วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 142 โดนแม่เฒ่าหยางหาเรื่อง 2

                      หัวเสี่ยวฮวาเริ่มเหนื่อยกับการใช้สายตาทิ่มแทงเหลียนฟางโจวแล้ว  จึงเอ่ยเสียงห้วน “เจ้าเป็นทารกหรือไร  ถึงไม่เข้าใจภาษาคนเนี่ย?  ข้าหาได้พูดกับเจ้า ไปยืนให้ไกลๆเลย!”
                   เหลียนเซ่อเจอนางพูดจาหัวเราะดูหมิ่นเช่นนี้   พลันอารมณ์ขึ้นจนตวาดเสียงดัง “นี่มันบ้านข้านะ   ข้าชอบใจอยู่ที่ไหน มันก็เรื่องของข้า!  เรื่องของบ้านข้า ข้าออกปากเจรจาเองได้!  เจ้าเป็นคนในครอบครัวข้าหรือไรเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า  ถามพ่อแม่ข้าหรือยัง   ถามพี่สาวข้าหรือยัง!”
                        ใบหน้าหัวเสี่ยวฮวาพลันขึ้นสีแดง  รู้สึกละอายจนต้องหันไปมองแม่สามี  ซ้ำยังไม่กล้าลองดีกับเหลียนเซ่อเป็นครั้งที่สอง

         เหลียนเซ่ออายุครบ 12 ปีแล้วเป็นหนุ่มน้อยที่ยังไม่โตเต็มที่  ซ้ำมีส่วนสูงเกินกว่าเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน  ประจวบกับครอบครัวประสบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  จึงมีวุฒิภาวะเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน  หัวเสี่ยวฮวาเพิ่งอายุเพียง 16 ปี  แถมยังเพิ่งออกเรือนมาไม่นาน  จึงไม่กล้ามีเรื่องทะเลาะกับเหลียนเซ่อ  หากนางเป็นฝ่ายแพ้ขึ้นมา  เกิดมีคนรู้เข้าคงไม่ดีนัก
              แม่เฒ่าหยางยังคงมีสีหน้าบึ้งตึง  พลางแค่นเสียงเย็น  “ปากเก่งกันทั้งบ้านเชียวนะ  หาดีไม่ได้สักคน!”
                        เหลียนฟางโจวจึงหัวเราะเอ่ยว่า  บ้านพวกเรา ปกติก็ไม่มีใครดีอยู่แล้ว  ไหนเลยจะกล้าเปรียบเทียบกับบ้านท่านได้เล่าคนบ้านท่านน่ะ แต่ละคนดีๆทั้งนั้น!   แล้วคนดีเช่นท่านวิ่งแล่นมาบ้านคนไม่ดีเช่นข้าเพื่อให้ช่วยอันใดหรือท่านไม่กลัวเชื้อเลวจากบ้านข้า  ไปติดคนดีๆบ้านท่านทั้งบ้านหรือไร! “
                        เหลียนฟางโจวเอ่ยเย้าแหย่ทุกคำพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน  ทำให้แม่เฒ่าหยางได้ฟังแล้วเกิดโทสะ   ขณะที่เหลียนเซ่ออดขำไม่ได้  จนหลุดหัวเราะพรืดออกมา
              ไม่รู้จะคิดได้หรือยังว่าที่ไปยั่วเหลียนฟางโจวให้ชวนทะเลาะด้วยนั้น  มันมิได้ผล   แม่เฒ่าหยางยกมือโบกขึ้น  พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ที่ดินตรงสามแยกนั่น  เป็นพื้นที่ของคนสกุลหยางอยู่  30 หมู่ !” 
                        เหลียนฟางโจวหรุบตาลงต่ำ  ร้องเสียง ‘อ้อ’ เบาๆ  เธอชักเดาได้รางๆแล้วว่า แม่เฒ่าหยาง แท้จริงแล้วมาเยือนถึงหน้าประตูบ้านด้วยเหตุอันใด
              แม่เฒ่าหยางเอ่ยเสียงเย็น  “หากรู้สักนิดว่าที่ดินผืนนั้นขายให้เจ้า  ต่อให้เจ้าเอาเงินทองมากองเท่าภูเขา  ข้าก็ไม่ขายให้!  เงิน 80 ตำลึงนี้  ข้านำมาคืนด้วย  ที่ดิน 30 หมู่นี้ข้าไม่ขายให้เจ้า!”
                        ที่ดินเหล่านั้นมีหลายเจ้าของและยังไม่มีแผนจะขาย  หลิวเจี่ยขอซื้อที่ดินด้วยราคาสูงมาก  เดิมทีที่ดินส่วนของสกุลหยางมีราคาเพียง 60 ตำลึงเท่านั้น  แต่หลิวเจี่ยบวกราคาเพิ่มให้อีก 20 ตำลึง
                   เหลียนฟางโจวอ่ยขึ้น “เรื่องซื้อขายที่นาที่ไร่นี้  ท่านไม่จำเป็นต้องมาเจรจากับข้าหรอก  ท่านเข้าเมืองไปหาน้าหลิวเจี่ยได้เลย!”
                        แม่เฒ่าหยางไหนเลยจะสามารถไปหาหลิวเจี่ยเองได้เล่าหลิวเจี่ยเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดิน  ย่อมจ่ายเงินซื้อที่ดิน  นั่นคืองานเขาล่ะ!  นางจึงไม่กล้าขัดแย้งกับหลิวเจี่ย!
                        ทว่าก็มิได้บอกว่านางไม่กล้าบังคับเหลียนฟางโจวให้มอบที่ดินคืนให้นาง!  เงิน 80 ตำลึง  เงินส่วนแบ่งที่นางไม่อยากได้  ต่อให้ที่ดินที่ราคาเพียง 60 ตำลึง  มีราคาค่างวดเพิ่มจากเงินที่เหลียนฟางโจวจ่ายเพิ่มให้นาง!
                        “ไยข้าต้องไปหาเขาเล่า?”  แม่เฒ่าหยางตะคอกเสียงดัง  “ข้ามาหาเจ้า!  ข้าก็ได้  ที่ดินผืนที่เจ้าซื้อคืนแล้ว!   แม่นางเหลียนเอ๋ย   นึกว่าทำบุญทำกุศล  โปรดคืนที่ดินให้พวกเราเถิด!  ครอบครัวเราทุกรุ่นต่างอาศัยที่ดินผืนนี้ไถหว่านเพาะปลูกเลี้ยงชีพกันมาแสนนาน!  คนร่ำรวยล้นเหลือเช่นเจ้า  มิควรดื้อรั้นอยากได้ที่ดินเพียงไม่กี่สิบหมู่นี้!”
         ดวงตาแม่เฒ่าหยางเหลือบมองไปรอบๆ  เห็นผู้คนที่เดินผ่านไปมาประปรายต่างเข้ามามุงดูฉากวุ่นวายกันอย่างครึกครื้น  นางจึงร้องโหยหวนเสียงลั่นทันที  ฉวยโอกาสคุกเข่าลง  “ข้ากราบล่ะ!  ยายแก่ไร้ความสามารถเช่นข้า  กราบขอร้องเจ้าแล้ว!  โปรดคืนที่ดินให้พวกเราด้วยเถิด!”
                        เหลียนฟางโจวสะดุ้งโหยง   รีบเดินหนีไปอยู่ข้างๆเหลียนเซ่อ
                        ชาวบ้านที่มามุงดูต่างพากันสะดุ้งตกใจเช่นเดียวกัน  แต่ละคนต่างถามกันให้วุ่น “เกิดอะไรขึ้น?”  มีบางคนสาวเท้าเข้าไปพยุงแม่เฒ่าหยางให้ยืนขึ้น
                        หัวเสี่ยวฮวารีบเล่าความเป็นมาให้ทุกคนที่นั้นฟังอีกครั้ง  “ที่ดินผืนนี้บรรพบุรุษของพวกเราสกุลหยางได้ใช้ไถหว่านเพาะปลูกเลี้ยงชีพกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว  ไม่ว่าอย่างไร กล่าวได้ว่ามันคือผืนดินที่บรรพบุรุษเราได้บุกเบิกมากับมือ!  พอพ่อแม่สามีข้ารู้ว่าจะถูกขาย  ย่อมต้องคัดค้าน!   เรื่องทั้งหมดสามีข้า...ไม่รู้ว่าว่าโดนใครทำเสน่ห์ใส่...ถึงได้ยอมขายให้....แม่นางเหลียน   ท่านเองก็ซื้อที่ดินไปกว่าพันหมู่แล้ว  ยังไม่ละเว้นที่ดินพวกเราอีกหรือ!  นึกว่าทำบุญทำกุศลให้กับ  พ่อแม่สามีข้าที่ตัดใจขายที่ดินผืนนี้ไม่ได้จริงๆ!  ข้าขอร้องท่าน!”
                        หัวเสี่ยวฮวาร่ำไห้เอ่ยอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
                   แม่เฒ่าหยางก็เอาแต่ตีหน้าขาตนเองร่ำไห้คร่ำครวญไปมา   ซ้ำยังคุกเข่าร้องวิงวอนเสียงโหยหวนต่อหน้าเหลียนฟางโจว
                        “บ้านสกุลเหลียนซื้อที่ดินล่ะ!”
              “ที่ดินตรงลานหินโน่น ได้ข่าวว่ามีเนื้อที่กว่าพันหมู่เลยนะ   ซ้ำยังซื้อที่ดินกว่าพันหมู่ผืนที่ว่านี้อีก....มีเงินมากมายเท่าไรกันเนี่ย!”
                        “นางได้ดิบได้ดีมีญาติเป็นเศรษฐีจริงๆด้วย!”
                        “โห  ท่าทางจะจริงแน่แท้!  นี่แหละชีวิต   อย่าไปอิจฉาเขาเลย!”
              “ไฉนข้าได้ยินมาว่าที่ดินลานหินนั่นเป็นของญาตินางล่ะ  มิใช่ของพวกสกุลเหลียนเสียหน่อย!”
                        “อ้าว..แล้วที่พูดกันตรงนี้เล่า?
              บรรดาชาวบ้านทอดถอนใจด้วยความเวทนา อดถกเถียงกันไม่ได้   แม่เฒ่าหยางกับหัวเสี่ยวฮวาที่ร่ำไห้คร่ำครวญเสียงลั่น  ต่างหันมาสบตากัน  ทั้งสองต่างงุนงงขึ้นมานิดหนึ่ง  ชาวบ้านพวกนี้ไฉนถึงแสดงออกต่างไปจากที่พวกนางคาดการณ์เอาไว้เล่า!  ไปคนละเรื่องแล้ว  ไปคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง!
                        “แม่นางเหลียน  ข้าไม่รู้ว่าท่านกับลูกชายข้าได้พูดจาอะไรกันไว้!  ข้าขอร้องท่านโปรดคืนที่ดินให้เราด้วยเถอะ!  ที่ดินผืนนั้น ต่อให้ยากจนค่นแค้นเพียงไร  ก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษเราได้สร้างมากับมือ!    ยายแก่เช่นข้า  หากตายลงก็ไม่ผิดต่อบรรพบุรุษแล้ว! “ สิ้นคำแม่เฒ่าหยางก็เปล่งเสียงคร่ำครวญดังกว่าเดิม
                   ทุกคนต่างตะลึงงัน  ความสนใจทั้งมวลเปลี่ยนไปที่นางทันที
                   ได้ยินนางร่ำไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา  คำพูดที่พรั่งพรูออกมาก็ดูมีเหตุผลน่าสะเทือนใจ  แต่ละคนอดรนทนไม่ได้  ต่างพากันกล่อมเหลียนฟางโจวให้ปล่อยที่ดินผืนนั้นคืนเจ้าของไป!
                   ประการหนึ่งคือที่ดินผืนนั้นเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษผู้อื่นสร้างไว้  ประการที่สองผู้อื่นที่มาอ้อนวอนนางถึงบ้านเลือดตาแทบกระเด็นก็อายุปูนนี้แล้ว  ประการที่สามหญิงสาวซื้อที่ดินไปกว่าพันหมู่แล้วคงไม่เสียดายกะอีแค่ที่ดินไม่กี่สิบหมู่นี้
                   ใจเหลียนฟางโจวราบเรียบประดุจกระจกเช่นเดิม   อะไรนะ บรรพบุรุษสร้างมารึ ช่างเหลวไหลสิ้นดี!   ไม่เช่นนั้น ยามที่หลิวเจี่ยเจรจาต่อรองขอซื้อพวกเขาก็ไม่ควรตกลงตั้งแต่ตอนนั้นแล้วสิ!   แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าที่ดินผืนนี้หยางหวายชานแอบมาขายให้เธอลับๆอีก   นั่นมันยิ่งกว่าพูดจาเหลวไหลนัก!
                        เห็นชัดๆว่าแม่เฒ่าหยางต้องการมัดมือชกให้เธอตอบตกลงเท่านั้น
         เหลียนฟางโจวจิกมือตัวเองแน่น  แล้วร้องไห้โฮออกมา  เอ่ยคร่ำครวญกับแม่เฒ่าหยาง “ท่านป้า  ท่านพูดอะไรออกมา!   ข้าไปพบบุตรชายท่านตั้งแต่เมื่อใดให้ใครไปรบกวนบุตรชายท่านเมื่อใด?  ครั้งที่แล้วสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองของท่าน  วิ่งมาหาเรื่องอย่างไร้เหตุผลถึงหน้าประตูบ้านข้า  ข้าก็ได้พูดไปชัดเจนแล้ว  พวกเราสกุลเหลียนจะไม่สร้างสัมพันธ์กับสกุลหยางของท่านเด็ดขาด!  ท่านสาดโคลนใส่ข้าเช่นนี้   นี่มันเรื่องอันใดกัน!  เพื่อจะใส่ร้ายป้ายสีข้ารึ  ท่านก็อายุมากแล้ว  แต่กลับลดค่าตัวเองลง  แถมยังลากบุตรชายท่านลงมาลุยโคลนด้วย!  ท่านมาพูดพลิกลิ้นเช่นนี้   ถ้อยคำพวกนี้   ใครเขานำมาพูดกัน!  หากไม่ทำให้กระจ่าง  ภายหน้าข้าจะยังประพฤติตัวถูกทำนองคลองธรรมได้อย่างไร!”
                        แม่เฒ่าหยางแค่นเสียงเอ่ย  “เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์นัก  ไฉนข้าถึงรู้!  หากไม่ใช่เพราะเจ้า  บุตรชายข้าจะเอาที่ดินให้เจ้าได้อย่างไร !”
                        เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยโทสะ  “วันๆข้าก็ง่วนอยู่กับงานที่ลานหินมิได้หยุดได้หย่อน  ข้าหาได้ซื้อที่ดินผ่านบุตรชายท่าน  บุตรชายท่านไปทำอาชีพตี้เป่า (เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น เช่น กำนัน เป็นต้น) ตั้งแต่เมื่อใด?
              “หยุดพูดจาเลื่อนเปื้อนเดี๋ยวนี้นะ!”  แม่เฒ่าหยางชักหวาดวิตก
              ตี้เป่าของท้องที่นี้มีหลิวเจี่ยเพียงคนเดียว  มาพูดว่าบุตรชายนางเป็นตี้เป่า  แล้วจะเอาหลิวเจี่ยไปไว้ที่ไหนกันเล่า?
                        “ท่านรู้ว่า  นี่คือการพูดจาเลื่อนเปื้อนตั้งแต่แรก หึ!” เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเย็น “เนื่องจากเป็นการพูดจาเลื่อนเปื้อน  แล้วไยถึงได้กล้าสาดโคลนใส่ข้าเล่า ต่อหน้าลูกสะใภ้ท่าน  วันนี้ท่านไม่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่ข้า  ข้าไม่ยอมเลิกราแน่!”

                        หัวเสี่ยวฮวาได้ยินแม่สามีตนเองพูดว่าเหลียนฟางโจวพัวพันกับสามีตนต่อหน้าต่อตา  พาให้นางกระอักกระอ่วนใจนัก  พอได้ยินเหลียนฟางโจวออกปากมาเช่นนี้   จึงอดเอ่ยอย่างเดือดดาลไม่ได้  “เป็นเจ้าที่ประพฤติตนเสื่อมเสียก่อน   อย่าได้ไปตำหนิคนที่พูดว่าเจ้าเลย!”
      ------------------------------------------------------------------
     ขอบคุณทุกคอมเมนต์และทุกการติดตามค่ะ
     เฟซบุคไม่ค่อยแจ้งเตือน ผู้ที่ follow อีกแล้ว  อย่างไรก็กดเข้ามาเช็คดูแล้วกันนะคะ ^-^





14 ความคิดเห็น:

  1. ที่นางเอกเจอแต่คนนิสัยดีๆทั้งน้านนนนนน

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  3. สงสารนางเอกจริงๆ..เฮ่อ

    ตอบลบ
  4. ทำไมดูว่างกันจังเลย หาเรื่องให้นางเอกไม่ได้หยุดได้หย่อน

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณค่ะ เอาใจช่วยนางเอกค่ะ สู้ ๆ

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณค่ะ//เหนื่อยใจแทนฟางโจวจะทำมาหากินก็มีแต่เรื่อง

    ตอบลบ
  7. พวกนี้น่าเบื่อจริงๆ อยากอ่านต่อแล้วนะคะ

    ตอบลบ
  8. คือชิงรางวัลออสการ์ได้ทั้งสองคนเลย ทั้งแม่เฒ่าและฟางโจว เล่นใหญ่ทั้งคู่5555

    ตอบลบ
  9. โอ้ยยย อยากพุ่งไปไฟท์กะ 2นางนี้มากกก

    ตอบลบ
  10. ปัญหามาไม่ว่างเว้น รอตอนต่อไปค่ะ

    ตอบลบ
  11. เรื่องนี้ ตัวมารมันเยอะจริงปวดหัวแทนนางเอกจริงๆ กว่าจะรวยมารมันเยอะแท้

    ตอบลบ
  12. ขอบคุณคะ สนุกมาก ชอบนางเอกคะ ฉลาดดีคะ สามารถโต้กลับ พวกเลวๆที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมมาได้สะใจๆ

    ตอบลบ
  13. อิจฉาตาร้อนคนอื่นก้พาลมาหาเรื่อง

    ตอบลบ
  14. รอบตัวนางเอกนี้มีแต่ตัวโกงงี่เง่า

    ตอบลบ