วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 978 เข้าไปในเขตเรือนห้องหนังสือของเขา

 

 บทที่ 978 เข้าไปในเขตเรือนห้องหนังสือของเขา

ทว่าหงอวี้กลับค่อนข้างเป็นกังวล "แต่ฮูหยิน นางแพศยานั่นเข้ามาในเขตเรือนห้องหนังสือของท่านโหวนะเจ้าคะ นางต้องใช้กลอุบายบางอย่าง จนทำให้ท่านโหวยินดีให้นางเข้าพบ จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอเจ้าคะ?"

ความจริงแล้ว เหลียนฟางโจวรู้สึกใจเต้นตึกตักเล็กน้อย แต่แล้วก็รู้สึกละอายใจหน่อยๆ อาเจี่ยนดีต่อนางนัก แล้วเหตุใดนางต้องกังวลในเรื่องพวกนี้ด้วย?

ทันใดนั้น สีหน้าเหลียนฟางโจวก็แข็งค้าง แล้วจึงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว "เอาล่ะ มาคอยดูกันเถอะ! ท่านโหวคือใคร? เขาจะหลงกลคนประเภทนี้ได้ยังไง!"

หงอวี้ไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้ ดังนั้นนางจึงได้ยิ้มและถอนหายใจออกมา "ท้ายที่สุดก็คือฮูหยิน ความสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ บ่าวคงไม่มีทางเรียนรู้มันได้ในชั่วชีวิตนี้หรอกเจ้าค่ะ!"

นอกจากนี้ ยามที่หลี่ฟู่กลับมาในวันนี้ เมื่อกลับจากด้านนอก เขาก็ตรงดิ่งเข้าห้องหนังสือทันที เพราะมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ เมื่อทำงานเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ออกมา และเห็นหญิงสาวในชุดขาว เกล้าผมเรียบง่ายปักปิ่นหยกเขียวอันเดียว ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเครื่องประดับอื่นใด กำลังยืนอยู่นอกประตู

หลี่ฟู่อดนึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาไม่ได้ เขาจึงทอดมองนางเพิ่มอีก ใบหน้าใสไร้ร่องรอยของแป้งผัดหน้า ทว่าเมื่อยิ่งพิศดู ปากยิ่งแดง ฟันขาว ดวงตาสดใสดูสงบ หน้าตางดงามโดดเด่น

ทว่าธรรมดาแล้วทุกคนล้วนมีใจรักสวยรักงาม แม้ว่าหลี่ฟู่จะไม่คิดถึงในเหตุผลนี้ แต่เพราะจิตใต้สำนึกของเขารู้สึกดี ท่าทีของเขาจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้อีกสองก้าว แล้วยอบกายคารวะ โดยไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย "บ่าว เมี่ยวอวิ๋น คารวะท่านโหวเจ้าค่ะ"

ทันทีที่นางแจ้งนาม หลี่ฟู่ก็รู้ว่า นางเป็นหนึ่งในนางกำนัลห้าคน ที่เขาได้รับพระราชทานเป็นรางวัลมาจากวังหลวงเช่นกัน ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย และบังเกิดความไม่พอใจรวมทั้งต่อต้านตามสัญชาตญาณ เขายังคงพยักหน้า "เจ้ามีเรื่องอันใดรึ?"

เหตุผลที่เขายังคงยินดีพูดคุยกับนางด้วยน้ำเสียงที่ดีนั้น เป็นเพราะเมี่ยวอวิ๋นคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่านางจะเงียบไปมากตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวน  เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น นางไม่เคยมีส่วนร่วม

สีหน้าของเมี่ยวอวิ๋นยังคงสงบนิ่งสุขมและสง่างาม หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ่าวมีเรื่องต้องการพูด จะสามารถเปลี่ยนที่คุยได้หรือไม่เจ้าค่ะ?"

หลี่ฟู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพานางกลับไปที่เขตเรือนนอกซึ่งเป็นที่ตั้งห้องหนังสือ และพาเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง

หลี่ฟู่ตั้งหน้าตั้งตารอ พลางคิดว่าเมี่ยวอวิ๋นกำลังขอให้เขาหาทางออกอื่นให้  แน่นอนว่าเขาจะช่วยสนับสนุน

และด้วยตัวอย่างวิธีการของเมี่ยวอวิ๋นนั้น รวมทั้งของอวี้เจิน หากอีกสามคนยังไม่มีความรู้ว่าความสุขุมรอบคอบคืออะไร พวกนางก็สมควรตายแล้วจริงๆ!

แน่นอนว่าเมี่ยวอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองหลี่ฟู่ ซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน แล้วเอ่ยถามอย่างนิ่งสงบ "ท่านโหว โปรดอภัยที่บ่าวหยาบคาย ช่วงเวลาที่พวกบ่าวเข้ามาในจวนนับว่าไม่สั้น ท่านโหวคิดหาที่ลงให้บ่าวและคนอื่นๆอย่างไรกันแน่?  ถึงเวลาที่ท่านควรให้คำอธิบายแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”

"ความจริงแล้วเจ้าก็ค่อนข้างมีความกล้านะ!" เมื่อหลี่ฟู่ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดจะให้หาที่ลงอย่างไรกันเล่า? เจ้าพูดมาได้เลย ไม่เป็นไร"

เมี่ยวอวิ๋นจ้องมองหลี่ฟู่เขม็ง มองเขาอย่างลังเลอยู่พักหนึ่ง ท่าทางดื้อรั้นเจือความไม่สนใจและแข็งกร้าวของอีกฝ่าย ช่างดึงดูดใจนางยิ่งนัก

ความจริงแล้วหลี่ฟู่ไม่ได้มองอันใดเลย เพียงแต่รอคำตอบของเมี่ยวอวิ๋นเท่านั้น

ยามนี้เมี่ยวอวิ๋นรู้สึกอึดอัดและหงุดหงิดในใจยิ่งนัก

ใครจะไม่อยากเป็นคนที่รวยที่สุดเล่า? เพียงแค่นางเฝ้ามองด้วยสายตาของคนนอก หลังจากที่เข้ามาในจวน ในไม่ช้านางก็เข้าใจจุดประสงค์ของเหลียนฟางโจว ที่อนุญาตให้พวกนางทำอะไรได้อย่างอิสระ นั่นก็เพียงเพื่อให้พวกนางล่าถอยยามที่ต้องเผชิญกับความลำบากใช่ไหม!

ในเมื่อฮูหยินกล้าทำแบบนี้ ฮูหยินต้องมั่นใจอย่างน้อยเก้าในสิบส่วนว่า ท่านโหวจะไม่ลงมือทำอะไรใช่ไหม?

แน่นอนว่านางไม่ได้โง่เง่าเหมือนฝูหย่าและคนอื่น ๆ ที่ทำแต่เรื่องโง่ ๆ ซึ่งพาให้ผู้คนหัวเราะเยาะหนักขึ้น

ทว่านางก็ไม่สามารถเอาแต่รอเงียบๆได้! นางเชื่อว่า ถึงนางจะรอไปทั้งชีวิต ฮูหยินกก็คงไม่พูดอะไรแม้สักครึ่งคำ เพียงให้ข้าวให้น้ำเลี้ยงพวกนางเท่านั้น และก็ปล่อยให้พวกนางรอต่อไปตามใจ!

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ!

เมื่อคิดทบทวนในทุกด้านแล้ว และเมื่อเห็นว่าเวลาก็สุกงอมได้ที่แล้ว ในที่สุดเมี่ยวอวิ๋น ก็ไม่อาจรอได้อีกต่อไป นางจึงตัดสินใจเดินหน้าเสี่ยงดูสักตั้ง

เป็นไปอย่างที่นางคาดไว้ ท่านโหวจ้องนางเขม็ง นางเองก็คิดไม่ถึงว่า ท่านโหวจะพานางมาคุยบริเวณด้านนอกห้องหนังสือ

เมี่ยวอวิ๋นอดแอบเสียใจไม่ได้ มันคงจะดีกว่านี้ หากมีสาวใช้คนสนิทมาด้วย  และในช่วงเวลานี้ ก็ให้อีกฝ่ายวิ่งไปยั่วโทสะฮูหยิน ฮูหยินคงหงุดหงิดอย่างห้ามไม่อยู่ และมันจะดียิ่งกว่านั้น หากฮูหยินเริ่มหงุดหงิดไม่พอใจ แล้วพาคนบุกมาหาเรื่องถึงที่นี่...

เมื่อได้ยินคำถามของหลี่ฟู่ เมี่ยวอวิ๋นก็แอบรู้สึกดีใจ ขณะที่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหลี่ฟู่ "ถึงอย่างไร พวกบ่าวก็คือของขวัญพระราชทานจากวังหลวง ท่านโหวคงจะไม่ทำอะไร จนเป็นการหักหน้าวังหลวงมากเกินไปใช่ไหมเจ้าคะ? แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ทรงตำหนิท่านโหวในเรื่องนี้ แต่พระองค์อาจรู้สึกไม่พอพระทัยอยู่ข้างใน ดังนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรกับท่านโหวเล่า? ท่านโหวเองก็จำต้องยอมรับไปโดยปริยาย พอเป็นแบบนี้ ทุกคนจะได้รับประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่ายเจ้าค่ะ!"

สีหน้าของหลี่ฟู่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง โทสะเริ่มผุดขึ้นในใจรำไร

เขายังคิดว่านางจะแตกต่างจากคนอื่น ที่แท้นางก็มาตะเภาเดียวกัน!

ชายหนุ่มยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งไว้ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น  "อ้อ? แล้วเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรเล่า?"

เมี่ยวอวิ๋นนิ่งงันไปเล็กน้อย มันน่ากระดากอายหน่อยๆที่หญิงสาวคนหนึ่งจะพูดแบบนี้ออกมา

เหลืออีกเพียงเก้าสิบเก้าขั้นตอนที่ต้องไปต่อ นางไม่อาจกลับหลังหันได้ ตราบใดที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในขั้นตอนสุดท้าย!

เมี่ยวอวิ๋นกัดฟันอดทนต่อความอับอายที่ขึ้นเป็นริ้วๆบนใบหน้า ก่อนจะมองหลี่ฟู่ ด้วยดวงตาที่ฉ่ำน้ำในฤดูใบไม้ร่วง "ท่านโหว บ่าวเพียงต้องการหาที่พึ่งพิงเท่านั้น บ่าวสำเหนียกในตัวเองดี ไม่เคยกล้ามีเรื่องโต้เถียงกับฮูหยิน บ่าวเองก็อ่านหนังสือสองสามเล่ม จึงพอรู้ความ และยินดีที่จะแบ่งปันความทุกข์กังวลแทนท่านโหวและฮูหยินเจ้าค่ะ!"

เพราะความตื่นเต้นและประหม่า ใบหน้าของหญิงสาวจึงซีดลง ทว่านางก็พยายามบังคับตัวเองให้สงบนิ่งอยู่ และจ้องมองหลี่ฟู่ตาไม่กระพริบ

บรรยากาศเงียบกริบ จนแทบได้ยินเสียงเข็มหล่นในห้อง

จู่ๆหลี่ฟู่ก็แค่นหัวเราะ "หึ!" พลางเหลือบมองเมี่ยวอวิ๋น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็น "เจ้ากำลังมองหาที่พักพิงไม่ใช่หรือ? ง่ายนิดเดียว แล้วที่พักพิงนี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับฮูหยินเล่า เจ้ากำลังลากฮูหยินมาสู่หัวข้อนี้เพื่ออันใด? หลังจากอ่านหนังสือมาสองสามเล่ม เจ้ากล้าพูดเรื่องจะแบ่งปันความทุกข์กังวลของเจ้าเหรอ? ฮึ่ม เจ้าคิดว่าเปิ่นโหวกับฮูหยินเป็นคนที่ไม่เคยเรียนหนังสือมาหรือไร? หืม?"

ใบหน้าของเมี่ยวอวิ๋นพลันซีดลง นางรู้ว่าการเดิมพันครั้งนี้เป็นเรื่องผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง!

ด้วยอาศัยที่ตนเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็งคนหนึ่ง หญิงสาวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน "ท่านโหว ได้เห็นเรื่องน่าขบขันของบ่าวแล้ว! เป็นบ่าวที่ประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป! บ่าวขอบังอาจให้ท่านโหวช่วยไขข้อสงสัยของบ่าวได้หรือไม่? ฮูหยินมีรูปโฉมงดงาม แต่ก็ไม่ถึงขั้นงามล่มเมือง ไฉนท่านโหวถึงอุทิศกายใจปฏิบัติต่อฮูหยินดีถึงเพียงนี้? ท่านโหว ได้โปรด ให้บ่าวได้ตายก็ตายอย่างเข้าใจด้วยเจ้าค่ะ!”

หลี่ฟู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และอดมองอย่างเมี่ยวอวิ๋นอย่างลึกซึ้งไม่ได้ "สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาของฮูหยินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต่อให้นางจะมีรูปโฉมธรรมดา ข้าก็จะปฏิบัติต่อนางแบบเดียวกัน เพราะนางรักหลี่ฟู่ ไม่ใช่เว่ยหนิงโหว หรือแม่ทัพหลี่ ที่ข้าพูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?

เมี่ยวอวิ๋นสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางพยายามฝืนยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง "บ่าวเข้าใจแล้ว...ด้วยความสามารถของท่านโหวเท่านั้น ต่อให้วันนี้ไม่ใช่ท่านโหวหรือ แม่ทัพหลี่ ก็แน่ใจว่านางจะไม่มีทางถูกใครแทนที่อย่างแน่นอน ฮูหยิน ..ช่างโชคดีนัก!"

หลี่ฟู่ชำเลืองมองเมี่ยวอวิ๋น พลางนึกในใจว่าผู้หญิงคนนี้พูดถูก! ต่อให้ข้าจะไม่ใช่เว่ยหนิงโหหรือแม่ทัพใหญ่ แต่ข้าก็จะไม่ทำให้ฟางโจวต้องคับข้องใจ และข้าจะไม่ทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมานที่นางติดตามข้า

ความจริงแล้ว หลี่ฟู่รู้สึกห่อเหี่ยวใจเล็กน้อย บางทีที่เขาพูดไป เมี่ยวอวิ๋นเองก็คงไม่เชื่อ? คนอื่นก็คงไม่เชื่อใช่ไหม? ตอนนั้นที่ฟางโจวรู้ฐานะที่แท้จริงของเขา  นางไม่ดีใจเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเขาเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน เพียงแต่เขาเป็นคนของบ้านเมือง ไม่อาจทำอะไรได้ตามใจ  เขาไม่อาจบอกว่าจะละทิ้งหน้าที่ก็ละทิ้งได้

ไม่เช่นนั้น หากฟางโจวได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระสบายใจ ชีวิตคงจะดีกว่านี้?

เมี่ยวอวิ๋นคุกเข่าลงทันที แล้วก้มศีรษะเอ่ยต่อ "บ่าวไม่กล้ามีใจหลงผิด เพียงอยากขอร้องท่านโหวช่วยหาหนทางรอดให้แก่บ่าว ถึงอย่างไรบ่าวก็เป็นสตรีคนหนึ่งเจ้าค่ะ..."

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น