายามนี้จะมีคนอิจฉาตาร้อนมากเท่าไรแล้ว
หากก้าวเข้าไปร่วมวงในครั้งนี้อีก คงไม่ดีเลยจริงๆ
การทำอะไรแต่พอดียังคงสมเหตุสมผลนัก
จากนั้นหญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "สิ่งที่หลิวจวิ้นอ๋องตรัสก็คือ
ธุรกิจในโลกนี้จะหมดสิ้นเสียที่ไหน! ในเมื่อเราได้ครอบครองผลประโยชน์มหาศาลจากมันแล้ว
ก็ควรกลับมายืนดูความสนุกตื่นเต้นอยู่ข้างๆจะไม่ดีกว่าเหรอ? ไยจะต้องเดือดร้อนไปย่ำน้ำโคลนในครั้งนี้ด้วยเล่า?
"
“พี่สาวกล่าวถูกแล้ว!” หลิวจวิ้นหวางเฟยปรบมือหัวเราะชอบใจ
การเฝ้าดูความสนุกตื่นเต้น เป็นสิ่งที่นางชอบที่สุด
เมื่อหลิวจวิ้นหวางเฟยยอมเลิกคิดแล้ว หลิวจวิ้นอ๋องก็พลันรู้สึกโล่งใจมากจริงๆ
ยามที่สองสาวต้องการพูดคุยกันตามประสาผู้หญิง หลิวจวิ้นอ๋องจึงจากไปอย่างรู้กาละเทศะ
หลังจากนั้นไม่นาน เหลียนฟางโจวก็กลับไป
วันนี้เหลียนฟางโจวไม่มีอะไรทำ จึงมาอยู่เล่นกับซู่เอ๋อร์ในลานสวน จู่ๆหงอวี้ก็เดินเข้ามาและกระซิบกระซาบบางอย่าง
ทีแรกเหลียนฟางโจวทำหน้าตกใจ จากนั้นยกยิ้มบาง "ข้ายังนึกว่านางจะสูงส่งมีคุณธรรมจริงๆเสียอีก
ที่แท้ก็มีแค่นี้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว เรามาคอยดูกันสิว่านางจะเล่นตุกติกอันใด!”
**
[1]หมายความว่า
สิ่งใดๆก็ตามที่มีความสมบูรณ์แบบ ที่ปราศจากร่องรอยหรือจุดด่างดำใดๆทั้งสิ้น
อยากรู้จริงๆ สาวๆเค้าจะทำอะไร
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบ