วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1110 จวนโหวมีระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม

 

บทที่ 1110 จวนโหวมีระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม

 

สวีอี้เจินโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ หน้าอกสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง

คำพูดของตู้หมอมอช่างแหลมคมและเต็มไปด้วยการเสียดสี ไม่ใช่ว่านางกำลังเหน็บแนมข้าหรือว่า ข้าเองก็ไม่ได้ “มีระเบียบ” ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในจวนอย่างนั้นหรือ?

เมิ่งถิงถิงที่ยืนอยู่เห็นดังนั้นก็รู้สึกพึงพอใจในใจ แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้ดีว่าหรงฮูหยินต้องการเห็นทุกคนในจวนอยู่กันอย่างสงบสุข

เมิ่งถิงถิงจึงรีบยิ้มและพูดเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ ท่านตู้หมอมอเจ้าคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้ฮูหยินจะตื่นแล้วหรือยัง? ข้าอนุภรรยาจะได้เข้าไปคารวะท่านเจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ และเท่ากับช่วยสวีอี้เจินในทางอ้อม เมิ่งถิงถิงเองก็ไม่ได้สนใจว่าสวีอี้เจินจะซาบซึ้งหรือไม่ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือ หรงฮูหยินจะต้องพอใจ

ใบหน้าของตู้หมอมอที่เคยเคร่งขรึมดูอ่อนลงเล็กน้อย นางพูดกับเมิ่งถิงถิงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม “ฮูหยินตื่นแล้ว เมิ่งอี๋เหนียงเข้าไปได้เลย”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าขอเข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!” เมิ่งถิงถิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนหันไปพยักหน้าให้สวีอี้เจินอย่างปรารถนาดี จากนั้นก็เดินเข้าไปพร้อมกับสาวใช้ของนาง

สวีอี้เจินแค่นเสียงเย็นชาและยกเท้าจะตามเมิ่งถิงถิงเข้าไป

“สวีอี๋เหนียง” ตู้หมอมอขยับตัวมาขวางทาง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โปรดรออยู่ด้านนอกเถิดเจ้าค่ะ”

สวีอี้เจินโกรธจนแทบระเบิด นางชี้ไปที่เมิ่งถิงถิงที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปและพูดเสียงดัง “ทำไมนางถึงเข้าไปได้ แต่ข้าถึงเข้าไปไม่ได้!”

ตู้หมอมอแค่นเสียงเย็นเย้ย พร้อมปรายตามองสวีอี้เจินอย่างดูแคลน ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “นี่เป็นคำสั่งของฮูหยิน”

ใบหน้าของสวีอี้เจินเปลี่ยนสีทันที นางโกรธจนพูดไม่ออก มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา ข้อนิ้วซีดขาวและสั่นเทา

ตู้หมอมอไม่สนใจสวีอี้เจินอีก นางหันไปพูดกับไป่หมอมอ หานจู และหานเฉียวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าทั้งสาม ในฐานะคนรับใช้ของนายหญิง เหตุใดจึงไม่ห้ามปรามเมื่อเห็นเจ้านายก่อเรื่อง? พวกเจ้าจงไปลงโทษตัวเอง ให้ถูกลงโทษตบปากคนละยี่สิบครั้ง และถูกหักเบี้ยหวัดสามเดือน หากมีครั้งหน้า จะถูกโบยและไล่ออกจากจวนทันที!”

ไป่หมอมอและสาวใช้ทั้งสองหน้าซีดเผือด รีบก้มหน้ารับคำด้วยความเคารพโดยไม่กล้าโต้แย้ง

ตู้หมอมอมองทั้งสามคนด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนกล่าวเย็นชาอีกครั้ง “จำไว้ให้ดี จวนซิ่นหยางโหวเป็นสถานที่ที่มีระเบียบแบบแผน!”

จากนั้นนางก็หมุนตัวเดินจากไป

สวีอี้เจินโกรธจนแทบคลั่ง นางอยากกรีดร้องออกมา แต่ทำได้เพียงจ้องมองแผ่นหลังของตู้หมอมอด้วยสายตาอาฆาต ใจของนางเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง

เมื่อตู้หมอมอเดินเข้าไปในเรือน สวีอี้เจินหันไปมองไป่หมอมอด้วยสายตาเย็นชา ก่อนกัดฟันพูดเสียงต่ำ “เมื่อกี้เหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยข้าพูด? ทำไมปล่อยให้ข้าโดนรังแกอยู่คนเดียว? ทั้งหมดเป็นเพราะนังเมิ่งถิงถิงนั่นเป็นตัวก่อเรื่องแท้ๆ!”

ไป่หมอมอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “สวีอี๋เหนียง บ่าวเป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดา และยังเป็นข้ารับใช้ที่ไม่มีตำแหน่งสำคัญในจวนนี้อีกด้วย บ่าวจะมีสิทธิ์อะไรไปพูดอะไรต่อหน้าหมอมอคนสนิทของฮูหยิน? หากบ่าวพูดอะไรออกไป เกรงว่าจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม คุณหนูโปรดจำบทเรียนในวันนี้ไว้เถิด ไม่เช่นนั้น วันข้างหน้าจะต้องเจอเรื่องลำบากกว่านี้อีกแน่”

สวีอี้เจินโกรธจนหน้าแดงก่ำ นางตวาดกลับ “แม้แต่เจ้าก็กล้าพูดกับข้าแบบนี้? เมื่อก่อนเจ้ากล้าหรือ? อย่าคิดว่าข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้!”

ไป่หมอมอพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “บ่าวไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ สัญญาขายตัวของบ่าวยังอยู่ในมือของสวีอี๋เหนียง ท่านอยากจะลงโทษอย่างไรก็เชิญตามสบาย เพียงแต่... คุณหนูเองก็ได้ยินแล้ว หากมีครั้งหน้า บ่าวเกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้รับใช้อีกต่อไป เพราะฮูหยินจะไม่ยอมปล่อยไว้แน่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหานจูและหานเฉียวก็ซีดเผือด

สวีอี้เจินรู้สึกเหมือนถูกตอกกลับจนพูดอะไรไม่ออก นางโกรธจนแทบกระอักเลือด

แต่สิ่งที่ทำให้นางแค้นมากที่สุดคือ การที่นางต้องยืนรออยู่ข้างนอกเหมือนคนโง่เป็นเวลาชั่วยามครึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไปคารวะหรงฮูหยินเลย

หรงฮูหยินเพียงส่งคนออกมาบอกว่า “วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยหน่อย กลับไปได้เลย พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมา หากข้าต้องการพบเมื่อไร จะให้คนไปตามเจ้าเอง”

คำพูดนี้เหมือนโยนความหวังของสวีอี้เจินทิ้งไป นางโกรธจนแทบจะปริแตก รีบกลับไปยังเรือนพักของตนด้วยใบหน้าเย็นชา

เมื่อมาถึงเรือน นางระบายความโกรธด้วยการพังข้าวของในห้องจนพังยับเยินทุกอย่าง จึงรู้สึกคลายความโกรธลงบ้างเล็กน้อย

เรื่องราวทั้งหมดนี้ลอยไปถึงหูของหรงฮูหยิน ซึ่งยิ่งทำให้นางดูแคลนสวีอี้เจินมากขึ้น นางจึงสั่งให้คนส่งตำรา "หนี่ว์เจี้ย์" (ตำราสำหรับสตรี) ไปให้สวีอี้เจิน และสั่งลงโทษกักบริเวณนางเป็นเวลาหนึ่งเดือน พร้อมทั้งให้คัดลอกตำรา "หนี่ว์เจี้ย์" จำนวน 500 จบ

สวีอี้เจินโกรธจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หาที่ระบายด้วยการตบหน้าหานเฉียวไปหลายครั้ง ก่อนจะยอมสงบลง

เรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อซุบซิบในจวนซิ่นหยางโหว ทั้งจวนต่างหัวเราะเยาะนาง และในเวลาไม่นาน ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง กลายเป็นเรื่องตลกที่พูดถึงกันไปทั้งเมือง

แน่นอนว่า ไม่มีอนุภรรยาคนใดที่เพิ่งเข้ามาในจวนจะกล้าทำตัวเอิกเกริกเช่นนาง

เมื่อถูกกักบริเวณ นางย่อมไม่ได้พบกับหรงซื่อจื่อ และเมิ่งถิงถิงก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำดีหรือพยายามเข้าหานางอีก ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเมิ่งถิงถิง

ข่าวนี้ส่งไปถึงจวนสวีกั๋วกง สร้างความโกรธเกรี้ยวให้กับสวี๋กั๋วกงที่นิสัยยิ่งแย่ลงทุกวัน เขาระบายอารมณ์ด้วยการด่าทอเมิ่งซื่อไม่หยุด

"เจ้ามันสอนลูกไม่เป็น! ลูกสาวที่เจ้าสอนมา พากันทำให้ข้าอับอายเสียชื่อเสียง ข้าจะมีหน้าไปพบผู้คนได้อย่างไร!"

เมิ่งซื่อได้แต่ร้องไห้จนแทบขาดใจ นางร่ำไห้ด้วยความเสียใจถึงลูกสาวสุดที่รักที่เคยเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนาง แต่กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้

ในใจลึกๆ นางก็รู้ดี ด้วยนิสัยแบบนี้ ลูกจะไปเป็นอนุภรรยาของใครได้? และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามที่คาดไว้ทุกประการ

เมิ่งซื่อทั้งโกรธทั้งเสียใจ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือความสงสารลูกสาว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเดินทางไปขอพบหรงฮูหยิน หวังจะขอความเมตตาให้นางยกโทษให้สวีอี้เจิน

แต่สถานะของเมิ่งซื่อในตอนนี้กับหรงฮูหยินช่างแตกต่างกันลิบลับ อีกทั้งความบาดหมางระหว่างตระกูลเหลียนและจวนสวีกั๋วกงก็เป็นที่รู้กันดี หรงฮูหยินจะมีเวลามาใส่ใจเรื่องของนางได้อย่างไร? คำตอบที่เมิ่งซื่อได้รับจึงมีเพียงประโยคสั้นๆ

“ข้าไม่ว่าง ไม่สะดวกพบแขก”

เมิ่งซื่อเสียใจจนกลับมาร้องไห้อย่างหนักอยู่ในบ้าน จากวันนั้นนางจึงปลงอนิจจังและบอกตัวเองว่าลูกสาวคนนี้ของนางได้ตายไปแล้ว แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวนางเอง

วันที่ 6 เดือนสาม

เป็นวันเปิดสอบคัดเลือกประจำปี (อันเคอ) ซึ่งเป็นการสอบครั้งใหญ่ของปี

ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เหลียนฟางโจวและคนอื่นๆ ก็ช่วยกันส่งเหลียนเช่อออกจากจวน หลี่ฟู่ไปส่งเขาถึงสนามสอบ ส่วนอวิ๋นลั่วเองก็ยืนกรานที่จะไปส่งเขาด้วย

เหลียนฟางโจวยิ้มพลางกำชับเหลียนเช่ออีกสองสามคำ มองดูพวกเขาขึ้นรถม้าและเฝ้ามองจนรถม้าค่อยๆ เคลื่อนหายไปลับตา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินกลับเข้าจวน

เหลียนฟางโจวไม่ได้คาดหวังมากนักว่าเหลียนเช่อจะสอบได้ในครั้งนี้ เพราะเขายังอายุน้อย แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของเขาที่เกือบจะเรียกได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ นางก็เข้าใจว่าในใจเขานั้นให้ความสำคัญกับการสอบครั้งนี้มาก

ขณะเดินกลับจวน เหลียนฟางโจวอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตอนที่นางและหลี่ฟู่กับเหลียนเจ๋อเคยพาเขาไปสอบถงเซิง (สอบระดับท้องถิ่น) ในเมือง ตอนนั้นเจ้าตัวน้อยคนนี้ยังตื่นเต้นจนหลบไปนั่งร้องไห้เงียบๆ ในห้องพักคืนก่อนสอบ แต่ในชั่วพริบตาเขาก็โตจนมีสาวๆ ตามมาชื่นชมเสียแล้ว

เหลียนฟางโจวยิ้มน้อยๆ ใจของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน

รุ่งเช้าหลังจากฟ้าสว่าง หลี่ฟู่กับอวิ๋นลั่วก็กลับมาถึงจวน

หลี่ฟู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาเข้าสนามสอบเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี!”

เหลียนฟางโจวพยักหน้าพร้อมยิ้ม

เมื่อเข้าสนามสอบแล้ว ก็เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ต่อให้คนนอกจะกังวลหรือกระวนกระวายแค่ไหน ก็ต้องรอถึงเก้าวันเก้าคืนถึงจะรู้ผล

สำหรับเหลียนฟางโจว นางมีความอดทนพอที่จะรอ

ตรงกันข้าม อวิ๋นลั่วกลับมีท่าทีกระสับกระส่ายและว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้นางไม่ค่อยสงบนิ่ง เหลียนฟางโจวจึงแนะนำให้อวิ๋นลั่วออกไปเดินเล่นหรือทำกิจกรรมอื่นเพื่อผ่อนคลาย เวลาเก้าวันจะได้ผ่านไปไวๆ

อวิ๋นลั่วจึงออกจากจวนแต่เช้าทุกวัน และกลับมาในตอนเย็น

วันหนึ่ง

ขณะที่เหลียนฟางโจวอยู่ที่บ้าน จู่ๆ จื่ออิงจากจวนหลิวจวิ้นอ๋องก็มาถึงอย่างเร่งรีบ นางบอกว่า จวิ้นหวางเฟยมีเรื่องด่วนอยากพบหลี่ฮูหยิน ขอรบกวนฮูหยินช่วยไปพบทันทีได้หรือไม่เจ้าคะ?”

เหลียนฟางโจวได้ยินดังนั้นถึงกับตกใจ นางรีบถามด้วยความกังวล

จวิ้นหวางเฟยเป็นอะไรอีกหรือ? หรือว่านางทะเลาะกับจวิ้นอ๋องของพวกเจ้าอีกแล้ว?”

 

 

 

 

 

 

1 ความคิดเห็น:

  1. สวีอี้เจินนางไม่มีแผ่วเลย เมิ่งซื่อเองก็ทำไว้เยอะวันนี้ก็รับไปไหนจะลูกสาวไหนจะอีตาสวี ส่วนอวื๋นลั่วรึว่าจะเกี่ยวข้องกับจวิ้นหวางเฟย อ่านไปก็มโนไปเรื่อย ขอบคุณคะ

    ตอบลบ