วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา- บทที่ 141 โดนแม่เฒ่าหยางหาเรื่อง 1

                      เหลียนฟางโจวเมื่อได้ยินวาจาของจ้างลี่เจิ้ง  ก็รู้แน่ว่าเมล็ดที่ได้รับมามีจำนวนมหาศาล  จึงหัวเราะถามขึ้น
                        “จะมีอะไรอีกเล่า !”  จางหลี่เจิ้งพยักหน้า  พลางเอ่ยแย้มยิ้ม “หมู่บ้านที่อยู่ติดกัน 8 หมู่บ้าน  ล้วนกลัวเจอคนชิงตัดหน้า แล้วจะขายเมล็ดพันธุ์ไม่ออก  สองสามวันมานี้จึงพากันมาเยือนบ้านข้าทั้งวันมิได้หยุด!  เมื่อคืนข้าได้ทำบัญชีเอาไว้  นี่ยังไง  ยังไม่ได้คิดยอดรวม  ไม่รู้ว่าเป็นเท่าใด  อืม...ได้รับมาแล้ว 4,300ชั่ง!” 

              เหลียนฟางโจวมิเคยนึกเลยว่าจางหลี่เจิ้งจะรวบรวมเมล็ดพันธุ์ได้เร็วถึงเพียงนี้  ค่อนข้างไวมากจนน่าตกใจ  จึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “  นั่นช่วยข้าได้มากจริงๆ!  ขอบคุณท่านลุงเจิ้งที่เป็นธุระป่าวประกาศให้  หากข้าได้รับมาอีกราว 1,500 ชั่ง  ท่านก็ไม่ต้องประกาศรับซื้ออีกแล้ว !” 
         จางหลี่เจิ้งผงกศีรษะ  หัวเราะเป็นการตอบรับ
    เมล็ดฝ้ายจำนวนมหาศาลย่อมไม่อาจกองไว้ในบ้านจางหลี่เจิ้ง  มากินพื้นที่บ้านพวกเขาได้โดยไม่มีเหตุผลอันควร  เหลียนฟางโจวและเหลียนซ่อ  รวมทั้งอาเจี่ยน จึงเอารถเกวียนเทียมลาของบ้านพวกเขามา  ใช้เวลาตลอดยามบ่าย  ขนเมล็ดพันธุ์เหล่านี้กลับไปกองไว้ในห้องใต้หลังคาของบ้านตนเอง
                        วันถัดมาก็ไปงานออกร้าน  เหลียนฟางโจว  อาเจี่ยน  และเหลียนเซ่อหลังจากพาเหล่าคนงานไปยังที่ดินตรงแถวสามแยกเพื่อเตรียมพื้นที่แล้ว  ก็เข้าเมืองไปหาซื้อวัวต่อ
                        นี่เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย  เพราะเกี่ยวเนื่องกับปัญหาปุ๋ยที่ไว้ใช้เพาะปลูกพืชไร่ในปีหน้า  จะล่าช้าแม้เพียงนิดก็ไม่ได้
                        ผืนดินที่นี่  แต่ก่อนบางคนใช้ไฟเผาแบบควบคุมพื้นที่เพื่อเผาป่าหรือพื้นที่รกร้าง  พอทำถนนกั้นรอบเสร็จแล้ว   ตกบ่ายก็จุดไฟเผาพื้นที่  โดยไม่ลืมจุดไฟเผาในบริเวณพื้นที่ที่กั้นรอบไว้
                        วัวที่ไว้ใช้ไถพรวนที่ดินจะมาในวันพรุ่งนี้  เหลียนฟางโจวตั้งใจไว้ว่านอกจากจะเอาวัวไปไถพรวนที่ดินรกร้างทั้งหมด  ยังจะเอาไปไถพรวนที่ดินที่อื่นๆได้อย่างสะดวกด้วย  เพราะที่ดินทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลนัก
         เมื่อสั่งงานกับบรรดาคนงานจนแจ่มแจ้งดีแล้ว  ทั้งสามจึงขับรถเกวียนเทียมลาเข้าเมือง
                        สืบเนื่องมาจากการซื้อลาคราวก่อน  ยามนี้เมื่อถึงคราวซื้อวัวจึงให้อาเจี่ยนดูให้  เหลียนฟางโจวมิใช่คนจู้จี้จุกจิก  ดังนั้นการดูวัวเพื่อเลือกซื้อจึงเสร็จในเวลาอันสั้น   ลงท้ายได้พ่อวัวและแม่วัวที่แข็งแรงบึกบึนมาสองตัว  โดยจ่ายเงินไปทั้งสิ้น 32 ตำลึง
    ตอนขากลับ  พวกเขาต่างเร่งรีบพาวัวทั้งสองตัวเดินทางมา  ซึ่งพวกมันเดินได้เชื่องช้ามาก  กว่าจะถึงบ้าน  ก็บ่ายคล้อยไปแล้ว   
              ป้าสามกับเหลียนฟางฉิง  รวมทั้งเหลียนเช่อพอเห็นพ่อวัวแม่วัวทั้งสองก็ดีอกดีใจยิ่งนัก  รีบสาวเท้าเข้ามามุงดู ซ้ำเอามือลูบไล้ไปมา  จากนั้นจึงจูงวัวทั้งสองตัวเข้าคอก  เปิดประตูให้พวกมันแยกย้ายเข้าไปอยู่ในช่องของแต่ละตัว
              ฟางข้าวที่ไปเอามาเมื่อสองวันก่อนยามนี้เริ่มเปื่อยยุ่ยแล้ว  โดยถูกขนใส่เกวียนเทียมลามาจากทุ่งนา   ฟ่อนฟางข้าวทั้งหมดถูกนำมากองไว้บนหลังคาคอกสัตว์  ก่อนจะออกจากบ้านในตอนเช้าตรู่   พวกเขาใช้มีดฉาเตาสับฟางข้าวให้เป็นท่อนเล็กๆ  แล้วนำมาปูบนพื้นกระท่อมคอกสัตว์เกลี่ยให้เสมอกัน
                                         

มีดฉาเตา

                   วัวตัวโตทั้งสองตัวเดินเข้ามาใกล้  พลางแกว่งหางขณะกินฟางข้าวแห้ง  ทุกคนเห็นแล้วต่างเบิกบานยินดียิ่ง
              อย่าลืมเอาน้ำให้พวกมันกินด้วยนะ!”  เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอถึงตอนเย็นให้จูงพวกมันไปกินน้ำที่ริมแม่น้ำด้วย  ฟางข้าวที่ให้มันกินแห้งไปหน่อย!”
                        เหลียนเช่อกับเหลียนฟางฉิงพอได้ยินก็ขออาสาทันที
              เหลียนเซ่อเอ่ยแย้มยิ้ม “เจ้าสองคนรีบขันอาสากันดี  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ดูแลพวกมันไปเลยก็แล้วกัน!”
              เหลียนเช่อกับเหลียนฟางฉิงหัวเราะยินดีรับคำทันที
              สมาชิกทั้งครอบครัวต่างพูดคุยหัวเราะกันอย่างชื่นมื่น  พลันที่ลานหน้าบ้านมีเสียงหญิงชราผู้หนึ่งส่งเสียงตะโกนลั่น “มีใครอยู่ไหมไม่มีใครอยู่ข้างในรึ!”
                        “เสียงนี่   ข้าได้ยินแล้วรู้สึกคุ้นหูอย่างไรพิกล?”  ทุกคนต่างสะดุ้งโหยง  เหลียนฟางโจวก็อึ้งงันพลางเอ่ยขึ้น
      สีหน้าของเหลียนเซ่อตึงขึ้นทันที  พลางแค่นเสียง “พี่ใหญ่  ท่านลืมแล้วหรือไร? นี่มันเสียงแม่เฒ่าหยางที่อยู่หมู่บ้านหยางเจียไงเล่า!”
                        เหลียนฟางโจวเอามือตบหน้าผากทีหนึ่ง  อาใช่จริงด้วย!
         “นางมาทำอะไรที่บ้าน?”  เหลียนฟางโจวพึมพำออกมา  “ป้าสาม  ท่านพาฉิงเอ๋อร์กับคนอื่นๆเข้าไปในเรือนก่อนเถิด  ข้าจะออกไปดูเอง!”
                   แม่เฒ่าหยางแห่งหมู่บ้านหยางเจีย  แม่ของหยางหวายชานนี่เอง  เหลียนฟางโจวเคยพบเพียงสองครั้ง  ทว่าไม่เคยให้ความสนใจเลย  ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินเสียงก็ยังเลือนรางในความทรงจำ  ผ่านไปเป็นนานก็ยังไม่สามารถนึกออก
              “พี่ใหญ่ข้าไปเป็นพื่อนท่านเอง!”  เหลียนเซ่อสาวเท้าตามไปทันที
              อาเจี่ยนได้ยินชื่อ หมู่บ้านหยางเจีย   จึงนึกเดาได้คร่าวๆ  อดพยักหน้าไม่ได้  แล้วเหลือบมองเหลียนฟางโจวด้วยความเห็นใจ
              เรื่องนี้ตัวเขาเข้าไปสอดมือคงไม่ดี  ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่สาวเท้าตามออกไป  ได้แต่อ้อยอิ่ง อยู่ผ้าฟืนที่ลานหลังบ้าน 
                        “แม่เฒ่าหยางนั่นเองมีเรื่องอันใดหรือ?”  เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อสืบเท้าเข้าไปหา  ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นปกติ
         ข้างๆแม่เฒ่าหยาง  มีผู้ติดตามด้วยนั่นคือสะใภ้คนล่าสุด หัวเสี่ยวฮวา
              หัวเสี่ยวฮวาปรายตามองเหลียนฟางโจวพร้อมเชิดหน้าน้อยๆ  ใบหน้าค่อนข้างเย็นชาแค่นเสียงเฮอะ  พลางค้อนใส่เหลียนฟางโจว
                   เหลียนเซ่อเหล่ตามองอดยกยิ้มเหยียดไม่ได้  แม่ผัวลูกสะใภ้คู่นี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ
              ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแม่เฒ่าหยางจงใจพาหัวเสี่ยวฮวามาใช้สายตาทิ่มแทงเยาะเย้ยเหลียนฟางโจว  ทว่ายามนี้ดูๆแล้วเป็นเหลียนเซ่อต่างหากที่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสายตาทิ่มแทงจนแทบจะพรุนไปทั้งร่าง  เหลียนฟางโจวไม่เคยมีพวกนางแซ่หยางทั้งสองอยู่ในสมองเลยแม้สักเสี้ยว  ทว่าพวกนางยังดึงดันเชื่อว่าตนเองคิดถูกแล้วที่มาปรากฏตัวหาเรื่องเช่นนี้  ทำให้พวกนางรู้สึกสาแก่ใจนัก!
                        แม่เฒ่าหยางเห็นเหลียนฟางโจวดูเรื่อยเฉื่อยสบายใจ   ซ้ำดูไม่เหมือนเสแสร้งแต่อย่างใด   ความกระหยิ่มใจของนางพลันหายวับไปในอากาศ  ได้แต่ส่งเสียงฮึ่มฮั่มเบาๆ  แค่นเสียงในใจว่า  เจ้าช่างเสแสร้งนักคงจะฝืนแสดงละครล่ะสิที่จริงคงไม่ได้รู้สึกดีนักหรอกที่เจอสกุลหยางของข้าถอนหมั้น  ในใจนางจะไม่ขื่นขมอกไหม้ได้อย่างไรเล่า!
                        ทว่า  พอนึกถึงสาเหตุที่ต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่แล้ว  แม่เฒ่าหยางก็ให้สุดแสนอารมณ์เสียนัก
                        เดิมทีนางมีเหตุผลอันหนักแน่นต้องการยกเลิกการสู่ขอนี้   ใช้เรื่องที่เหลียนฟางโจวมีครอบครัวที่เป็นภาระหนักพ่วงมาเป็นข้ออ้าง  ซ้ำนางยังมั่นใจนักว่า  เมื่อเหลียนฟางโจวเจอตระกูลของนางถอนหมั้น  ภายหลังชีวิตไม่พ้นต้องประสบความทุกข์ยากลำบากเป็นแน่แท้  เมื่อเป็นเช่นนั้น  นางก็สามารถพิสูจน์ต่อหน้าบุตรชายได้ว่า  สิ่งที่นางตัดสินใจเลือกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง! 
                        เป็นสิ่งดีที่นางสอนบุตรชายให้รู้จักพินิจพิเคราะห์ดู  ต่อไปบ้านสกุลเหลียนคงไม่อาจยืนหยัดอดทนต่อชีวิตลำบากเช่นนั้นได้  หากไม่ยกเลิกการหมั้นหมายแล้ว  ยามนี้เจ้าไม่พ้นต้องเข้าไปเกี่ยวพันช่วยเหลือเป็นแน่ !     
              นางไม่นึกเลยว่า  ผ่านไปไม่นานเท่าใด   ชีวิตของเหลียนฟางโจวและคนทั้งบ้านไม่เพียงแต่จะผ่านปากเหวของความยากแค้นแสนสาหัสมาได้  ซ้ำยังได้ยินว่าได้ดิบได้ดีมีญาติเป็นถึงเศรษฐี   ตรงกันข้ามชีวิตมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆถึงขั้นซื้อที่ดินเนื้อที่กว่าพันหมู่ได้....
              ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางตัดสินใจผิดตั้งแต่แรกใช่หรือไม่นี่คือสิ่งที่นางยอมรับไม่ได้เป็นอันขาด!
              “เฮอะ! “  แม่เฒ่าหยางมิยอมเอ่ยว่าจะขอเข้าไปในเรือน  เพียงยืนอยู่ในลานบ้านกับหัวเสี่ยวฮวา  เอ่ยเสียงกร้าวกับเหลียนฟางโจว  “ที่ดินตรงสามแยกนั่นเจ้าเป็นผู้ขอซื้อหรือ?”
              น้ำเสียงแม่เฒ่าหยางไม่เพียงจะเกรี้ยวกราด  ทั้งยังเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหองอีกด้วย  เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อเมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที  เหลียนเซ่อไม่อยากให้พี่สาวต้องมารองรับโทสะอันไร้เหตุผลของหญิงชราผู้นี้  จึงทำหน้าบึ้งตึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ใช่”
                        สายตาที่ขุ่นมัวของแม่เฒ่าหยางจับจ้องเหลียนฟางโจวเขม็ง  ยื่นหน้าเข้ามาใกล้  รอคอยคำตอบจากหญิงสาว
              เหลียนเซ่ออุตส่าห์ตอบกลับไปแล้ว  เหลียนฟางโจวจึงไม่เอ่ยอันใด  เพียงยืนทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงนั้นเฉยๆ   พร้อมกับมุมปากโค้งขึ้น
                   “สามีข้าขอให้ข้ามาเจรจาเจ้าเป็นใบ้หรือไร!”  หัวเสี่ยวฮวาถือเป็นศัตรูตัวใหม่ที่จิตใจเปี่ยมไปด้วยความชิงชังสุดแสน  หากไม่นับน้ำเสียงกร้าวกระด้างที่เปล่งออกมา
              เมื่อย้อนนึกถึงวันนั้นที่ตนเอง  มารดา และพี่สะใภ้เป็นฝ่ายเพี่ยงพร้ำที่หน้าบ้านเหลียนฟางโจว  หัวเสี่ยวฮวาจึงอดเดือดดาลไม่ได้  จับจ้องเหลียนฟางโจวด้วยสายตาขุ่นเคือง
         “เจ้าหูตึงหรือไรข้ามิได้พูดว่าใช่หรอกหรือ!”  เหลียนเซ่อซัดกลับด้วยเสียงกระโชกโฮกฮาก
              ใต้หล้านี้มีคนเช่นนี้ด้วยรึ  แล่นมาแสดงพฤติกรรมหยาบคายที่บ้านผู้อื่น  แล้วคิดว่าผู้อื่นต้องเคารพให้เกียรติตนเอง!
                        เหลียนฟางโจวยังคงนิ่งเงียบ  ไม่รู้จริงๆเลยว่าแม่เฒ่าหยางกับลูกสะใภ้แสนดีเช่นนางไปเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหน?

                        อย่าบอกนะว่าเหตุมาจากครั้งที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเคยให้มีการหมั้นกับหยางหวายชานเมื่อเก่าก่อน  ดังนั้นแม่เฒ่าหยางจึงคิดอ้างสิทธิ์มาขอรับเงินส่วนที่เป็นของอดีตว่าที่แม่สามีนี่มันคือตรรกะอันใดกัน!
       --------------------------------------------------------------------------
     ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และการติดตามค่ะ 
     -โชคดีที่นางเอกคลาดแคล้วกับอดีตคู่หมั้น  แต่งงานกับพระเอกดีแล้ว เพราะพ่อแม่สามีฮีตายหมดแล้ว ^-^



15 ความคิดเห็น:

  1. อย่างนี้ก็มีด้วย คนอะไรหน้าด้านจริงกลุ้มแทนนางเอกเลย

    ตอบลบ
  2. กว่าจะได้แต่ง 😷 แม่ทัพกะเป็น SME start up เรียบร้อยยยยย 😟

    ตอบลบ
  3. เรื่องเรื่อยๆเป็นธรรมชาติมาก รอต่อไปค่ะ

    ตอบลบ
  4. กลุ้มใจแทนนางเอกจัง

    ตอบลบ
  5. มาให้เค้าตอกหน้าถึงบ้านอีกแล้ว

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณคะ คนอื่นมาวุ่นวายตลอด เฮ่อ.....

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณค่ะ///จะมาหาเรื่องอะไรฟางโจวอยากรู้ไรท์มาต่อไวๆนะค่ะสงสัยค่ะประเทศจีนในสมัยนั้นไม่มีควายหรือค่ะถึงใช้วัวในการไถพรวนดิน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ประเทศจีน มีใช้ทั้งวัว และควายไถพรวนค่ะ แต่ที่นางเอกซื้อมาไว้ท่ี่บ้านระบุมาเลยว่า คือ วัวค่ะ

      ลบ
  8. มีดนั้นเหมือนมีดตัดหมากที่บ้านเราเลยแต่อันเล็กกว่า ไม่รู้ว่าแบบเดียวกันมั้ย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คล้ายกันค่ะ เพียงแต่ของจีนจะมีขนาดใหญ่ ตั้งเป็นแท่น อย่างเครื่องประหารหัวสุนัขก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง

      ลบ
  9. ปกติผู้หญิงโบราณพวกนี้เค้าไม่ได้เรียนหนังสือกันใช่ไหมคะ แบบเกิดมาเป็นแม่พันธุ์แล้วก็ตายไป ทำไมดูไม่ค่อยมีสมองกันเลย ความคิดแปลกประหลาดชอบกล
    😅😅

    ตอบลบ
  10. สมน้ำหน้า เสียดายละสิ
    ปล.อิจอยากมีผัวแบบนี้มั้ง พ่อแม่ผัวตายแล้ว5555

    ตอบลบ