วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 25 นักเล่านิทานตากับหลาน

                     ในที่สุดฤดูร้อนในเมืองจินหลิงได้สิ้นสุดลง   เข้าสู่ฤดูฝนแรกในเดือนหกอย่างเป็นทางการ  ฝนตกหนักราวกับฟ้ารั่ว  ฝนตกติดกันข้ามวันข้ามคืน  ในวันถัดมา ในยามรุ่งอรุโณทัย  สายฝนได้ชะล้างความร้อนระอุ  ให้บรรเทาเบาบางลง   สายลมเย็นชุ่มฉ่ำพัดมาเอื่อยๆ  ในที่สุดก็ล้างเปลวความร้อนออกไปจนสิ้น  นำมาซึ่งความเย็นสบาย  ผู้คนต่างพากันชื่นอกชื่นใจนัก
                        มู่หรงหยุนชูย่างเท้าออกจากบ้านไปบนถนนที่ชื้นแฉะ พร้อมกับสาวใช้ลู่จี   บางทีเหตุผลที่ออกมาเดินบนถนนครานี้   อาจเป็นเพราะความเย็นสบายที่นานๆจะได้พบเจอสักที  วันนี้ถนนของเมืองจินหลิงจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย

                        “คุณหนู...ที่เราไปที่โรงน้ำชา  เพื่อจะไปฟังนักเล่านิทานหรือเจ้าคะ?”  ลู่จีชี้ไปด้านหน้าของโรงน้ำชาที่มีคนออกันเนืองแน่น  พลางกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
                        “ดี”  มู่หรงหยุนชูเห็นด้วย  สาวท้าวเดินข้ามถนนมาอีกฟากหนึ่ง
                        ลู่จีรื่นเริงใจนัก “คุณหนู...ในที่สุดท่านก็สนใจเรื่องซุบซิบนินทาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?!”
                        “ข้าสนใจดื่มชา”  มู่หรงหยุนชูเอ่ยเสียงเรียบ
                        “......”  นางน่าจะรู้อยู่แล้วนะ  คนอิ่มทิพย์เช่นคุณหนู  แน่นอน ย่อมไม่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาด้วย  เผลอๆเรื่องซุบซิบนินทาบนสวรรค์  ยังไม่อาจดึงดูดความสนใจของนางได้  ทว่าไหนเลยจะมีเรื่องซุบซิบนินทาบนสวรรค์เล่าทันใดนั้น  นัยน์ตาของลู่จีก็กระตุกวาบ  คลี่ยิ้มแฉ่ง เอ่ยว่า “คุณหนู ชายเลี้ยงวัว  และ เจ้าหญิงทอผ้าคงจะได้พบกันในไม่ช้านี้...โอ”
                        “อา...” มู่หรงหยุนชูร้องอุทานออกมาเบาๆ  คล้ายๆเสียงร่ำไห้เสียละมากกว่า
                        ลู่จีพึมพำพลางถอนหายใจ  แม้ในสวรรค์จะมีหลายเรื่องที่มิน่าสนใจ   อย่าบอกนะว่าคุณหนูอยากฟังเรื่องซุบซิบในนรกเป็นไปไม่ได้แน่  คุณหนูยังไม่สนใจซื้อแม้แต่ผ้ายันต์เทพเจ้าเลย  จะหันไปซื้อของภูติผีได้อย่างไร... โอ้ว !
กลางวันแสกๆอย่างนี้  คิดอะไรเหลวไหลแท้ๆ ! ลู่จีส่ายศีรษะรัวๆ 
                          ลู่จีพร่ำเตือนตัวเองในใจไม่หยุดว่าผีไม่มีในโลกนี้   ปรากฏว่ายิ่งนางคิดวนเวียนไปมากเท่าใด  ก็ยิ่งเกิดความหวั่นกลัวมากขึ้นเท่านั้น   หางตาลู่จีกระตุกวาบ  ทันใดนั้น  ตรงหน้านางเยื้องๆไปนิด   เห็นใบหน้าขาวซีดพลันปรากฏขึ้น   จึงกรีดร้องออกมาทันใด “ผีหลอก!” 
                        มู่หรงหยุนชูได้ยินเสียงถึงกับชะงัก  เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  สีหน้าไม่ทุกข์ร้อนยามมองสาวใช้  “ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองนะ...ว่าเจ้าก็มีความสามารถสื่อสารกับภูติผีปีศาจได้”
                        ลู่จีที่กลับไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้อยู่ครู่หนึ่ง  พอฟื้นกลับมา  แลเห็นใบหน้าขาวซีดราวกับคนตายแล้ว   ทันไดนั้นจึงบ่นออกมาด้วยความโล่งอก  “คุณชายเฟิ่ง  ท่านไม่อยู่ที่เขาฮั่วโตวหรือนี่  ไฉนจึงมาเที่ยววิ่งเล่นบนถนนให้ผู้คนหวาดกลัวกันเล่า?
                        เฟิ่งเฉิงพอได้ยินเช่นนั้น  บนหน้าผากปรากฏรอยย่นลึกขึ้นสามเส้น  จึงเลียนแบบคำพูดและน้ำเสียงของนาง เอ่ยว่า “แม่นางลู่จี  เจ้าไม่ได้อยู่ในจวนมู่หรงหรือนี่  ไฉนจึงมาเที่ยววิ่งเล่นบนถนนให้ผู้คนหวาดกลัวกันเล่า?
                        ลู่จีเขินอายอย่างหนัก   และยิ่งเขินจนทนไม่ไหวจนต้องแลบลิ้นออกมา   รีบมองหาตัวช่วยให้นางพ้นความอับอาย  จึงมองมาที่เจ้านายของตนเอง
                        มู่หรงหยุนชูเงยหน้ามองเฟิ่งเฉิง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเฟิ่ง  พบกันอีกแล้ว
                        เฟิ่งเฉิงจับจ้องนางชั่วครู่  เอ่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจว่า “ท่านดูมีน้ำมีนวลขึ้นนะ”
                        มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้วดำเข้มขึ้น  ไม่ได้คล้อยตามคำชมเลยสักนิด “น้ำชาไหม?”
                        “ข้าเพิ่งดื่มชามาเองนะ
                        “ก็เอาอีกถ้วยไง”
                         “ดื่มชามากๆจะทำให้ป่วยได้นะ  แต่หากเป็นสุราข้าไม่ปฏิเสธ”
                        “ข้าได้ยินว่าโรงน้ำชามีน้ำต้มให้บริการโดยไม่คิดเงิน”
                        เฟิ่งเฉิงหัวเราะ  “ท่านไม่มีเงินจ่ายค่าสุราหรอกหรือ?”
                        “วางใจเถิด  มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง “ พอกล่าวจบมู่หรงหยุนชูเดินเข้าในร้านน้ำชาโดยไม่รีบร้อน  เหลือบตามองโถงด้านล่างของร้านด้วยสายตาฉงน   แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินขึ้นไปชั้นสอง  ตรงริมหน้าต่างมีโต๊ะว่างอยู่  จึงนั่งลง    ขณะที่ฝั่งตรงข้ามมีนักเล่านิทานตาหลานอยู่คู่หนึ่ง
                        เฟิ่งเฉิงนั่งลงทางเบื้องซ้ายของหญิงสาว  ท่าทางสบายๆ  ถามขึ้นว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ามาหาท่านทำไม?”
                        “เป็นเพราะยาพิษ”
                        เฟิ่งเฉิงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “โรคจอมวางแผนของท่าน  ดูท่าจะหนักนาเอาการนะ”   ไม่ว่าเรื่องอันใด มักต้องเป็นไปตามที่นางคิดคำนวณไว้ก่อนเสมอ  แม้แต่ประเด็นเดียวก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดสายตาไปได้   ชื่นชอบพระจันทร์เหมือนๆกัน  แม้ว่าจะไม่ใช่บุคคลคนเดียวกัน  ทว่ากลับได้รับการเอาใจใส่เหมือนๆกันจากผู้ชายคนเดียวกัน     ซ้ำชะตากรรมช่างเหมือนกันมากเช่นนี้ได้อย่างไร...น่าเวทนานัก   สำหรับตัวเขาเอง..ชะตากรรมของเขามันได้หมดสิ้นไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
                        โชคดีจริงๆ  ที่คนยังอยู่
                        เฟิ่งเฉิงคลี่ยิ้มออกมา  ส่งยิ้มและจับจ้องมู่หรงหยุนชูด้วยสายตาที่แฝงด้วยความเศร้าลึกๆ   คล้ายมีม่านหมอกมืดมิดบดบังดวงตา   เขาจะยิ้มออกมาได้อย่างไรในเมื่อเขาอยู่ในโลกมืดมิด มิเคยพานพบแสงสว่างมานานแล้ว   หญิงสาวมองเขา แล้วเอ่ยว่า “ยามนี้  ท่านมิได้ไปเยือนวัดเส้าหลินทางฝั่งตะวันตก  แต่กลับมาปรากฏตัวที่เมืองจินหลิง  ที่มานี่ก็เพื่อถอนพิษให้ข้าใช่หรือไม่?   ตัวข้าไม่อาจคิดหาเหตุผลอื่นไดได้”  มิหนำซ้ำฉู่ฉางเกอคงได้ทราบเรื่องนางโดนพิษ  มาจากท่านหม้อปีศาจแล้ว  ชูจางเคอะคงกำลังหาวิธีรักษาที่ดีที่สุดอยู่   จึงส่งเฟิ่งเฉิงมาเพื่อทำการถอนพิษให้นางจากที่คาดไว้   อันที่จริงแล้ว ยามนั้นนางได้ยอมให้ท่านหม้อปีศาจส่งจดหมายให้เขา  และนี่ก็เป็นวัตถุประสงค์อันแท้จริงด้วย
                        “เช่นนั้นแล้วท่านคงรู้ด้วยว่าใครเป็นคนให้ข้ามา”  ทุกครั้งที่พูดถึงฉู่ฉางเกอ  เฟิ่งเฉิงจะดูมีชีวิตชีวาขึ้น  ไฉนจึงดูแจ่มใสขึ้นจากความรู้สึกเศร้าซึมและสิ้นหวัง  ไฉนไม่ว่าเกิดเรื่องใดๆก็ตามฉู่ฉางเกอมักก้าวเท้าเป็นคนแรกเสมอ...
                        มู่หรงหยุนชูไม่เอื้อนเอ่ยอันใด  ก้มหน้าก้มตาจิบน้ำชาเงียบๆ  เหมือนเป็นการยอมรับกลายๆ
                        นักเล่านิทานของคู่ตาหลานที่อยู่ทางฝั่งตรงข้ามกำลังเล่าเรื่องอยู่   ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักมู่หรง  สำนักดาบหมิงเจี้ยน  สำนักคุ้มภัยเจิ้งหยวน และพรรคมาร  ที่มีความโกรธแค้นและชิงชังระหว่างกัน   แขกที่มานั่งดื่มชาต่างนั่งฟังกันอย่างเพลิดเพลิน  แม้แต่เด็กเล็กจำนวนมากยังมานั่งอยู่บนพื้นแถวหน้าสุด   บางคนยืน  บางคนนั่ง   ศีรษะเล็กๆต่างเงยหน้านั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ  คล้ายกลัวว่าจะพลาดเรื่องราวสนุกๆไปได้
                        ทันใดนั้น ชายแก่ผมขาวโพลนได้ตีกลองขึ้นหนึ่งที   เบิกตากว้างถามขึ้น “พวกท่านเดาซิ  เมื่อประมุขพรรคมารรู้ว่าร่างของมู่หรงหยุนชูต้องพิษร้ายแรง  เขาจะทำเยี่ยงไร?”
                        “อา? มู่หรงหยุนชูโดนพิษ อา? โดนพิษอะไร? จะตายหรือไม่? ท่านตา ท่านรีบบอกมาเร็วเข้า อา!”  หลานสาวผู้นั้นดึงแขนของผู้เฒ่าให้รีบตอบตามใจตนเอง      
                        “อย่าได้วิตกไป” ชายชราหัวเราะ พลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด ด้วยพลังวิเศษอันเหนือมนุษย์ของท่านประมุข  ไม่มีทางปล่อยให้คนรักต้องมาตายจากไปหรอก”
                        หลานสาวย่นจมูก ถามขึ้น “แล้วยามนี้ไฉนเขาไม่อยู่ในเมืองจินหลิงเล่า?”
                        “นั่นเป็นเพราะว่าเขาอยู่ในเมืองซูโจว!”
                        “เขากำลังทำอะไรที่เมืองซูโจวเล่า?”
                        “แน่นอน เขาย่อมไปคิดบัญชีกับท่านอ๋องเสี่ยวเหลียง!”   ทันใดนั้นชายชราก็ตีกลอง พลางเอ่ยว่า “ร่างกายของมู่หรงหยุนชูต้องพิษ  นั่นเป็นเพราะแผนชั่วของท่านอ๋องเสี่ยวเหลียง  ดังนั้นฉู่ฉางเกอจึงป่าวประกาศออกไป   หากมู่หรงหยุนชูมีอันเป็นไป    จวนอ๋องเหลียงจะต้องถูกฝังจมธรณี!”
                        “น่ากลัวแท้! แม้แต่องค์ชาย เขาก็ยังกล้าสังหารหรือนี่?”
                        “นี่คืออะไรหรือ? สำหรับฉู่ฉางเกอ  จะปลงพระชนม์ฮ่องเต้ก็สามารถทำได้ ราวกับบี้มด  แถมกระทืบซ้ำได้ตามอำเภอใจ
                        “ปลงพระชนม์องค์ชาย  จะหลบหนีได้พ้นรึ อา!” หลานสาวมีสีหน้าหวาดหวั่นเอ่ยขึ้น
                        ผู้เฒ่าชราสีหน้านิ่งสงบพลางลูบเคราสีขาว  หัวเราะเบาๆเอ่ยว่า “ใต้หล้านี้ไม่มีใครกล้าเป็นปฏิปักษ์กับ ฉู่ฉางเกอประมุขรุ่นที่ 9 หรอก
                        “ท่านตา  ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นรึนี่เขาทำเรื่องเช่นนี้มันร้ายแรงมากมิใช่หรือ?”
                        ชายชราลูบเคราสีขาวที่ขึ้นหรอมแหร็ม เอ่ยว่า “วันนี้ ใต้หล้า ไม่มีใครสามารถหลุดไปจากเงื้อมมือเขาได้
                        ยามนี้ มีมือปราบสองสามคน วิ่งขึ้นบันไดมาจับผู้คนอย่างเร็วรี่  ไม่นับคนอื่นๆที่เริ่มถูกจับกุมตัวไปบ้างแล้ว
                        “ท่านตา.....”
                        “เสี่ยวฉิง….”
                        มือปราบคนหนึ่งยึดข้อมือคนทั้งสอง พลางเอ่ยว่า “จับตาและหลานทั้งคู่เลย  บังอาจมาเผยแพร่ข่าวลืออันเป็นเท็จ  จับตัวส่งไปสอบสวนที่กรมอาญา!”
                        ในไม่ช้าผู้คนพากันหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง  โรงน้ำชากลับคืนสู่ความเงียบสงบในที่สุด
                        ลู่จีอดมองชายหนุ่มซึ่งถูกพาตัวไปไม่ได้และเอ่ยขอร้อง “คุณหนู โปรดช่วยพวกเขาด้วยเถิด”
                        มู่หรงหยุนชูยังคงก้มหน้าจิบชาต่อไป  คล้ายไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินเหตุการณ์ตรงหน้าเลย  ลู่จีได้ยินเพียงประโยคของนาง  “พวกคนที่เขาอยากให้ข้าช่วยอยู่ที่ไหนหรือ...”
                        เฟิ่งเฉิงได้ยินประโยคนี้  จึงเอ่ยชื่นชมว่า “สายตาของคุณหนูมู่หรงช่างดีนัก”
                        มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้ว  วางถ้วยชาลงเงยหน้าขึ้น พลางถามว่า “จุดจบของยาเม็ดกลืนวิญญานคืออะไร?
                        “ข้านึกว่าท่านไม่กลัวตายเสียอีก
                        “ข้าย่อมกลัวความตายที่ยังดูคลุมเครือ”
                        “ข้าเกรงว่าใจท่านคงจะต้องห่อเหี่ยวเสียแล้ว  เพราะว่าข้าไม่รู้ว่าอะไรคือจุดจบของยาพิษนั้น”  เฟิ่งเฉิงถอนหายใจ “ผ่านไปกว่า 3 ปีแล้ว ข้าค้นหาในตำราแพทย์ทุกเล่ม  ทว่าไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องเลย  คล้ายว่ายาเม็ดกลืนวิญญาณอยู่ดีๆก็ตกลงมาจากฟากฟ้าเสียอย่างนั้น”
                        มู่หรงหยุนชูคราแรก  ลองตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนไปพักใหญ่   แล้วพึมพำกับตัวเอง “หรือบางที  มันอาจไม่ใช่ยาพิษ”
                        เฟิ่งเฉิงมีสีหน้าประหลาดใจ “หากไม่ใช่ยาพิษแล้วมันคืออันใดกัน?”
                        มู่หรงหยุนชูส่ายหน้า  เอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่รู้หรอก” และแล้วก็ตกอยู่ในภังค์อีกเป็นนานก่อนจะยกมือขึ้นหยิบถ้วยชา  ครั้นแล้วจึงลุกขึ้นยืนและเอ่ยว่า “ขอเชิญท่านไปดื่มสุราเลิศรสด้วยกัน   ข้ารู้จักร้านเหล้าอันดับหนึ่งของเมืองนี้   ที่มีสุราที่ทั้งกลิ่นหอมหวาน และฤทธิ์แรงยิ่งนัก  ”  
“ แล้วจะไปที่นั่นได้อย่างไร?”  พอเอ่ยถึงสุราเฟิ่งเฉิงก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
                        มู่หรงหยุนชูมิได้ตอบคำถาม  สาวเท้าลงบันไดไปดื้อๆ
                        เฟิ่งเฉิงถึงกับบื้อใบ้  นี่เป็นเพราะเขาอยากดื่มสุรามากไปหรือไม่  ถึงได้หูแว่วฟังผิดไป?
                        ลู่จีมองชายที่ใบหน้าซีดขาวคล้ายผีอย่างเห็นใจเต็มที่ เอ่ยว่า “นายหญิงข้าหมายความว่าให้ท่านไปดื่มที่จวนมู่หรง”
                        “เรื่องนี้  ความหมายคือ อา.....” เฟิ่งเฉิงรู้สึกเวทนานางนัก  นางเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนแท้ๆ  ช่างน่าสงสารนัก  เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนก็ยังคุยอ้อมไปอ้อมมาไม่เข้าประเด็นเสียที  ทั้งยังมีอารมณ์เฉื่อยเนือย  ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเอาเสียเลย
                        คุณชายเฟิ่งไปแล้ว   น่าโมโหนัก  ตั้งแต่ต้นจนจบไม่สนใจเหล่าผู้คุมกฏทั้งสี่ที่ตามออกมาจากโรงน้ำชาอย่างเงียบเชียบเลย
                        “ดูสายตาฮูหยินสิมองเพียงแต่เฟิ่งเฉิงเท่านั้น อา!” ผู้คุมกฏทิศพายัพเดินมาจากด้านข้างทอดถอนใจออกมา
                        “เหลวไหลในสายตาฮูหยินมีแต่ท่านประมุขเท่านั้น” ผู้คุมกฏทิศปัจจิมรีบแก้ข่าว
                        ผู้คุมกฏทิศทักษิณมองไปยังคนทั้งคู่เบื้องหน้า เอ่ยว่า “อันที่จริง  หากฮูหยินจะมีสายตาให้ชายอื่น  ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายนักหรอก  ถึงอย่างไร  ท่านประมุขเราก็มีศัตรูมากมายอยู่แล้ว  มีคู่แข่งความรักย่อมน้อยกว่ามีศัตรู
                        ผู้คุมกฏทิศอุดรพยักหน้ายอมรับอย่างไม่ใคร่เห็นด้วยนัก  เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า  “ตราบใดที่ชายผู้นั้นมิใช่พวกเรา
                        “ต้องไม่ใข่แน่นอน!” ผู้คุมกฏทิศทักษิณ ทิศประจิม ทิศพายัพตอบอย่างพร้อมเพียงกัน

                        เพราะการกลายเป็นคู่แข่งความรักกับท่านประมุข  เป็นสิ่งที่น่าขนหัวลุกที่สุด.....
--------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
 ตามที่มีผู้อ่านบางท่านทวงถามมา   ได้อัพตอนใหม่ให้แล้วนะคะ ^-^



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น