วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 137 เกิดเรื่องขึ้นที่บ้านด้วย

                       อาเจี่ยนผงกศีรษะ  เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฟางโจว  ข้าจะเป็นธุระช่วยท่านอย่างเต็มกำลังในทุกๆเรื่องนะ!
                        เขานิ่งคิดไปสักพัก  “แม้ข้ายังนึกไม่ออกว่าข้าคือใคร  ครอบครัวอยู่แห่งหนใด   ทว่าข้าก็จะช่วยท่านทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อก่อร่างสร้างตัวให้เป็นผลสำเร็จ  แล้วข้าค่อยจากไป”
                        ความอบอุ่นวาบขึ้นในอกของเหลียนฟางโจว  พาให้จิตใจโล่งเบาโดยไม่รู้สาเหตุ  หญิงสาวพยักหน้าเอ่ยแย้มยิ้ม “อาเจี่ยน  ขอบคุณท่านมากนะ”

                        อาเจี่ยนโคลงศีรษะพร้อมรอยยิ้ม “มิต้องเกรงใจไป!”
    เนื่องจากวันนี้ล่าช้ามามากแล้ว  บรรดาคนงานที่เดิมทีควรทำงานที่กำหนดไว้เสร็จ  ก็ยังขาดไปอีกหนึ่งส่วน   ซ้ำพระอาทิตย์ยังลาลับขอบฟ้าไปแล้วด้วย
                        เหลียนฟางโจวจึงอนุญาตให้คนงานกลุ่มนั้นกลับไปก่อน   แล้วค่อยมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น
         คนงานกลุ่มเนื้อแท้เป็นคนสัตย์ซื่อและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  บวกกับวันนี้ได้ประจักษ์กับตาตนเองว่าจ้าวลิ่วมีความสัมพันธ์อันดีกับเหลียนฟางโจว    ไหนเลยจะยอมกลับไปเช่นนั้นเล่า คนงานแต่ละคนต่างเอ่ยออกมาว่างานใกล้เสร็จแล้วขอทำให้จบ  เพราะเดิมทียามนี้งานในวันนี้ควรจะเสร็จสิ้นลงแล้ว   ทว่ากลับมิอาจเสร็จ   พวกเขาจึงไม่สบายใจไปด้วย
    เหลียนฟางโจวเห็นพวกเขาเอาแต่ยืนกรานดื้อดึงเช่นนั้น  จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นแล้ว...ทุกท่านก็เร่งมือให้เร็วขึ้นอีกนิดแล้วกัน   กลับบ้านตอนมืดๆค่ำๆย่อมไม่ดีนัก!   พรุ่งนี้เช้าพวกท่านก็เข้างานให้ช้าลงหน่อย!”
                        หญิงสาวครุ่นคิดสักครู่  จึงเอื้อนเอ่ยออกมา   หากเทียบกับกำหนดการเดิมแล้ว ก็อาจจะล่าช้าออกไปอีกราวครึ่งชั่วยาม
                        คนงานทุกคนต่างหัวเราะเห็นและด้วยตามนั้น   ครั้นแล้วเหลียนฟางโจว อาเจี่ยน และเหลียนเซ่อจึงกลับบ้านไปก่อน
                        เนื่องจากเหลียนฟางโจวขี่ลาตอนขามา    ดังนั้นยามขากลับจึงไม่มีรถเกวียนให้นั่ง      ทั้งสามคนจึงพากันเดินกลับ  พลางพูดคุยกันไปด้วย   โดยมีอาเจี่ยนเป็นคนจูงลา
             **
                        “นายหญิงนี่ช่างเป็นคนมีเมตตาและซื่อสัตย์เสียจริงๆ!”
    “แน่ล่ะเจ้านายแบบนี้คล้ายว่า  ข้าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลยนะ!”   
              “เจ้าพูดถูกแล้ว  ข้าก็เห็นจริงด้วย!”
         ทุกๆคนในไร่อดพรูลมหายใจออกมาเบาๆไม่ได้   แต่ละคนล้วนเอ่ยยกย่องหญิงสาวเป็นเสียงเดียวกัน
         “ไม่เช่นนั้นพวกเราควรไปพูดกับท่านจ้าวลิ่ว  ต่อไปนี้หากนายหญิงยังมีงานให้ทำที่นี่  ก็ขอให้ท่านจ้าวลิ่วแบ่งมาให้พวกเราบ้างดีไหม?”  ไม่รู้ว่าใครในที่นั้นโพล่งขึ้นมา
                   แม้ว่าพวกเขายามนี้จะคุ้นเคยเป็นอันดีกับเหลียนฟางโจวแล้ว  ทว่าตามกฎของคนประกอบอาชีพรับจ้าง มิอาจมิเชื่อฟังได้   จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยของานในวันหน้ากับเหลียนฟางโจวโดยตรง
                        งานที่ร้องขอ  จะเป็นเพียงงานเล็กๆน้อยๆ หรือบางทีเป็นการช่วยงานที่เกี่ยวข้องในหมู่บ้านข้างเคียงเพียงเท่านั้นก็ได้  แนวๆนี้   ทว่าหากเรื่องที่ไปร้องของานเอากับนายจ้างโดยตรง   เกิดรู้ไปถึงหูจ้าวลิ่วเข้า  จากนี้ไปพวกเขาก็คงไม่กล้าไปของานจากจ้าวลิ่วอีกเป็นคำรบที่สองแล้ว
                        “ใช่แล้ว  ใช่แล้วเป็นความคิดที่ดี!”
                        “ข้าก็เห็นดีด้วย!”
         ดวงตาทุกคู่พลันเปล่งประกาย  พวกเขาพากันตื่นเต้นดีใจในฉับพลัน  ต่างสุมหัวหารือกันไม่หยุด
                        เป็นเพราะนายหญิงใจดีมีเมตตา  ไม่ขี้เหนียวเรื่องค่าแรง  พวกเขาจึงทำงานด้วยความขยันขันแข็งสุดใจ   ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่  ไม่มีอู้งานเลยสักนิด  การโอภาปราศรัยระหว่างสองฝ่ายก็เป็นไปอย่างราบรื่นถ้อยทีถ้อยอาศัยเป็นที่สุด 
                        พอนึกถึงเจ้านายที่เคยจ้างพวกเขามาทำงาน  ก็ให้รู้สึกเครียดกังวล  เพราะที่เจอมาล้วนแล้วแต่ใช้เล่ห์กระเท่จ้องจะคดโกงเอาเปรียบพวกเขามาตลอด   คนงานที่ถูกจ้างมาเช่นพวกเขามิอยากพบเจอเจ้านายที่ไร้เหตุผลและใจจืดใจดำอีกแล้ว         
                        ในที่สุดทุกคนจึงหารือกันแล้วลงความเห็นว่า  ให้คนที่น่าเชื่อถือที่สุดในกลุ่มสองคนคือ คือ หลี่ฉิงกับ  หวูเสี่ยวเหมา รับหน้าเสื่อไปแจ้งความจำนงเรื่องนี้กับท่านจ้าวลิ่ว  
                        **
                        เหลียนฟางโจว  อาเจี่ยน และอาเซ่อเดินกลับมาถึงประตูรั้วบ้าน   เห็นประตูรั้วที่ลานบ้านปิดงับอยู่อย่างแน่นหนา  เหลียนเซ่อและอาเจี่ยนต่างอึ้งงันไปทันที   เหลียนฟางโจวก็อดทำท่าทางตามไม่ได้
         ส่วนป้าสาม ยามนี้รออยู่ในเรือนด้วยท่าทางระแวดระวังตัวสุดขีด! 
              เหลียนฟางโจวจึงสืบเท้าเข้าไปตบประตูร้องเรียก 
                        ไม่นานต่อมา  ด้านในจึงมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น  ป้าสามและเหลียนฟางฉิง เหลียนเช่อต่างพากันออกมา  สองตาแต่ละคนเพ่งมองออกไปผ่านรอยแยกตรงประตู  ครั้นแล้ว  ประตูก็เปิดออก
                        พวกเจ้ากลับมาแล้ว!”  สีหน้าท่าทางเครียดเขม็งเกลียวของป้าสามพลันคลายลง
              เหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อ เด็กทั้งสองรู้สึกใจชื้นขึ้นมาคล้ายว่าได้ยกภูเขาออกจากอก    ตะโกนเรียกพี่ใหญ่ พี่ชาย  ความรู้สึกอุ่นใจผุดขึ้นมาเป็นล้นพ้น   คล้ายว่าพวกเขาต่างมิได้เจอหน้ากันมานาน
              “พวกเจ้าเกิดอันใดขึ้น?  มีอันใดเกิดขึ้นรึ?”  เหลียนเซ่อถาม
                        เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อกำลังจะเอื้อนเอ่ย  ป้าสามก็แทรกขึ้นเสียก่อน  “จะเป็นอะไรอีกเล่า  ไม่ต้องให้พูดเลย  พูดไปก็มิกระจ่าง  พวกเจ้าเข้าไปในเรือนก่อนเถอะ  ไปดูด้วยตาตนเอง ประเดี๋ยวก็รู้!”
                        พอได้ฟังคำกล่าวนี้  เหลียนฟางโจวพลอยประหลาดใจตามไปด้วย
              สาเหตุคงมิใช่มาจากลุงใหญ่นะ!”  เหลียนเซ่อเอ่ยขึ้นขณะสาวเท้าเข้าไป
                   ป้าสามรีบสั่นศีรษะ  “มิใช่มีคนอยากเข้ามาในบ้าน  พวกเราได้ยินเสียงตบประตูรั้วจากด้านนอก   ทั้งตบประตูทั้งร้องเรียก   พวกเรามิยอมให้คนนั้นเปิดเข้ามา  ฝ่ายนั้นก็เดินป้วนเปี้ยนไปรอบๆ    ที่แท้ก็เป็นป้าใหญ่ของพวกเจ้า!”
                        ป้าสามมิใคร่สบอารมณ์นัก  กล่าวต่อไป “พี่สะใภ้” เอ่ยเรียกอีกคนอย่างมิเต็มใจนัก
         “ป้าใหญ่!”  เหลียนฟางโจวตาเบิกโพลงอย่างตกตะลึง  พลางกระทืบเท้าเอ่ยขึ้น  “สามีภรรยาคู่นี้ยังทำตัวไร้ยางอายไม่เลิกเสียที!”
                        ดีนะที่พวกเราวางแผนเตรียมพร้อมไว้ก่อน!”   ป้าสามพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ   ในหว่างที่คนทั้งหมดสาวเท้าเข้าไปในเรือน
      อันที่จริง  เหลียนฟางโจวพึ่งจะออกไปข้างนอกไม่นาน   ฮูหยินเฉียวก็มาที่บ้านทันที 
              ครั้นพอรู้ว่าเหลียนฟางโจวกำชับป้าสามให้ปิดประตูรั้วไว้  ฮูหยินเฉียวซึ่งซุ่มรออยู่ด้านนอกก็ตบประตูแรงๆทันที  บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
                   ป้าสามไหนเลยจะตามทันแผนการร้ายในใจนางได้เล่า  จึงยอมเปิดประตูรั้วแต่โดยดี
              พอฮูหยินเฉียวเข้ามา   ก็ถามหาเหลียนฟางโจวว่าอยู่ที่ไหนไฉนถึงไม่เห็น?
                        ป้าสามพลันแค่นเสียงขึ้นมา   พลางอธิบายต่อ  จากนั้นฮูหยินเฉียวได้แต่เหลือบมองไปมา แล้วมิได้เอื้อนเอ่ยอะไรสักคำ
                        เหลียนฟางโจวออกไปไร่เพราะเหตุที่เหลียนลี่ก่อเรื่อง   ป้าสามเลยเชื่อว่าฮูหยินเฉียวคงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้วยเป็นแน่!
                        ฝ่ายฮูหยินเฉียวกระแทกก้นลงนั่ง   ทำตัวตามสบายร้องเรียกเหลียนฟางฉิงให้มารินน้ำชาให้นางดื่ม  แล้วเอ่ยขึ้น  “นางออกไปแล้วใช่หรือไม่?  เช่นนั้นข้าจะอยู่ที่นี่รอนางกลับมา!”
                        ป้าสามและเหลียนฟางฉิง เหลียนเช่อ ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบนาง  ทว่ามิอาจผลักไสไล่ส่งนางให้ออกไปได้  และก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดีด้วย
                        วันนี้ฮูหยินเฉียวดูท่าทางทะแม่งๆอย่างไรพิกล  หนำซ้ำยังไม่เอาแต่สบถก่นด่าอย่างเคย  กลับฉีกยิ้มคุยดีกับเหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อทั้งสองคน  แถมยังหัวเราะชมเชยเด็กทั้งสอง  ว่ายิ่งมองก็ยิ่งน่าเอ็นดู  ซ้ำยังชื่นชมความสามารถของเหลียนฟางโจว  ที่ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นทุกวัน และอื่นๆอีกมากมาย
                        ไม่ว่าเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อ ป้าสามจะมองป้าใหญ่ด้วยสีหน้าอย่างไร  นางก็ไม่สะทกสะท้าน  ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังพูดคุยอารมณ์ดีไม่เปลี่ยน
    เพราะด้วยเหตุผลนี้  ความหวาดระแวงตามสัญชาติญาณเดิมที่ป้าสามมีต่อป้าใหญ่จึงค่อยๆสลายลงไปทีละเล็กละน้อยจนหมดสิ้น   ไม่นับเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อที่ออกอาการหนักกว่าป้าสามเสียอีก
                   ครู่ต่อมาฮูหยินเฉียวก็เอ่ยว่า “จริงสิ  เมื่อครู่ก่อนข้าเพิ่งมาจากสวนผัก   คล้ายว่าจะเห็นฝูงไก่เข้าไปในแปลงผักพวกเจ้านะ!”
                        กะอีแค่มีฝูงไก่เข้าไปในแปลงผัก  จะทำผักเสียหายย่อมเป็นไปไม่ได้  ป้าสามจึงขึงตาใส่ฮูหยินเฉียวทีหนึ่ง
                        ฮูหยินเฉียวเอ่ยแย้มยิ้ม  “เจ้ามองหน้าข้าทำอะไร  มิใช่ฝูงไก่ของพวกข้านะ  ไม่เช่นนั้นข้าจะมาบอกเจ้าทำไมน้องสาม  เจ้ารีบไปดูดีกว่าไหม!”
                        ป้าสามนึกกังวลในใจ จึงลุกขึ้นแล้วรีบไปทันที
    พอเดินไปถึงลานบ้านได้ไม่ไกลนัก  พลันนางก็หยุดกึก  แล้วรีบกลับเข้าไปในเรือนทันที
                   เพราะนางนึกขึ้นได้  ว่าเหลียนฟางโจวได้สั่งความเอาไว้ก่อนออกจากบ้านไป  ให้นางดูแลเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อ  คอยเฝ้าบ้านให้ดี   ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด!
                        ครั้นแล้วป้าสามเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น   หลั่งเหงื่อเย็นทั้งร่าง  เคราะห์ดีนักที่นางเปลี่ยนใจกลับมา!
         นางเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในลานบ้าน   ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อตะโกนโหวกเหวกโวยวายจากในบ้าน  ตามมาด้วยเสียงด่าทอของฮูหยินเฉียวผสมโรงขึ้นมา
              ป้าสามตระหนกตกใจนัก  รีบตรงดิ่งเข้าไปมิชักช้า
                   ในโถงเรือนไม่ปรากฏเงาของใครเลย  เสียงเอะอะโวยวายทั้งหลายแหล่ดังลอดออกมาจากห้องที่เหลียนฟางโจวและน้องๆ รวมทั้งป้าสามอาศัยหลับนอน
              ฮูหยินเฉียวฉวยโอกาสตอนนางไม่อยู่บุกจู่โจมเข้าไปในห้องโดยไม่มีใครคาดคิด!
              นางบุกเข้าไปในห้องจะทำอะไรรึแน่นอนย่อมไม่พ้นเพื่อค้นหาเงินกับโฉนดที่ดิน!

              ขณะที่เหลียนฟางฉิง เหลียนเช่อเห็นเข้า  ย่อมจะไม่แปลกใจในเป้าประสงค์ของป้าใหญ่   ทว่าทั้งสองคนไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้กับฮูหยินเฉียวได้เล่า   ในที่สุดนางที่ถูกยื้อยุดขัดขวางจากทั้งเด็กทั้งสองก็บุกเข้าไปในห้องจนได้

           --------------------------------------------------------------------------------
       ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^-^

15 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ24 ตุลาคม 2560 เวลา 21:41

    ร้ายไม่เลิก

    ตอบลบ
  2. อิป้าแสบนี่มาอีกแล้ว//ขอบคุณไรท์ค่ะ^^

    ตอบลบ
  3. เกลียดสองผัวเมียคู่นี้สุดๆเลย///ขอบคุณค่ะไรท์

    ตอบลบ
  4. แจ้งความเอาเรื่องเลยเหอะ

    ตอบลบ
  5. รอตอนต่อไปเสมอนะคะ
    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  6. หน้าด้านสุดๆเลยบ้านนี้ เฮ่อ....

    ตอบลบ
  7. ป้าสะใภ้เปลี่ยนสถานะเป็นโจรกลางวันแสกๆ หน้าด้านทั้งลุงและป้าสะใภ้จริงๆหนักข้อขึ้นทุกทีแล้ว

    ตอบลบ
  8. รอผู้แปลเสมอค่ะ ขอบคุณมาก

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณค่ะ
    แค่ชื่อตอนก้อระทึก สัญญาที่ลงไว้ว่าไม่มีสัมพันธุ์นำออกมาช่วยอะไรไม่ได้เหรอ ชอบอ้างความเป็นญาติมาหุบของคนอื่น
    เกลียดจิงไรจิง

    ตอบลบ
  10. ทั้งผัวทั้งเมียคู่นี้ สุดๆ

    ตอบลบ
  11. จับส่งที่ว่าการได้ไหมเนี่ย

    ตอบลบ
  12. เกลียดผัวเมียคู่นี้จริงๆ อะไรกันนักกันหนา ของตัวเองก็ไม่ใช่

    ตอบลบ
  13. มันน่าจะตอบโต้ให้เจ็บแสบซักทีนะ โลบแบบนี้ ไม่ควรนับเป็นญาติผู้ใหญ่ ถ้าเป็นเรื่องอื่นนะ ตัวเอก มันฆ่าทิ้ง ตัดปัญหาไปและ อ่านมาทั้งเรื่อง มีอี้ป้า กับลุงเนียละตัวร้ายที่น่าลำคาญมากๆ

    ตอบลบ
  14. ป้าใหญ่นี่เกินไปมากนะ ควรโดนฟ้าดินลงโทษบ้างนะ

    ตอบลบ