วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 24 ยืมมือเล่นงาน

            เฉียนซ่งก่วน ผู้ตรวจสอบสำนักแลกเงิน คลี่ยิ้มอย่างคนที่เจนโลกมามาก  และคุ้นเคยกับเรื่องราวเบื้องลึกดี  พลันหัวเราะแล้วโพล่งถามขึ้น “คุณหนูตั้งใจจะจัดการอย่างไรดีขอรับ?”
            “ท่านสามารถรู้เส้นทางของคนทั้ง5กลุ่มหรือไม่? มู่หรงหยุนชูไม่ตอบ แต่ถามกลับ
            “ทราบขอรับ” เฉียนซ่งก่วนอธิบายเส้นทางเดินของทั้ง5กลุ่ม ทีละกลุ่ม

            มู่หรงหยุนชูครั้นทราบแล้ว  จึงพยักหน้าเบาๆ  แล้วมุ่นคิ้วครุ่นคิด  หลังจากนิ่งคิดไปพักใหญ่  จึงเงยหน้าเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่ท่านพ่อข้าได้ถึงแก่กรรมไป   สำนักมู่หรงและเหล่าพันธมิตรกลับเกิดความบาดหมางกันขึ้น  นี้ไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย”
            หลังจากได้ยินวาจานั้น  คราแรกเฉียนซ่งก่วนรู้สึกตกใจ  แต่แล้วพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง   เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ความหมายของคุณหนูก็คือ....”
            “ฉวยโอกาสนี้  ไปทักทายพันธมิตรเราที่กำลังเดินทางเสียหน่อย  เอาให้ซาบซึ้งตรึงใจไปเลยนะ “ มู่หรงหยุนชูเอ่ยขึ้นคล้ายกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ  หาใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดไม่
            “ดี  ดียิ่งนัก!” เฉียนซ่งก่วนปรบมืออุทานออกมา “คุณหนูช่างยืมมีดฆ่าคนได้ฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง   มิต้องเสียแรงไปเอาเงินที่สำนักดาบหมิงเจี้ยนคืนด้วยตนเองเลย!”
            มู่หรงหยุนชูเม้มริมฝีปากเข้าหากัน  สีหน้าเหยียดหยัน ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด พึมพำว่า “คงต้องเขียนจดหมายกันเมื่อยมือแล้ว..”
            ฝ่ายเฉียนซ่งก่วนพอคิดถึงจำนวนเงินที่โดนยักยอกเอาไป  คิ้วสีเทาพลันกระตุกขึ้น  มุมปากทั้งสองก็ยังกระตุกตามไปด้วย  ได้แต่แอบทอดถอนใจเงียบๆ  หากผู้นำไม่มีคุณธรรมแล้วไซร้  ประชาชนไม่อาจคาดหวังว่าจะมีคุณธรรมได้  สกุลมู่หรง ไม่มีบุคลที่ขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้   มีแต่คนที่มีสติปัญญาปราดเปรื่องอย่างเอกอุเท่านั้น  แต่ละคนต่างเชี่ยวชาญไปคนละแบบ  ต่อให้เรื่องใหญ่โตเพียงใด  เพียงแค่กระดิกนิ้วทีเดียว ก็สามารถจัดการทุกอย่างให้ลุล่วงได้แล้ว  หรือบางทีอาจเป็นเพราะคนเหล่านี้ขี้เกียจเกินไปที่จะเสียเวลาทุ่มเทลงมือด้วยตนเองก็เป็นได้
            เจ้านายและลูกน้องทั้งสองต่างคุยกันอย่างออกรส  พอคนหนึ่งพูดเพียงครึ่งประโยค  อีกคนก็เข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งในทันที   ยามได้ยินถ้อยคำที่ทั้งสองคุยกัน  นี่ฉิงกลายเป็นคนโง่งมไปทันที  อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ถามจริงๆเถอะ  พวกท่านกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันอยู่?”  เหลียนซ่งก่วนพูดขึ้นมาแต่ละเรื่อง  ล้วนเข้าใจยากทั้งนั้น  ที่สำนักมู่หรงนี้ไม่มีคนปกติเลยหรือไร ?
            มู่หรงหยุนชูยังคงมองเขาเป็นเหมือนอากาศธาตุ  บอกลู่จีให้เตรียมชุดเครื่องเขียนมา
            เฉียนซ่งก่วนพยายามตั้งใจอธิบายให้นี่ฉิงฟังด้วยความปรารถนาดี “ ความหมายของคุณหนูก็คือ  สำนักคุ้มภัยของเมืองเจิ้งหยวนได้รับมอบหมายให้คุ้มกันเงินหลายสิบล้านตำลึงอย่างเข้มงวดโดยให้คนภายนอกเข้าใจว่ากำลังคุ้มกันสินค้ามูลค่ามหาศาล  จะได้รับแจ้งข่าวบิดเบือนว่า มีพวกหัวขโมย,กลุ่มอันธพาล หรือพวกกองโจรอะไรเทือกนั้น  ซึ่งแท้จริงก็คือพลพรรคของสำนักดาบหมิงเจี้ยน  5 กลุ่มที่กำลังอยู่ระหว่างเดินทางมุ่งหน้ามาหา  แล้วยืมมือพวกมัน  ดึงเงิน 50ล้านตำลึงก้อนนั้นมาอย่างไรเล่า”
            นี่ฉิงตกตะลึง “นี่ท่านให้พวกโจรช่วยท่านปล้นทรัพย์รึ?”
            “ไม่ได้ช่วยเรา  ช่วยพวกเขาเอง  เงินเหล่านี้  ใครที่เป็นผู้แย่งชิงไป  ก็สมควรเป็นผู้นำกลับคืนมา”
            “..แล้วอย่างนี้สำนักมู่หรงจะได้ประโยชน์อันใดเล่า?”  แม้เขาไม่คิดว่าการทำเช่นนี้จะมีความหมายอะไรแก่สำนักมู่หรง    ทว่าจากประสบการณ์อันน้อยนิดที่เขามี    สตรีที่มีบุคลิกซับซ้อนผู้นี้ไม่เคยมีคำว่าขาดทุน  ไม่มีทางแน่นอน  ช่างเห็นแก่ได้นัก  เอาคำว่า ขาดทุนออกไป  นั่นถึงจะเป็นตัวตนของนางจริงๆ
            เฉียนซ่งก่วนส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ  พลันหน้าตาขึงขัง พลางเอ่ยขึ้น “ท้ายที่สุด มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคนหนุ่มเช่นพวกเจ้า อา... นายหญิงน้อยของข้า  ช่างมีสติปัญญาปราดเปรื่องกว่าพวกเรายิ่งนัก”
            นี่ฉิงทำหน้าเหม็นเบื่อ พ่นลมออกทางจมูก  เออ..ประจบเข้าไป สอพลอเข้าไป  สิ่งที่เจ้าทำได้มีแต่ดูหมิ่นดูแคลนสติปัญญาผู้อื่นเท่านั้นหรอกรึ?!
            เฉียนซ่งก่วนคล้ายจะเริ่มชินชากับกริยาของชายหนุ่มแล้ว  เหลือบมองเขาอย่างเบื่อหน่าย  พูดต่อไปว่า “เราสำนักมู่หรงที่ทำให้คนกลุ่มนั้นกลายเป็นโจรผู้ร้าย  ล้วนมีสำนึกรับผิดชอบ ในเมื่อพวกเขาสามารถปล้นเงินจากสำนักคุ้มภัยเจิ้งหยวนเป็นผลสำเร็จ  พวกเราจะจดจำคุณงามความดีของเขาเหล่านั้นมิลืมเลือน  คราวหน้าเวลาผู้คุ้มกันสำนักมู่หรง  ผ่านเส้นทางลงเขา  ก็จะไม่ถูกดักปล้น  มีแต่ความโชคดี  ข้ายังจดจำได้ดีเมื่อตอนที่ข้า...”
            นี่ฉิงคร้านที่จะฟังเขาย้อนอดีตความทรงจำที่ผ่านมาแล้วหลายปีดีดัก  จึงถามขึ้นตรงๆด้วยสีหน้าแปลกใจ “ท่านเป็นพันธมิตรกับโจรด้วยรึ?”
            “ช่างน่าแปลกใจอะไรเช่นนี้  นี่คืองานที่ทำกันระหว่างเราทั้งสองฝ่าย  และคนพวกนั้นกลับกลายมาเป็นพันธมิตรรายที่สามเสียได้” “เฉียนซ่งก่วนพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจยิ่งนัก
            ส่วนนี่ฉิงถึงกับหูแว่วได้ยินเสียงของพันธมิตรรายที่สามขึ้นมาจริงๆ...
            ขณะที่บุรุษทั้งสองคุยกัน มู่หรงหยุนชูได้มอบจดหมาย 5 ฉบับที่เน้นย้ำความสัมพันธ์ความร่วมมือฉันท์พันธมิตรอันยาวนานในมือเฉียนซ่งก่วนเรียบร้อย  “ส่งจดหมายเหล่านี้ด่วนที่สุด”
            “ได้ขอรับ” เฉียนซ่งก่วนรับคำสั่ง  แล้วรีบจากไป
            มู่หรงหยุนชูหันไปนวดข้อมือ  มองนี่ฉิงที่ยังอยู่ไม่จากไปไหนด้วยสายตาว่างเปล่า  หญิงสาวเลิกคิ้วถามขึ้น “มีเรื่องอันใดรึ?”
            นี่ฉิงนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ  โพล่งขึ้นมาไม่มีหัวไม่มีหาง “โจรกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกำลังร่วมมือกัน”
            มู่หรงหยุนชูอึ้งไปสักพัก เอ่ยว่า “เจ้าต้องการถอนตัวรึ?”
            นี่ฉิงปากคอสั่น  โชคดีที่ไม่ได้พูดออกมาว่า หากมีพวกเขาก็ย่อมไม่มีข้ามิฉะนั้นชีวิตน้อยๆของตนอาจตกอยู่ในความเสี่ยง “ยามนี้สำนักมู่หรงเป็นตัวแทนราชสำนักแล้ว  การคบค้าสมาคมกับกลุ่มโจร ย่อมทำลายชื่อเสียงของแคว้น”
            “ระหว่างการทำลายชื่อเสียงของแคว้นกับการทำลายสมบัติของชาติ  เจ้าจะเลือกทำสิ่งไหน?”
            “แน่นอนย่อมต้องให้ความสำคัญกับสมบัติของชาติก่อน!”
            “และข้าคือคนทำการค้า  ผลประโยชน์ทางการค้าย่อมมาก่อนเพื่อน”
            “ยามนี้เจ้าคือเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก กินตำแหน่งทั้งผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินและเสนาบดีเท่าๆกัน  ไม่สามารถมีจิตใจเอนเอียงได้”
            “ดังนั้น สำหรับข้า..เพื่อเงินของราชสำนัก”  มู่หรงหยุนชูชะงักไปชั่วอึดใจ และเอ่ยต่อ  “ตามประสบการณ์ที่ข้าได้รับจากบิดาข้า  กลุ่มโจรพวกนี้จะช่วยเราลดความสูญเสียได้อย่างมากมายมหาศาลโดยไม่คาดฝัน
            นี่ฉิงหนักใจมาก  กับคำว่าประสบการณ์ของบิดาข้า...ประสบการณ์ของบิดาข้า...เดิมทีคือ หากผู้นำไม่มีศีลธรรมแล้วไซร้  ประชาชนก็ไม่อาจคาดหวังว่าจะมีศีลธรรมได้ มิใช่รึ ใต้หล้านี้ยังมีบิดาที่มีธิดาแบบนี้ด้วย!
             **
            ไม่เกินครึ่งเดือน  ข่าวที่ว่าสำนักคุ้มภัยเจิ้งหยวน  โดนพวกโจรดักปล้นอย่างอุกอาจ 5 รอบ  แล้วเผ่นหนีหายเข้ากลีบเมฆไป  แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว  เป็นสาเหตุให้เกิดความแตกตื่นตกใจไปทั่วทุกหัวระแหง  ข่าวลือยิ่งถูกใส่สีตีไข่จนเกินจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
            ยกตัวอย่างเช่น  “ข้าได้ยินมาว่าคนของสำนักคุ้มภัยเจิ้งหยวนที่ควรเป็นฝ่ายออกโรงปกป้องทรัพย์สินมีค่า  กลับไม่ทำอะไรเลย  เอาแต่ยืนดูเฉยๆ  ปล่อยให้ทรัพย์สินมีค่าถูกปล้นไปโดยง่ายดาย”  หรือ  “ข้าได้ยินมาว่าคนที่บุกปล้น  แท้จริงแล้วคือประมุขพรรคมารโม่เจี่ยว”
            ตั้งแต่นั้นมาสำนักคุ้มภัยเจิ้งหยวนถูกยกเลิกงานคุ้มภัยตอนกลางคืน  ไม่มีผู้ใดกล้าไปมาหาสู่กับสำนักนี้อีก
            ส่วนสำนักดาบหมิงเจี้ยนรู้สึกผิดที่เป็นผู้ลงมือปล้นเสียเอง  ยอมทิ้งเงินห้าสิบล้านตำลึง  แล้วปิดปากเงียบไม่กล้าป่าวประกาศ  คล้ายกับคนโดนต่อยจนฟันร่วงแล้วยังต้องกล้ำกลืนลงท้องไปเสียอีก
            “เช่นนี้แล้วสำนักดาบหมิงเจี้ยนและสำนักคุ้มภัยจิ้งหยวนคงกลายเป็นคู่รักนกยวนยางที่ขื่นขมอกตรมจริงๆเข้าแล้ว  ฮ่าฮ่าฮ่า “ ลู่จีหัวเราะคิกคัก
            มู่หรงหยุนชูมักเจอพฤติกรรมเส้นตื้นอันโง่งมของสาวใช้จนชินเสียแล้ว  จึงไม่ได้ใส่ใจนัก  ยังคงนั่งอ่านตำราแพทย์ที่เก่าเก็บสีเหลืองซีดชื่อว่า “ฉีหวงโบราณ ต่อไป  เพื่อค้นหาบันทึกของยากลืนวิญญาณ
            “คุณหนู ท่านไม่รู้สึกขำเลยหรือเจ้าคะ?” ลู่จีตะโกนใส่นายหญิงด้วยความไม่พอใจ   จงใจทำลายมาดไม่อินังขังขอบกับสิ่งใดๆของนายหญิง
            มู่หรงหยุนชูรู้ว่า  สาวใช้จะไม่กล่าวสิ่งใดที่ทำให้ระคายหู  ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้น  ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจแล้ว ถามขึ้น “ไฉนเจ้าถึงคิดว่าคนที่บุกปล้น  คือประมุขพรรคมารเล่า?”
            “เพราะว่าธิดาสาวหลินชู่เออร์ของสำนักคุ้มภัยเจิ้งหยวน  เคยแย่งตัวอดีตคู่หมั้น  ของคู่หมั้นของประมุขพรรรคมารยังไงล่ะเจ้าคะ!”  ลู่จีรีบหายใจเอาอากาศเข้าไปหนึ่งเฮือก  ก่อนจะถอนหายใจยาวๆออกมาอีกหนึ่งเฮือก
            มู่หรงหยุนชูเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ไม่คิดว่าพูดเกินจริงไปหน่อยหรือ?”
            “ทำให้คู่รักเลิกกัน  แล้วช่วยจับคู่กับคนใหม่ให้  นับว่าหลินชู่เอ๋อร์ผู้นี้ทำดีจริงๆ “  พอกล่าวถ้อยคำนี้เสร็จ มู่หรงหยุนชูจึงก้มหน้าอ่านตำราต่อ นี้คือตำราแพทย์ 19 สาขาโบราณ  ซึ่งยังไม่มีการบันทึกเรื่องยาพิษกลืนวิญญาณเลย  เช่นนั้นนางคงต้องจบชีวิตลงเป็นแน่แท้  หญิงสาวที่น่ารักอย่างนางจะลงเอยด้วยชะตากรรมที่โหดร้ายเช่นนี้หรือ?
            ลู่จีค้อนใส่อย่างหนักหน่วง  ด้วยสีหน้าเอือมระอาสุดๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงลังเล “คุณหนู  นางแย่งอดีตคู่หมั้นของท่านไปนะเจ้าคะ”
            มู่หรงหยุนชูยกยิ้มนิดหนึ่ง  แล้วแก้ไขคำพูดให้ใหม่ว่า “ไม่ใช่   ที่นางแย่งไปได้คือรองเท้าคู่เก่าที่ข้าไม่ต้องการ”  ทันทีที่ให้นางหมั้นหมายกับฟางหงเฟย  บิดาได้กระทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตแล้ว  ซ้ำยังเป็นรอยด่างพร้อยที่สุดในชีวิตนี้ของนางอีกด้วย

            นางไม่เคยคิดหรือสนใจหลินชู่เอ๋อร์ผู้นี้เลย  ความล่มจมของสำนักคุ้มภัยเจิ้งหยวนที่เกิดขึ้น   พวกเขาสมควรต้องตำหนิตัวเองเท่านั้น   สำนักคุ้มภัยเจิ้งหยวนย่อมรู้ว่า  สำนักดาบหมิงเจี้ยนได้ยักยอกเงินห้าสิบล้านตำลึงของบิดานางมาโดยไม่ชอบธรรม   ทว่ากลับยังร่วมมือกันกระทำสิ่งชั่วช้า   เช่นนั้นย่อมสมควรแล้ว  ที่จะลงนรกไปพร้อมๆกัน
  ------------------------------------------------------
 ขอบคุณสำหรับการทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
ต้องขออภัยที่ อัพล่าช้าด้วยค่ะ เพราะผู้แปลสับสนและเข้าใจผิดกับเนื้อเรื่องบางส่วน  จึงมีการไปปรับแก้ในช่วงท้ายๆของบทที่ 23 ด้วยค่ะ  สำหรับอีกบทคงต้องขอยกยอดไปคราวหน้านะคะ



5 ความคิดเห็น:

  1. อ่านตอนนี้แรกๆงงนิดหน่อย

    ตอบลบ
  2. รู้แล้วทำไมงง เราอ่านผิดเรื่องกร๊ากกกกกก

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะ...สนุกมากค่ะ

    ตอบลบ
  4. รอๆๆเมื่อไรจะได้อ่านนะ ขอบคุณมากๆๆคะ

    ตอบลบ