วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1108 สวีอี้เจินถูกเย็นชาในจวนโหว

 

บทที่ 1108 สวีอี้เจินถูกเย็นชาในจวนโหว

 

ในจวนตระกูลเหลียน หลังจากเหลียนเจ๋อส่งเหลียนฟางชิงและอาหญิงสามเดินทางออกจากเมืองหลวง และส่งเหลียนเช่อกับอวิ๋นลั่วเอ๋อร์ไปยังจวนเว่ยหนิงโหวแล้ว เขาก็เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนจะต้องออกเดินทางจากเมืองหลวง

สิ่งที่เหลียนเจ๋อเป็นห่วงมากที่สุดคือสวีอี้หยุน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะย้ำเตือนและกำชับเรื่องต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งกับสวีอี้หยุนเองและกับหลี่หมอมอและคนอื่นๆ ในเรือน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขากำชับว่า “เรื่องอื่นพอจะหยวนๆ ไปได้ แต่ถ้าคนจากจวนสวีกั๋วกงมาขอให้ท่านหญิงรองไปพบ เจ้าต้องรีบไปแจ้งพี่สาวของข้าที่จวนเว่ยหนิงโหวทันที ห้ามไปเองเด็ดขาด! ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หากมีปัญหาอะไร ข้าคงกลับมาแก้ไขไม่ทัน ข้าคุยเรื่องนี้กับพี่สาวเรียบร้อยแล้ว นางจะช่วยจัดการแน่นอน!”

หลี่หมอมอและคนอื่นๆ รีบรับคำด้วยรอยยิ้ม “วางใจได้เจ้าค่ะ นายท่านสอง!”

เมื่อเหลียนเจ๋อเห็นว่าไม่มีอะไรต้องพูดเพิ่มเติมแล้ว เขาจึงยิ้มและกล่าวว่า  “เช่นนี้ข้าก็วางใจได้แล้ว สองวันนี้ข้าจะยุ่งมาก อาจกลับดึก หรือไม่ก็พักอยู่ที่ห้องหนังสือ หากไม่ว่าง ข้าอาจไม่ได้มาที่นี่ พวกเจ้าดูแลฮูหยินสองให้ดี”

ขณะพูด เขาเหลือบมองไปทางสวีอี้หยุน

สวีอี้หยุนรู้สึกไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะโล่งใจหรือรู้สึกผิดหวังดี นางยิ้มฝืนๆ ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “นายท่านสองวางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าสบายดี!”

หลี่หมอมอเองก็ยิ้มและเสริมว่า “นายท่านสองวางใจได้เจ้าค่ะ!” จากนั้นจึงพูดพร้อมรอยยิ้มประจบ

“ว่าแต่นายท่านสองต้องเดินทางไกลครั้งนี้ ข้าวของเตรียมพร้อมหรือยังเจ้าคะ?”

ขณะพูด นางเหลือบมองไปทางสวีอี้หยุนอย่างมีนัยสำคัญ เหมือนต้องการให้นางอาสาจัดเตรียมสัมภาระให้เหลียนเจ๋อ

การเดินทางของสามี ภรรยาเป็นผู้จัดของให้ นั่นไม่ใช่หน้าที่ที่ควรทำหรือ?

สวีอี้หยุนเองก็เข้าใจดีว่าหลี่หมอมอพูดถูก นางกำลังลังเลอยู่ว่าควรจะเอ่ยปากอาสาจัดสัมภาระให้หรือไม่ จู่ๆ เหลียนเจ๋อก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหรอก ซือซือจัดของให้ข้าเรียบร้อยแล้ว! ไม่ต้องให้ท่านหญิงลำบากใจ”

หลี่หมอมอที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับยิ้มเจื่อนเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ขณะที่สวีอี้หยุนรู้สึกกระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ นางฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ถ้าแม่นางซือซือจัดของให้แล้วก็ดี นางอยู่รับใช้อยู่ข้างกายนายท่านสองมานาน ย่อมทำเรื่องพวกนี้ได้เรียบร้อยกว่าใครๆ อยู่แล้ว”

“ที่จริงก็ไม่มีอะไรต้องจัดมากนัก แค่เสื้อผ้ารองเท้าธรรมดาสองสามชุดเท่านั้นเอง” เหลียนเจ๋อยิ้มและกล่าวเสริมอีกสองสามคำ ก่อนจะเดินออกไป

ในใจลึกๆ เขาอยากให้สวีอี้หยุนเป็นคนจัดของให้เขามากกว่า แต่เมื่อคิดว่าอาจเป็นการบังคับนาง เขาก็ไม่กล้าขอ

หลังจากเหลียนเจ๋อเดินออกไปแล้ว ปิงลู่ที่อยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความไม่พอใจ

“บ่าวทนไม่ไหวแล้ว! นั่น—” แต่เมื่อคิดได้ว่าสวีอี้หยุนเคยเตือนว่าไม่ให้พูดเรื่องร้ายเกี่ยวกับซือซือ นางจึงสะบัดเสียง “ฮึ!” และไม่พูดอะไรต่อ

สวีอี้หยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เจ้าอีกแล้ว! สักวันหนึ่งยังไงนายท่านสองก็ต้องมีคนที่อยู่เคียงข้างไม่ใช่หรือ? ซือซืออย่างน้อยก็เป็นคนจริงใจต่อเขา ดีกว่าคนอื่นมากมาย! ช่างเถอะ พวกเจ้าไปทำงานของพวกเจ้า ข้าขออยู่เงียบๆ สักพัก”

เมื่อไม่คาดหวัง ก็ย่อมไม่เสียใจ

แต่แล้วทำไมลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่าเช่นนี้?

หลังจากเหลียนเจ๋อและหลี่อวิ๋นหานออกจากเมืองหลวง ชีวิตที่จวนตระกูลเหลียนและจวนเว่ยหนิงโหวก็สงบเงียบเหมือนน้ำในบ่อ เหลียนฟางโจวจึงมีเวลาโฟกัสกับธุรกิจของตนมากขึ้น

รอยยิ้มบนใบหน้านางสดใสยิ่งกว่าเดิม อารมณ์ก็แจ่มใสอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าสาเหตุก็มาจากบัญชีรายรับจากแต่ละสาขาที่ส่งมาให้ ซึ่งนางพอใจเป็นอย่างมาก

แต่ในจวนซิ่นหยางโหวกลับไม่สงบเช่นนั้น

ในวันที่สวีอี้เจินถูกส่งตัวเข้ามาในจวน นางถูกยกเกี้ยวเล็กเข้ามาอย่างเงียบๆ ทางประตูด้านข้าง และถูกพาไปยังเรือนเล็กแห่งหนึ่ง

เรือนเล็กนั้นแม้จะดู “เรียบร้อยสะอาด” แต่ก็ไม่มีบรรยากาศของงานมงคลใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ทั้งในและนอกเรือนไม่มีแม้แต่เงาของความยินดี ไม่มีกระถางดอกไม้สักใบในลานบ้าน และในเรือนก็ไม่มีตัวอักษรมงคลสีแดงประดับไว้

สวีอี้เจินเมื่อเห็นดังนั้น ใบหน้าก็ซีดขาวด้วยความโกรธจนแทบหายใจไม่ออก

แค่นี้ยังไม่พอ นางรออยู่จนค่ำก็ยังไม่เห็นหรงซื่อจื่อแวะมาหา นางจึงโมโหจนทนไม่ไหว และคิดจะออกไปหาหรงซื่อจื่อด้วยตัวเอง

แต่ไป่หมอมอ รวมถึงสาวใช้ทั้งสองอย่างหานจูและหานเฉียวช่วยกันห้ามนางไว้สุดชีวิต

ไป่หมอมอกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณหนูรองเจ้าคะ ที่นี่คือจวนซิ่นหยางโหว ไม่ใช่จวนสวีกั๋วกงของเรา ท่านจะวู่วามไม่ได้เด็ดขาด! ตอนนี้ท่านคืออนุภรรยาของหรงซื่อจื่อ จะทำตัวใหญ่โตถึงขนาดออกไปตามเขาแบบนั้นไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หากข่าวนี้แพร่ออกไป คนอื่นคงจะหัวเราะเยาะท่านแน่นอน!”

ไป่หมอมอเป็นคนที่เมิ่งซื่อ (มารดาของสวีอี้เจิน) ส่งมาพร้อมกับสินเดิม โดยให้มาเป็นคนติดตามลูกสาว เนื่องจากไป่หมอมอเป็นคนสุขุมรอบคอบ และสามารถช่วยตักเตือนสวีอี้เจินได้ในเวลาที่จำเป็น

ไป่หมอมอที่จริงแล้วไม่ได้อยากรับหน้าที่นี้เลยแม้แต่น้อย แต่ในฐานะทาสรับใช้ จะมีสิทธิ์ปฏิเสธได้อย่างไร? เจ้านายว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนั้น! แม้ในใจจะไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายไป่หมอมอก็จำต้องติดตามสวีอี้เจินมายังจวนตระกูลหรง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชะตากรรมของนางก็ต้องผูกพันอยู่กับสวีอี้เจิน ทั้งสุขและทุกข์ร่วมกัน

สวีอี้เจินแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ก่อนพูดว่า “หัวเราะเยาะ? ไป่หมอมอ ข้าตอนนี้ก็เป็นตัวตลกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? วันที่ข้าเข้าจวนแห่งนี้ ตระกูลซิ่นหยางโหวก็เย็นชาใส่ข้าเช่นนี้ ข้ากล้าพูดเลยว่าพรุ่งนี้ ข้าก็จะกลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งจวน! ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก? ข้าไม่สู้ก่อเรื่องให้ถึงที่สุดไปเลยดีกว่า จะได้ถามเขาให้รู้เรื่องว่าทำไมถึงต้องทำกับข้าเช่นนี้!”

ไป่หมอมอในใจอดไม่ได้ที่จะโกรธ เจ้าก็รู้ตัวว่ากลายเป็นตัวตลกหรือ? ถ้ารู้เช่นนี้แล้ว วันก่อนจะทำไปทำไม! ไหนๆ เจ้าก็เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์จากจวนสวีกั๋วกงแท้ๆ แต่กลับเร่งร้อนอยากมาเป็นอนุภรรยาเขาเอง แบบนี้แล้วจะโทษใครได้ล่ะที่เขาดูแคลนเจ้า!

ไป่หมอมอพยายามระงับอารมณ์ ก่อนพูดกล่อมต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณหนูรองเจ้าคะ ท่านช่างประมาทเสียจริง! ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจงใจทำเช่นนี้ ทำไมยังจะหลงกลเขาอีก? หากท่านอดทนไว้ อย่างมากท่านก็แค่ถูกเมินเฉย แต่หากท่านก่อเรื่องขึ้นมา ท่านจะเป็นฝ่ายผิดทันที! และหากพวกเขาลงโทษท่าน คนที่ต้องรับเคราะห์ก็คือท่านเองไม่ใช่หรือ?”

นางถอนหายใจก่อนพูดต่อ “ข้าน้อยคิดว่า เรื่องนี้คงเป็นแผนของหรงฮูหยิน ที่ตั้งใจกลั่นแกล้งท่าน เพราะหรงซื่อจื่อเป็นคนกตัญญู ย่อมไม่กล้าขัดใจมารดาของเขา หากวันนี้เขาไม่มา ก็ปล่อยไปเถิด รอพบหรงซื่อจื่อในวันหน้า ท่านค่อยพูดเล่าความน้อยใจให้เขาฟัง หากท่านอดทนไว้ หรงซื่อจื่อย่อมเห็นว่าท่านใจกว้าง และเขาจะรู้สึกผิดเอง แบบนี้ไม่ดีกว่าที่จะก่อเรื่องเอิกเกริกในตอนนี้หรือเจ้าคะ?”

สวีอี้เจินเมื่อได้ยินคำพูดของไป่หมอมอ ก็รู้สึกสงบลงไปกว่าครึ่ง ใช่แล้ว เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของหรงฮูหยินแน่ๆ ตอนนั้นนางเป็นคนที่เสนอให้ถอนหมั้น แล้วตอนนี้ย่อมไม่ชอบใจที่ข้าเข้ามาในจวน! ฮึ แต่ตราบใดที่พี่หรงยังมีข้าอยู่ในใจ เพียงแค่ทนความอับอายครั้งนี้ ข้าจะกลัวอะไรเล่า?

ไป่หมอมอเห็นเช่นนั้นก็รีบส่งสัญญาณให้หานจูและหานเฉียว ทั้งสามคนช่วยกันพาสวีอี้เจินกลับไปพักในห้อง

คืนแรกในจวนผ่านพ้นไปอย่างตึงเครียดแต่ไร้เหตุการณ์ใดๆ

รุ่งเช้าวันถัดมา ไป่หมอมอรีบปลุกสวีอี้เจินแต่เช้าตรู่

สวีอี้เจินที่ยังงัวเงียจากการนอนก็พูดด้วยความไม่พอใจพร้อมตำหนิไป่หมอมอว่า

“ปลุกข้าทำไมแต่เช้า! ข้ากำลังนอนสบายๆ เจ้ามากวนข้าทำไมกัน?”

ไป่หมอมอกลั้นความไม่พอใจในใจไว้แน่น พร้อมยิ้มประจบและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณหนูรองเจ้าคะ ที่นี่คือจวนซิ่นหยางโหว ท่านต้องลุกขึ้นไปคารวะหรงฮูหยินนะเจ้าคะ!”

เมื่อนึกถึงเมื่อคืนที่นางต้องอยู่ในเรือนคนเดียวในคืนแต่งงาน สวีอี้เจินก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ สีหน้าของนางมืดครึ้มลงทันที พร้อมแค่นเสียงเย็นชา “ไปคารวะยายแก่คนนั้น? จะรีบไปทำไม ยังเช้าอยู่เลย! อย่ามากวนข้า ให้ข้านอนต่อเถอะ!”

เมื่อคืนสวีอี้เจินรู้สึกขมขื่นจนแทบไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนไม่หลับอยู่ครึ่งค่อนคืน เพิ่งจะได้หลับตาลงตอนดึกๆ ทำให้นางยังง่วงงุนเกินกว่าจะลุกขึ้นมา

ไป่หมอมอคิดในใจอย่างเหลืออด ด้วยนิสัยอย่างเจ้านี่ อย่าหวังเลยว่าจะเป็นอนุภรรยาที่ดีได้ เจ้านี่มัน... ช่างทำลายตัวเองโดยแท้!

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ31 ตุลาคม 2568 เวลา 16:50

    สนุกมากค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รออ่านตอนต่อไป

    ตอบลบ
  2. คงมีเพื่อนๆจำนวนมากที่ติดตามนิยายแปลเรื่องนี้ดูจากยอดจำนวนผู้เข้าชม ขอบคุณมากคะที่สละเวลาแปลให้อ่านกัน

    ตอบลบ