บทที่ 1110 จวนโหวมีระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม
สวีอี้เจินโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ หน้าอกสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง
คำพูดของตู้หมอมอช่างแหลมคมและเต็มไปด้วยการเสียดสี
ไม่ใช่ว่านางกำลังเหน็บแนมข้าหรือว่า ข้าเองก็ไม่ได้ “มีระเบียบ”
ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในจวนอย่างนั้นหรือ?
เมิ่งถิงถิงที่ยืนอยู่เห็นดังนั้นก็รู้สึกพึงพอใจในใจ
แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้ดีว่าหรงฮูหยินต้องการเห็นทุกคนในจวนอยู่กันอย่างสงบสุข
เมิ่งถิงถิงจึงรีบยิ้มและพูดเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ ท่านตู้หมอมอเจ้าคะ
ไม่ทราบว่าตอนนี้ฮูหยินจะตื่นแล้วหรือยัง? ข้าอนุภรรยาจะได้เข้าไปคารวะท่านเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ และเท่ากับช่วยสวีอี้เจินในทางอ้อม
เมิ่งถิงถิงเองก็ไม่ได้สนใจว่าสวีอี้เจินจะซาบซึ้งหรือไม่
เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือ หรงฮูหยินจะต้องพอใจ
ใบหน้าของตู้หมอมอที่เคยเคร่งขรึมดูอ่อนลงเล็กน้อย
นางพูดกับเมิ่งถิงถิงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม “ฮูหยินตื่นแล้ว เมิ่งอี๋เหนียงเข้าไปได้เลย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าขอเข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!”
เมิ่งถิงถิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนหันไปพยักหน้าให้สวีอี้เจินอย่างปรารถนาดี
จากนั้นก็เดินเข้าไปพร้อมกับสาวใช้ของนาง
สวีอี้เจินแค่นเสียงเย็นชาและยกเท้าจะตามเมิ่งถิงถิงเข้าไป
“สวีอี๋เหนียง” ตู้หมอมอขยับตัวมาขวางทาง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โปรดรออยู่ด้านนอกเถิดเจ้าค่ะ”
สวีอี้เจินโกรธจนแทบระเบิด
นางชี้ไปที่เมิ่งถิงถิงที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปและพูดเสียงดัง “ทำไมนางถึงเข้าไปได้
แต่ข้าถึงเข้าไปไม่ได้!”
ตู้หมอมอแค่นเสียงเย็นเย้ย
พร้อมปรายตามองสวีอี้เจินอย่างดูแคลน ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “นี่เป็นคำสั่งของฮูหยิน”
ใบหน้าของสวีอี้เจินเปลี่ยนสีทันที
นางโกรธจนพูดไม่ออก มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา
ข้อนิ้วซีดขาวและสั่นเทา
ตู้หมอมอไม่สนใจสวีอี้เจินอีก
นางหันไปพูดกับไป่หมอมอ หานจู และหานเฉียวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าทั้งสาม ในฐานะคนรับใช้ของนายหญิง
เหตุใดจึงไม่ห้ามปรามเมื่อเห็นเจ้านายก่อเรื่อง? พวกเจ้าจงไปลงโทษตัวเอง
ให้ถูกลงโทษตบปากคนละยี่สิบครั้ง และถูกหักเบี้ยหวัดสามเดือน หากมีครั้งหน้า
จะถูกโบยและไล่ออกจากจวนทันที!”
ไป่หมอมอและสาวใช้ทั้งสองหน้าซีดเผือด
รีบก้มหน้ารับคำด้วยความเคารพโดยไม่กล้าโต้แย้ง
ตู้หมอมอมองทั้งสามคนด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนกล่าวเย็นชาอีกครั้ง “จำไว้ให้ดี จวนซิ่นหยางโหวเป็นสถานที่ที่มีระเบียบแบบแผน!”
จากนั้นนางก็หมุนตัวเดินจากไป
สวีอี้เจินโกรธจนแทบคลั่ง
นางอยากกรีดร้องออกมา แต่ทำได้เพียงจ้องมองแผ่นหลังของตู้หมอมอด้วยสายตาอาฆาต
ใจของนางเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง
เมื่อตู้หมอมอเดินเข้าไปในเรือน
สวีอี้เจินหันไปมองไป่หมอมอด้วยสายตาเย็นชา ก่อนกัดฟันพูดเสียงต่ำ “เมื่อกี้เหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยข้าพูด? ทำไมปล่อยให้ข้าโดนรังแกอยู่คนเดียว? ทั้งหมดเป็นเพราะนังเมิ่งถิงถิงนั่นเป็นตัวก่อเรื่องแท้ๆ!”
ไป่หมอมอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “สวีอี๋เหนียง บ่าวเป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดา
และยังเป็นข้ารับใช้ที่ไม่มีตำแหน่งสำคัญในจวนนี้อีกด้วย
บ่าวจะมีสิทธิ์อะไรไปพูดอะไรต่อหน้าหมอมอคนสนิทของฮูหยิน? หากบ่าวพูดอะไรออกไป เกรงว่าจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม
คุณหนูโปรดจำบทเรียนในวันนี้ไว้เถิด ไม่เช่นนั้น
วันข้างหน้าจะต้องเจอเรื่องลำบากกว่านี้อีกแน่”
สวีอี้เจินโกรธจนหน้าแดงก่ำ
นางตวาดกลับ “แม้แต่เจ้าก็กล้าพูดกับข้าแบบนี้? เมื่อก่อนเจ้ากล้าหรือ? อย่าคิดว่าข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้!”
ไป่หมอมอพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “บ่าวไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ สัญญาขายตัวของบ่าวยังอยู่ในมือของสวีอี๋เหนียง
ท่านอยากจะลงโทษอย่างไรก็เชิญตามสบาย เพียงแต่... คุณหนูเองก็ได้ยินแล้ว
หากมีครั้งหน้า บ่าวเกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้รับใช้อีกต่อไป เพราะฮูหยินจะไม่ยอมปล่อยไว้แน่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
สีหน้าของหานจูและหานเฉียวก็ซีดเผือด
สวีอี้เจินรู้สึกเหมือนถูกตอกกลับจนพูดอะไรไม่ออก
นางโกรธจนแทบกระอักเลือด
แต่สิ่งที่ทำให้นางแค้นมากที่สุดคือ
การที่นางต้องยืนรออยู่ข้างนอกเหมือนคนโง่เป็นเวลาชั่วยามครึ่ง
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไปคารวะหรงฮูหยินเลย
หรงฮูหยินเพียงส่งคนออกมาบอกว่า “วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยหน่อย กลับไปได้เลย พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมา
หากข้าต้องการพบเมื่อไร จะให้คนไปตามเจ้าเอง”
คำพูดนี้เหมือนโยนความหวังของสวีอี้เจินทิ้งไป
นางโกรธจนแทบจะปริแตก รีบกลับไปยังเรือนพักของตนด้วยใบหน้าเย็นชา
เมื่อมาถึงเรือน
นางระบายความโกรธด้วยการพังข้าวของในห้องจนพังยับเยินทุกอย่าง
จึงรู้สึกคลายความโกรธลงบ้างเล็กน้อย
เรื่องราวทั้งหมดนี้ลอยไปถึงหูของหรงฮูหยิน
ซึ่งยิ่งทำให้นางดูแคลนสวีอี้เจินมากขึ้น นางจึงสั่งให้คนส่งตำรา
"หนี่ว์เจี้ย์" (ตำราสำหรับสตรี) ไปให้สวีอี้เจิน
และสั่งลงโทษกักบริเวณนางเป็นเวลาหนึ่งเดือน พร้อมทั้งให้คัดลอกตำรา
"หนี่ว์เจี้ย์" จำนวน 500 จบ
สวีอี้เจินโกรธจนพูดอะไรไม่ออก
ได้แต่หาที่ระบายด้วยการตบหน้าหานเฉียวไปหลายครั้ง ก่อนจะยอมสงบลง
เรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อซุบซิบในจวนซิ่นหยางโหว
ทั้งจวนต่างหัวเราะเยาะนาง และในเวลาไม่นาน ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง
กลายเป็นเรื่องตลกที่พูดถึงกันไปทั้งเมือง
แน่นอนว่า
ไม่มีอนุภรรยาคนใดที่เพิ่งเข้ามาในจวนจะกล้าทำตัวเอิกเกริกเช่นนาง
เมื่อถูกกักบริเวณ
นางย่อมไม่ได้พบกับหรงซื่อจื่อ
และเมิ่งถิงถิงก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำดีหรือพยายามเข้าหานางอีก
ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเมิ่งถิงถิง
ข่าวนี้ส่งไปถึงจวนสวีกั๋วกง
สร้างความโกรธเกรี้ยวให้กับสวี๋กั๋วกงที่นิสัยยิ่งแย่ลงทุกวัน
เขาระบายอารมณ์ด้วยการด่าทอเมิ่งซื่อไม่หยุด
"เจ้ามันสอนลูกไม่เป็น!
ลูกสาวที่เจ้าสอนมา พากันทำให้ข้าอับอายเสียชื่อเสียง
ข้าจะมีหน้าไปพบผู้คนได้อย่างไร!"
เมิ่งซื่อได้แต่ร้องไห้จนแทบขาดใจ
นางร่ำไห้ด้วยความเสียใจถึงลูกสาวสุดที่รักที่เคยเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนาง
แต่กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้
ในใจลึกๆ
นางก็รู้ดี ด้วยนิสัยแบบนี้ ลูกจะไปเป็นอนุภรรยาของใครได้? และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามที่คาดไว้ทุกประการ
เมิ่งซื่อทั้งโกรธทั้งเสียใจ
แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือความสงสารลูกสาว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเดินทางไปขอพบหรงฮูหยิน
หวังจะขอความเมตตาให้นางยกโทษให้สวีอี้เจิน
แต่สถานะของเมิ่งซื่อในตอนนี้กับหรงฮูหยินช่างแตกต่างกันลิบลับ
อีกทั้งความบาดหมางระหว่างตระกูลเหลียนและจวนสวีกั๋วกงก็เป็นที่รู้กันดี หรงฮูหยินจะมีเวลามาใส่ใจเรื่องของนางได้อย่างไร? คำตอบที่เมิ่งซื่อได้รับจึงมีเพียงประโยคสั้นๆ
“ข้าไม่ว่าง
ไม่สะดวกพบแขก”
เมิ่งซื่อเสียใจจนกลับมาร้องไห้อย่างหนักอยู่ในบ้าน
จากวันนั้นนางจึงปลงอนิจจังและบอกตัวเองว่าลูกสาวคนนี้ของนางได้ตายไปแล้ว
แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวนางเอง
วันที่ 6 เดือนสาม
เป็นวันเปิดสอบคัดเลือกประจำปี
(อันเคอ) ซึ่งเป็นการสอบครั้งใหญ่ของปี
ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
เหลียนฟางโจวและคนอื่นๆ ก็ช่วยกันส่งเหลียนเช่อออกจากจวน
หลี่ฟู่ไปส่งเขาถึงสนามสอบ ส่วนอวิ๋นลั่วเองก็ยืนกรานที่จะไปส่งเขาด้วย
เหลียนฟางโจวยิ้มพลางกำชับเหลียนเช่ออีกสองสามคำ
มองดูพวกเขาขึ้นรถม้าและเฝ้ามองจนรถม้าค่อยๆ เคลื่อนหายไปลับตา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
แล้วเดินกลับเข้าจวน
เหลียนฟางโจวไม่ได้คาดหวังมากนักว่าเหลียนเช่อจะสอบได้ในครั้งนี้
เพราะเขายังอายุน้อย
แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของเขาที่เกือบจะเรียกได้ว่าศักดิ์สิทธิ์
นางก็เข้าใจว่าในใจเขานั้นให้ความสำคัญกับการสอบครั้งนี้มาก
ขณะเดินกลับจวน
เหลียนฟางโจวอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตอนที่นางและหลี่ฟู่กับเหลียนเจ๋อเคยพาเขาไปสอบถงเซิง
(สอบระดับท้องถิ่น) ในเมือง
ตอนนั้นเจ้าตัวน้อยคนนี้ยังตื่นเต้นจนหลบไปนั่งร้องไห้เงียบๆ ในห้องพักคืนก่อนสอบ
แต่ในชั่วพริบตาเขาก็โตจนมีสาวๆ ตามมาชื่นชมเสียแล้ว
เหลียนฟางโจวยิ้มน้อยๆ
ใจของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน
รุ่งเช้าหลังจากฟ้าสว่าง
หลี่ฟู่กับอวิ๋นลั่วก็กลับมาถึงจวน
หลี่ฟู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาเข้าสนามสอบเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี!”
เหลียนฟางโจวพยักหน้าพร้อมยิ้ม
เมื่อเข้าสนามสอบแล้ว
ก็เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ต่อให้คนนอกจะกังวลหรือกระวนกระวายแค่ไหน
ก็ต้องรอถึงเก้าวันเก้าคืนถึงจะรู้ผล
สำหรับเหลียนฟางโจว
นางมีความอดทนพอที่จะรอ
ตรงกันข้าม อวิ๋นลั่วกลับมีท่าทีกระสับกระส่ายและว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลา
ทำให้นางไม่ค่อยสงบนิ่ง เหลียนฟางโจวจึงแนะนำให้อวิ๋นลั่วออกไปเดินเล่นหรือทำกิจกรรมอื่นเพื่อผ่อนคลาย
เวลาเก้าวันจะได้ผ่านไปไวๆ
อวิ๋นลั่วจึงออกจากจวนแต่เช้าทุกวัน
และกลับมาในตอนเย็น
วันหนึ่ง
ขณะที่เหลียนฟางโจวอยู่ที่บ้าน
จู่ๆ จื่ออิงจากจวนหลิวจวิ้นอ๋องก็มาถึงอย่างเร่งรีบ นางบอกว่า จวิ้นหวางเฟยมีเรื่องด่วนอยากพบหลี่ฮูหยิน ขอรบกวนฮูหยินช่วยไปพบทันทีได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เหลียนฟางโจวได้ยินดังนั้นถึงกับตกใจ
นางรีบถามด้วยความกังวล
จวิ้นหวางเฟยเป็นอะไรอีกหรือ? หรือว่านางทะเลาะกับจวิ้นอ๋องของพวกเจ้าอีกแล้ว?”
สวีอี้เจินนางไม่มีแผ่วเลย เมิ่งซื่อเองก็ทำไว้เยอะวันนี้ก็รับไปไหนจะลูกสาวไหนจะอีตาสวี ส่วนอวื๋นลั่วรึว่าจะเกี่ยวข้องกับจวิ้นหวางเฟย อ่านไปก็มโนไปเรื่อย ขอบคุณคะ
ตอบลบ