เหลียนฟางโจวกับแม่นมหลี่ปลีกตัวเดินจากมา ทันได้ยินวาจาที่พรั่งพรูของ ซู่ซินเอ๋อ ในใจเธอแอบรู้สึกสงสารหญิงสาวผู้นี้
จากที่เห็นหญิงสาวดูท่าจะคลั่งไคล้หลงไหลชุยเฉ่าซี่ยิ่งนัก ทว่าการกระทำเช่นนี้ของนาง ไม่ต้องพูดถึงในยุคโบราณเลย แม้ในโลกยุคปัจจุบันก็คงไม่มีบุรุษคนไหนทนได้!
เธอเห็นความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจของฝ่ายชาย ชุยเฉ่าซีผู้นี้กำลังเหมือนถูกกักขังไปไหนไม่ได้ขึ้นทุกขณะ
ชุยเฉ่าซีเห็นซู่ซินเอ๋อเจื้อยแจ้วไม่หยุด ในใจเริ่มยากจะทานทนไหว ยามที่เขาอยู่ที่จวนของตนเอง เขาทำตัวคล้ายว่าเป็นเทพเซียน ไม่เคยต้องคอยนึกถึงคนอื่น ไม่เคยต้องอดทนอดกลั้นกับผู้อื่น และครานี้เขาไม่อยากต้องฝืนทนอีกต่อไปแล้ว
“!” ชุยเฉ่าซีเริ่มกระแอมไอขึ้นสองครั้งเพื่อขัดจังหวะซู่ซินเอ๋อ ไม่รอให้นางพูดพร่ำต่อ ชายหนุ่มรีบเอ่ยขัดว่า “เอ่อ ข้ารู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาเล็กน้อย คงต้องกลับไปพักที่ห้องสักหน่อยแล้ว เจ้าก็ควรกลับได้แล้ว! ข้าคงต้องขอตัวก่อน ไปละนะ!”
พอกล่าวจบชายหนุ่มก็วิ่งหนีออกไปทันที
ทิ้งให้ซูซินเอ๋อกวักมือและตะโกนเรียกชุยเฉ่าซีอยู่
2-3 ครั้ง “นี่!” ไหนเลยชายหนุ่มจะสนใจฟัง? ซู่ซินเอ๋อเลยทำอะไรไม่ได้ ได้แต่น้อยอกน้อยใจ พลันกระทืบเท้าแรงๆสองสามที แล้วเดินจากไปอย่างเซื่องซึมเหงาหงอย
ตอนหัวค่ำมีนัดเลี้ยงต้อนรับพวกเหลียนฟางโจวที่หอหมิงเย่ว ชุยเฉ่าซี
ซู่จิงเหอ และซู่ซินเอ๋อไปถึงสถานที่นัดหมายก่อน ตามมาด้วยฟางฉิง เหลียนฟางโจวผู้พี่ เหลียนเซ่อผู้น้อง และอาเจี่ยน
เนื่องจากซู่จิงเหอและฟางฉิงวันนี้ไม่กินมื้อค่ำกับนายท่านซู่
และฮูหยินซู่ที่จวน จึงต้องแจ้งเหตุผลแก่คนทั้งสอง ทำให้ไม่สามารถปิดบังความจริงจากซู่ซินเอ๋อได้ แน่นอนว่าหญิงสาวขอตามไปด้วยตามคาด และทั้งซู่จิงเหอและฟางฉิงไม่สามารถหาทางบ่ายเบี่ยงได้
นับว่ายังเคราะห์ดี ยามที่ซู่ซินเอ๋อออกมานอกจวน นางจะเพิ่มความยับยั้งชั่งใจมากขึ้นเล็กน้อย มิหนำซ้ำชุยเฉ่าซียังเตือนนางไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ไม่อนุญาติให้นางทำตัวใกล้ชิดเขาเวลาอยู่ข้างนอกด้วย แต่ถึงอย่างไรซู่ซินเอ๋อก็ไม่อาจบังคับสายตา และแขนขาของนางเองได้อยู่ดี
ฟางฉิง เหลียนฟางโจว เหลียนเซ่อ และอาเจี่ยนมาถึงหอหมิงเย่วแล้ว โดยมีซู่จิงเหอ
ชุยเฉ่าซี และซู่ซินเอ๋อยืนรอรับอยู่ด้วยกัน
เจ้านายทุกคน
รวมไปถึงบ่าวรับใช้ทั้งชายและหญิงเมื่อเห็นอีกกลุ่มมาถึงแล้ว ทุกคนต่างรวมตัวกัน และพากันเดินตรงเข้าไปในตัวตึกพร้อมๆกัน โดยต่างคุยกันไปพลาง หัวเราะกันไปพลาง ก่อนจะขึ้นไปยังชั้นสองอันเป็นที่ตั้งของห้องรับรองส่วนตัวที่จองเอาไว้เป็นอันดับต่อไป
ซู่ซินเอ๋อเมื่อหันไปเห็นเหลียนฟางโจวแล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันได้ทันที เวลานั้นนางเห็นชุยเฉ่าซีจ้องมองเหลียนฟางโจวด้วยดวงตาเหม่อลอย นางยังคิดอยู่เลยว่าจะคาดคั้นถามเปี๋ยวเกอให้กระจ่างในภายหลังให้ได้!
ผู้หญิงคนนี้กล้าดีอย่างไรมาพูดคุยกับเปี๋ยวเกอของนางโดยไม่ได้รับอนุญาติ!
“เจ้าเป็นใคร?
เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ” ซู่ซินเอ๋อโกรธเกรี้ยวขึ้นทันใด ดวงตาจ้องเหลียนฟางโจวเขม็งอย่างดุร้าย
เหลียนฟางโจวรู้สึกกระอักกระอ่วนใจโดยไม่ทราบสาเหตุ
ส่วนเหลียนเซ่อและอาเจี่ยนก็ชะงักตามไปด้วย ฟางฉิงรีบบีบมือเหลียนฟางโจวเบาๆเพื่อปลอบใจ ส่วนชุยเฉ่าซีพลันสีหน้ามืดครึ้มลง
“ซินเอ๋อ! พูดอะไรน่ะ!”
ซู่จิงเหอทำหน้าดุจ้องตาซูซินเอ๋อ แล้วเอ่ยว่า “นี้คือญาติผู้น้องชายหญิงของพี่สะใภ้เจ้า ไม่มีกฏข้อใดห้ามนี่ ว่าไม่ให้ติดตามมา!”
ซู่ซินเอ๋อไม่เพียงไม่ยับยั้งชั่งใจ
กลับเหยียดริมฝีปากด้วยความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง เอ่ยว่า “อ้อ ที่แท้ก็เป็นแค่ญาติข้างพี่สะใภ้ !
จริงๆแล้ว สกุลซู่ของเราหาได้มีญาติประเภทนี้ไม่!”
“ซินเอ๋อ!” ซู่จิงเหอผู้ซึ่งตอนนี้ใบหน้าเครียดขมึงตวาดออกมา
ฟางฉิงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เขา แย้มยิ้มขึ้น แล้วเอ่ยกับซู่ซินเอ๋อ “พี่สะใภ้เจ้าก็เป็นคนบ้านนอกคอกนาไม่ประสีประสา คงไม่อาจเทียบเทียมกับเจ้าได้เช่นกัน!”
ความหมายลึกๆก็คือญาติของข้าไม่อาจเทียบเทียมกับญาติของเจ้า แต่ถึงอย่างไรนั่นคือญาติของข้า และข้าก็เป็นพี่สะใภ้เจ้าด้วย
ซู่ซินเอ๋ออึ้งงัน ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงเป็นริ้วๆ
รีบละล่ำละลักพูดแก้ตัวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สะใภ้ท่านย่อมรู้จักข้าดี ข้าหาได้หมายความเช่นนั้นไม่!
ข้า..ข้าไม่ได้ดูหมิ่นท่านนะ...”
อีกฝ่ายยิ้มบางเบา
“พี่สะใภ้รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กสาวที่เถรตรง ซ้ำยังมักพูดจาหุนหันพลันแล่น! เอ้า..มัวมายืนนิ่งกันอยู่ตรงนี้ทำไม ตรงนี้ไม่มีอะไรให้กินนะ! พวกเราขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถิด! ฟางโจว อาเซ่อ อาเจี่ยน ไปกันเถิด!”
ฟางฉิงหันไปยิ้มขอโทษกับคนทั้งสาม
โดยปกติแล้วซู่ซินเอ๋อควรคบค้าสมาคมเป็นเพื่อนกับเหลียนฟางโจว แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ซูซินเอ๋อช่างเป็นคนเจ้าอารมณ์อะไรเช่นนี้?
แม้แต่นายท่านซู่และฮูหยินซู่ยังไม่อาจปรามนางได้! หากบังคับให้นางขอโทษขึ้นมา คงจะยิ่งทำให้ทุกคนๆวางหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่
จุดนี้ลำพัง
ฟางฉิง ซู่จิงเหอ และชุยเฉ่าซีต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดี ทว่าเหลียนฟางโจวและอีกสองคนเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เมื่อซู่ซินเอ๋อก่อเรื่องขึ้นมา
สีหน้าชุยเฉ่าซีจึงยับยู่ยี่จนแทบดูไม่ได้ คืนนี้ตกลงกันไปแล้วว่าให้เขาเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารค่ำ ทว่าซู่ซินเอ๋อกลับแสดงท่าทีร้ายกาจโจ่งแจ้งเช่นนี้ ช่างไม่ไว้หน้าเขาเลย!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? กลายเป็นว่าเขาอุตส่าห์วางตัวเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารค่ำ หรือวางตัวเองให้ผู้คนเกลียดชังกันแน่?
“ฮ่าฮ่าฮ่า...ไป กันเถิด
ขึ้นไปข้างบนกันได้แล้ว!” ซู่จิงเหอหัวเราะฝืดเฝื่อนเต็มที
เหลียนฟางโจวรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก คนที่เป็นฝ่ายเลี้ยงต้อนรับก็คือชุยเฉ่าซี
หากพวกเขาสามคนเกิดขอตัวกลับขึ้นมาดื้อๆ แล้วปล่อยให้ชุยเฉ่าซีหน้าแตก ฟางฉิงคงทำหน้าไม่ถูกไปด้วยเป็นแน่
เหลียนฟางโจวยามนี้กระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วว่า ซู่ซินเอ๋อช่างเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ เด็กสาวผู้ทรงเสน่ห์ผู้นี้ทั้งเจ้าอารมณ์ ทั้งไร้เหตุผล ซ้ำยังดึงดันไม่สนใจสถานการณ์รอบตัวโดยสิ้นเชิง แม้ยามนี้ทั้ง ซู่จิงเหอและฟางฉิงพยายามปล่อยผ่าน
ไม่เอาเรื่องเอาราวนางไปก่อน แต่ใครจะรู้เล่าว่าครั้งหน้านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก!
หากชุยเฉ่าซีหลุดจากความวิตกกังวลที่ครอบงำอยู่ในตอนนี้ได้ แล้วเกิดหันมาเห็นสายตาของพวกเธอเข้า คงจะเข้ามาช่วยพูดโน้มน้าวเด็กสาวให้สักสองสามประโยค
แต่ไม่นับว่าดีนัก เพราะอาจจะเป็นการเอาไม้ไปแหย่รังแตนให้มันอาละวาดมากขึ้นไปอีก เรื่องคงไม่อาจสงบลงได้ง่ายๆ!
จะกลับ หรือไม่กลับดี ถึงฝืนอยู่ต่อ
บรรยากาศครานี้ก็ไม่ดีแล้ว!
แล้วควรทำเช่นไรดี?
เหลียนฟางโจวฉุกคิดขึ้นมาได้ เธอจงใจส่งเสียงร้อง
“อ๊ะ” แล้วเอียงตัวไปทางด้านอาเจี่ยน อาเจี่ยนรีบยื่นมือมาโอบประคองตัวเธอไว้ พลางเอ่ยด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เจ้าเป็นอะไรไหม?” ชุยเฉ่าซีอดปรายตามองมืออาเจี่ยนที่กุมอยู่บนมือเหลียนฟางโจวไม่ได้ ตาของเขาพร่าไปชั่วครู่ ขณะรีบถามขึ้นจากทางด้านหลัง
“ข้าสบายดี พอดีเดินไม่ระวังไปหน่อย เลยเท้าพลิก!” เหลียนฟางโจวยิ้มขอโทษ ฉวยโอกาสที่ผู้คนยังตกตะลึงอยู่ หันไปมองชุยเฉ่าซีแวบหนึ่ง
“พี่ใหญ่
ข้ากับอาเจี่ยนจะช่วยประคองท่านนะ!” ชุยเฉ่าซีนิ่งอึ้ง จากนั้นตัวเขาโดนเหลียนเซ่อผลักให้ออกห่าง ชายหนุ่มจึงฟื้นคืนสติ แล้วเคลื่อนกายมายืนข้างๆแทน
“เป็นข้าที่ไม่ระวังตัวเอง เรื่องเล็กน้อยน่ะ ประเดี๋ยวคงดีขึ้น พวกเราเดินกันต่อเถิด!”
เหลียนฟางโจวยิ้มให้กับทุกคน
ซู่ซินเอ๋อเห็นอาเจี่ยนยื่นมือเข้าประคองเหลียนฟางโจวแบบสนิทชิดเชื้อเช่นนั้น นางอดยกยิ้มคล้ายดอกไม้เบ่งบานออกมาไม่ได้ เพื่อที่จะประจบเอาใจพี่สะใภ้ นางจึงยอมส่งยิ้มให้เหลียนฟางโจว “เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆหรือ?
ให้ท่านหมอมาดูดีไหม?”
“ใช่! ประเดี๋ยวตัวข้าจะให้คนไปเชิญหมอมา!” ซู่จิงเหอได้ยินซู่ซินเอ๋อออกปากเช่นนั้น พลันรู้สึกคล้ายว่าตนเองมีลูกคนโตที่นำพาความปลื้มอกปลื้มใจมาให้ น้องสาวของเขาช่างเป็นคนที่มรรยาทดีเป็นที่หนึ่งเลย! ครั้นแล้วจึงหันไปมองภรรยาด้วยสายตาเอาอกเอาใจ
ฟางฉิงต้องพยายามฝืนกลั้นไม่ให้ชีพจรของตนเองเดือดปุดๆมากไปกว่านี้ พี่ชายและน้องสาวคู่นี้ช่างสมกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันยิ่งนัก อะไรกันเนี่ย! คนเขาแค่เท้าพลิก
พวกเจ้าพูดออกมาได้ว่าต้องพาไปหาหมอ
ถามคนอื่นเขาดูหรือยังว่าเขาเห็นด้วยไหม?
โชคดี
ที่ตอนนี้ฟางโจวกลับมายืนได้เป็นปกติแล้ว! มิเช่นนั้นทุกคนคงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี?
ฟางฉิงลอบมองเหลียนฟางโจว
ยอมรับในใจเงียบๆว่า เด็กสาวผู้นี้ ช่างเป็นคนฉลาด มากไหวพริบจริงๆ!
ซ้ำยังเป็นผู้ที่มีปฏิภาณ ปัญญาดี
เข้าใจดึงสถานการณ์ภาพรวมให้มาอยู่ในกำมือของตนเองเพียงคนเดียว การจะทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย!
“ข้าไม่เป็นไร พักสักครู่ก็คงดีขึ้น! จงอย่าได้วุ่นวายเดือดร้อนไปเลย!
” เหลียนฟางโจวแย้มยิ้ม
ซู่จิงเหอทำท่าอยากจะพูดอะไรต่อ ฟางฉิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฟางโจวหาใช่คนนอกไม่ นางบอกว่าไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องทำอันใดหรอก!
ฟางโจว หากเจ้าต้องการอะไรขึ้นมา เจ้าก็เอ่ยออกมาได้เลย อย่าได้เกรงใจไปนะ!”
เมื่อฟางฉิงและเหลียนฟางโจวประสานสายตากัน ต่างก็เข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจของกันและกันทันที
เหลียนฟางโจวพยักหน้ายิ้มให้ คล้อยตามเห็นด้วยกับอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ทุกคนต่างพากันเดินขึ้นไปชั้นบน บันไดทางขึ้นของที่นี่ค่อนข้างแคบ
จึงไม่สะดวกนักที่จะเดินเรียงแถวหน้ากระดานขึ้นไปพร้อมกันสามคน เหลียนเซ่อจึงรั้งเดินอยู่ด้านหลังพี่สาว ปล่อยให้อาเจี่ยนพยุงเหลียนฟางโจวเดินอยู่ด้านหน้ากันสองต่อสอง
เมื่อชุยเฉ่าซีเห็นภาพนั้น
ยิ่งทำให้จิตใจของเขาหม่นหมองลงไปอีก
สักครู่หนึ่งคนทั้งหมดก็เข้าไปในห้องรับประทานอาหาร ทุกคนนั่งลงบนเก้าอี้ที่พิงกับผนังด้านขวา เสี่ยวเอ้อยืนคอยรินน้ำชารอท่าอยู่ ถามขึ้นว่าจะรับอาหารหรือยัง ชุยเฉ่าซีพยักหน้า โบกมือเป็นสัญญาณ แล้วทำสีหน้าร่าเริงทักทายคนที่นั่งอยู่ข้างๆทั้งซ้ายและขวา
ซู่ซินเอ๋อเดินตามชุยเฉ่าซีมาติดๆ หมายใจอยากให้ชุยเฉ่าซีนั่งลง แล้วนางจะได้นั่งลงข้างๆเขาดังที่ใจนึกไว้ ทว่าชุยเฉ่าซีกลับยืนหันหน้า หันหลังคุยทักทายกับคนอื่นๆไปทั่ว ไม่ยอมหาที่นั่งเสียที
-------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ^-^
นางเอกมีความฉลาด สงสารพระรองจริง ๆ T^T
ตอบลบแอบขำพระรองแกล้งตัวอิจฉา เพราะไม่อยากนั่งคู่กัน
ตอบลบแม่ทัพไม่ค่อยมีเสหน์หรอ ไม่ค่อยมีคนสนใจเลย มีแต่บรรยาย พระรองซะเป็นเทพบุตร
ตอบลบท่านแม่ทัพยังจืดจางเช่นเคย
ตอบลบพักนี้พระรองเด่นมากกกกแค่เปิดตัวก็กลบรัศมีพระเอกจากที่แล้วมาทั้งเรื่อง
ตอนนี้ท่านแม่ทัพ ออร่ายังไม่จับ คงไว้หนวดเคราเต็มหน้าตัวโตแถมตัวดำแน่ๆ ถึงยังเป็นตัวประกอบตั้ง70กว่าตอน
ตอบลบสงสารพระรองจิงจิ๊ง😂😂
ตอบลบท่านแม่ทัพเราต้องเป็นองค์รักษ์เงาปลอมตัวมาแน่ๆ จืดจางอะไรเช่นนี้ 55555
ตอบลบมาต่อไวๆน้าาา อยากอ่านต่อแล้วววว
ตอบลบฟางโจวฉลาดแก้สถานการณ์แก่งอ่ะ
ตอบลบจะมีภาคพระเอกต่างหากไหมเนี่ยบทน้อยขนาดนี้
ตอบลบสงสารพระรองมากๆ แต่ยังเชียร์พระเอกเหมือนเดิมนะ
ตอบลบเบื่อซู่ซินเอ๋อจัง บรรยากาศเสียหมด รออ่านตอนต่อไปค่ะ
ตอบลบนางเอกแก้ไขสถานการณ์ได้ดี คนแต่งก็เน้นภาพสถานะพระรองได้ดีคือไม่มีทางอยู่ในสายตานางเอกได้เลย
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบพระเอกยังไม่โกนหนวดใช่มั้ย เลยยังดูไม่ออกว่าหล่ออ่ะ
ตอบลบ