วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1122 พบคนคุ้นหน้าอีกครั้ง สองใจที่ต่างกัน

 

บทที่ 1122 พบคนคุ้นหน้าอีกครั้ง สองใจที่ต่างกัน

 

เมื่อเห็นท่าทางลังเลของหลู่หมอมอและคนอื่น ๆ สวีอี้เจินก็หัวเราะเยาะอย่างดูแคลนแล้วกล่าวว่า “หากไม่ไว้ใจกันนัก ก็ถอยไปยืนห่าง ๆ หน่อยสิ! หรือพวกท่านกลัวว่าข้าจะกินคนหรือไร!”

หลู่หมอมอและคนอื่น ๆ จึงต้องถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างเสียไม่ได้

สามคนมองสบตากันอย่างมีความหมาย ในแววตาล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสงสัย: คุณหนูรองกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้อย่างไร! ดูแล้วแทบไม่เหมือนคน แต่ก็ไม่ใช่วิญญาณ!

สวีอี้เจินหัวเราะเยาะพร้อมกล่าวประชดว่า “มีคนอยากพบเจ้าสักครั้ง บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะพูดกับเจ้า บอกว่านึกอยากพบเจ้าอีกครั้งมาโดยตลอด น่าเสียดายที่เวลามักไม่เหมาะสมอยู่เสมอ ตอนนี้คนผู้นั้นรอเจ้าอยู่ที่โรงน้ำชาผู่จู๋เชิงเขานั่นเอง ท่านพี่ผู้แสนดี ไปกับข้าสักครั้งเถอะ!”

แม้สวีอี้เจินจะไม่ได้เอ่ยชื่อคนผู้นั้น แต่จากท่าทางขุ่นเคืองและน้ำเสียงประชดประชันนั้น ก็ทำให้นางเดาได้เลา ๆ ว่าเป็นใคร หัวใจพลันเต้นระส่ำอย่างควบคุมไม่ได้ นางพยายามระงับอารมณ์เอาไว้ แล้วถามอย่างเฉยชา “ใครกัน?”

“ฮ่า ฮ่า!” สวีอี้เจินหัวเราะเสียงดัง พลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างเยาะหยัน “น่าขันจริง ๆ เจ้าทำเป็นไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่? คิดจะเสแสร้งไปถึงไหนกัน!”

สีหน้าของสวีอี้หยุนซีดลงเล็กน้อย นางถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ทำไม? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะ…”

 

“ไม่เชื่อว่าข้าจะช่วยให้พวกเจ้าได้พบกันใช่หรือไม่?” สวีอี้เจินขัดขึ้นมาพร้อมช่วยพูดจนจบประโยค นางแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าเองก็ไม่อยากทำหรอก ไม่เต็มใจแม้แต่น้อย! แต่ข้าจะทำอะไรได้เล่า? ตอนนี้ข้าเป็นแค่อนุภรรยาที่ต้องพึ่งพาเขา ข้าทำได้เพียงเชื่อฟังเขาเท่านั้น!”

สวีอี้หยุนก้มหน้าลงโดยไม่ตอบคำใด ๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง นางกล่าวว่า “พาข้าไปเถอะ”

ท้ายที่สุด คนที่ไม่ได้พบกันมาเนิ่นนาน เสียงของสวีอี้หยุนสั่นไหวเล็กน้อย นางเองก็อธิบายไม่ถูกว่าความรู้สึกในใจตอนนี้คืออะไร เพียงแต่รู้สึกว่า ควรจะไปพบเขาสักครั้ง

สวีอี้เจินแสร้งทำหน้าบึ้งตึง แต่ในใจกลับยินดีจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่ นางคิดอย่างสะใจและเคียดแค้นว่า: ไปเถอะ! ไปพบกันให้มาก ๆ เถอะ! มีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่สอง พวกเจ้าก็ไปนัดพบกันให้หนำใจ ข้าจะรอดูจุดจบที่แสนดีของพวกเจ้าอยู่ตรงนี้!

บนชั้นสองของโรงน้ำชาผู่จู๋ ในห้องรับรองที่เงียบสงบ สวีอี้เจินพาสวีอี้หยุนเข้าไปแล้วก็จากไปด้วยท่าทางเย็นชา

ภายในห้องรับรองขนาดไม่ใหญ่นัก มีกลิ่นหอมจาง ๆ ของชาอบอวลอยู่ทั่วห้อง ในห้องนั้นมีเพียงซื่อจื่อและสวีอี้หยุนเท่านั้น

บางทีเพราะขนาดของห้องที่คับแคบ ความรู้สึกกดดันพลันถาโถมมาจากทุกทิศทาง สวีอี้หยุนยืนนิ่งราวกับคนไร้สติ สับสนจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี

“ทำไม? จำข้าไม่ได้แล้วหรือไง? นั่งสิ!” ซื่อจื่อยิ้มบาง ๆ พลางยกมือเชื้อเชิญให้นางนั่งลง

ชุดขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ รอยยิ้มอบอุ่นและแผ่วเบา ทุกอย่างดูราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เหมือนว่า…ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันก็คือที่ วัดอวิ๋นเซียง ใช่หรือไม่?

ชายคนนี้เคยเป็นคนที่ทำให้ชีวิตอันมืดมนไร้หนทางของนาง ได้เห็นแสงสว่าง และมีเป้าหมายให้ก้าวเดินต่อไป เมื่อนึกย้อนกลับไป ความทรงจำเหล่านั้นยังคงอบอุ่นอยู่ลึก ๆ ในใจ

ทว่า…สุดท้ายก็ไร้ซึ่งบทสรุป

เมื่อหันกลับมามองอีกครั้ง ทุกสิ่งราวกับเป็นเพียงภาพฝันที่ห่างไกลจนเกินเอื้อม

จมูกของสวีอี้หยุนเริ่มรู้สึกแสบ นางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ขอบคุณ” ก่อนก้มหน้าลงและนั่งลงตรงข้ามกับซื่อจื่อ

“ไม่ทราบว่าซื่อจื่อมีธุระอะไรกับข้า?” สวีอี้หยุนเอ่ยถามเสียงเบา

“ซื่อจื่อ?” ซื่อจื่อชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ทว่ามีความขมขื่นแฝงอยู่ เขากล่าวเสียงแผ่วว่า “เจ้ากับข้ายังห่างเหินถึงเพียงนี้แล้วหรือ…หยุนเอ๋อร์?”

ร่างของสวีอี้หยุนแข็งทื่อ มือที่กำผ้าเช็ดหน้าก็เผลอบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว นางพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงกลับแหบพร่าออกมาเพียงว่า “ข้า…”

“หยุนเอ๋อร์!” ซื่อจื่อขัดขึ้น เขาเงยหน้ามองนาง ดวงตาคู่นั้นเจือปนด้วยความรู้สึกที่ยากจะนิยาม ทั้งอบอุ่นและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เขายิ้มอย่างขมขื่นแล้วถามว่า “เจ้าชังข้าหรือไม่? เจ้ากำลังโกรธแค้นข้าอยู่ใช่หรือไม่?”

หัวใจของสวีอี้หยุนรู้สึกแปลบปลาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกอยากร้องไห้แล่นเข้ามา แต่นางก็พยายามกลั้นไว้ พลางส่ายศีรษะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่ ข้าไม่เคยโกรธแค้นท่าน แล้วข้าจะโกรธไปเพื่ออะไรเล่า? ทุกอย่างล้วนเป็นโชคชะตาทั้งนั้น!”

“แต่ถึงอย่างไรเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะข้า…” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซื่อจื่อก็ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกล่าวว่า “เป็นข้าที่ทำผิดต่อเจ้า!”

“หยุดพูดเถอะ!” สวีอี้หยุนรู้สึกสับสนวุ่นวายอยู่ในใจ นางรีบขัดขึ้นแล้วกล่าวว่า “หากซื่อจื่อไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน!”

“ข้า…” ซื่อจื่อชะงักไป รู้สึกประหลาดใจที่นางต้องการจากไปเร็วถึงเพียงนี้ ในอดีต นางเคยไม่ยอมจากเขาไปง่าย ๆ เช่นนี้มาก่อน เขาจึงได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น พลางกล่าวว่า “เจ้าบอกว่าไม่โกรธข้า แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังคงโกรธข้าอยู่ดี แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังรู้สึกผิดอย่างมาก ข้าไม่โทษเจ้าเลย หยุนเอ๋อร์… ตอนนี้เจ้าสบายดีหรือไม่?”

สีหน้าของสวีอี้หยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อย คำพูดของเขาทำให้นางนึกถึง เหลียนเจ๋อ ชายผู้แสนอบอุ่น เอาใจใส่ และโอบกอดทุกความเจ็บปวดของนางไว้ นางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

ความรู้สึกเกลียดตัวเองแล่นขึ้นมาทันที

สวีอี้หยุนไม่ลังเลอีกต่อไป นางลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าควรกลับได้แล้ว!”

“หยุนเอ๋อร์!” ซื่อจื่อร้องอย่างร้อนรน เขาลุกพรวดขึ้นและคว้ามือนางไว้ ก่อนจะกระชากนางเข้ามาในอ้อมกอด เขากอดนางแน่นพลางกระซิบเสียงสั่นเครือว่า “หยุนเอ๋อร์! หยุนเอ๋อร์! ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ!”

“ซื่อจื่อ! ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” สวีอี้หยุนหน้าถอดสี พยายามดิ้นรนสุดกำลังด้วยความตื่นตระหนก

แต่ซื่อจื่อกลับทำเหมือนนางไม่ได้พูดอะไรเลย วงแขนที่กอดนางยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เขาพึมพำไม่หยุดราวกับคนละเมอ “หยุนเอ๋อร์... ขอโทษ ขอโทษ...”

สวีอี้หยุนทั้งโกรธทั้งกลัว พยายามดิ้นสุดแรง แต่ก็ไม่กล้าทำเสียงดังเกินไป กลัวคนด้านนอกจะได้ยิน จนเมื่อรู้สึกว่ามือของซื่อจื่อเลื่อนไปที่เอวของนาง สวีอี้หยุนตกใจจนแทบสิ้นสติ นางยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงไปที่เท้าของเขาอย่างแรงสุดกำลัง

“อึก!” ซื่อจื่อร้องครางออกมาเพราะความเจ็บปวด แขนที่กอดนางไว้คลายออก ทำให้นางดิ้นหลุดออกมาได้

“หยุนเอ๋อร์ เจ้า...” ซื่อจื่อขมวดคิ้ว กัดฟันทนความเจ็บปวด มองนางอย่างไม่อยากเชื่อและเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ

แต่สวีอี้หยุนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขา นางถอยหลังไปสองก้าวอย่างซวนเซ ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปอย่างตื่นตระหนก

ซื่อจื่อยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ราวกับถูกแช่แข็ง นาง...นางหนีไปแล้ว?

สวีอี้เจินเดินเข้ามา เห็นซื่อจื่อนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าหม่นหมองเย็นชาและความพ่ายแพ้ นางอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นอย่างเย้ยหยัน

“ท่านซื่อจื่อถึงกับรั้งนางไว้ไม่ได้หรือ?” สวีอี้เจินกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะนางรู้ดีว่าพี่สาวของตนให้ความสำคัญกับซื่อจื่อมากเพียงใด

ซื่อจื่อ “ฮึ” อย่างเย็นชา ก่อนตอบเสียงเรียบว่า “เจ้าก็เห็นอยู่แล้วมิใช่หรือ?”

สวีอี้เจินหัวเราะออกมา

ในใจนางนั้นครึ่งหนึ่งอยากเห็นสวีอี้หยุนเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่เมื่อเห็นซื่อจื่อไม่สมหวัง นางก็พลอยรู้สึกสะใจไปด้วย อีกด้านหนึ่ง เมื่อคิดว่าซื่อจื่ออารมณ์ไม่ดีเพราะตามจีบสวีอี้หยุนไม่สำเร็จ นางก็อดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้!

“ท่านซื่อจื่อยอมแพ้แล้วหรือ?”

“หรือเจ้ามีวิธีอะไรอีก?”

สวีอี้เจินยิ้มพลางกล่าวว่า “ทำไมจะไม่มีล่ะ? ผู้หญิงน่ะก็แค่เจ้าอารมณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านซื่อจื่อทอดทิ้งนางมานาน จะให้มาง้อคืนดีในทันทีได้อย่างไร? ส่งของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปที่จวนสกุลเหลียนบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ทำให้นางใจอ่อนกลับมาหาท่านเองแหละ”

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา?” ซื่อจื่อเหลือบตามองสวีอี้เจินอย่างตำหนิ

สวีอี้เจินแค่นเสียง “ฮึ” ก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเดิมพลางกล่าวว่า “ก็ใช้ชื่อของข้าส่งไปไงล่ะ!”

ดวงตาของซื่อจื่อพลันสว่างวาบ สีหน้าที่เย็นชาค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

การปฏิเสธของสวีอี้หยุนในครั้งนี้กลับยิ่งกระตุ้นความคิดในใจของเขา เขาไม่เชื่อว่า คนที่เคยหลงใหลใฝ่หาตัวเขาอย่างลึกซึ้ง จะสามารถตัดใจได้โดยไร้ความรู้สึกใด ๆ เลย

แล้ววันประกาศผลการสอบ ฮุ่ยซื่อ (การสอบระดับประเทศ) ก็มาถึง ในครั้งนี้ เหลียนเช่อ ก็สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อ (บัณฑิตที่สอบผ่านระดับสูงสุด) อย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ ต่อมาในการสอบเตี้ยนซื่อ (การสอบคัดเลือกบัณฑิตในราชสำนัก) เหลียนเช่อกลับทำคะแนนได้สูงจนได้รับตำแหน่งทั่นฮวา (บัณฑิตอันดับสาม) ทำเอาเหลียนฟางโจวและคนอื่น ๆ ดีใจจนเนื้อเต้น พากันหัวเราะและกล่าวว่า ตระกูลเหลียนนั้นนับเป็นครั้งแรกที่ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้!

 

 

 

 

 

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะ กำลังสนุกเลย รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ

    ตอบลบ