วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 163 โคลนที่ก้นบ่อปลา


                      เหลียนฟางโจวสอบถามหยางก่วนสือคร่าวๆ  ในที่สุดจึงรู้ว่า  บ่อปลา 2 บ่อนี้ทุกๆปีจะถูกปล่อยทิ้งให้แห้ง  พอใกล้ๆเดือนสี่ของปีถัดไป  จึงจะทำการผันน้ำเข้าบ่อ  หมุนเวียนเป็นวงจรเช่นนี้ไปทุกๆปี
                        ไม่รู้ว่าเจ้าที่ดินหยางไปได้ยินมาจากไหน   ที่ว่าการทำเช่นนี้   เป็นการปล่อยให้ก้นบ่อได้ตากแดดฆ่าสิ่งสกปรก  จะทำให้ปลาที่เลี้ยงเจริญเติบโตดีขึ้น!

                        เหลียนฟางโจวได้ฟังที่หยางก่วนสือกล่าว   ครั้นแล้วจึงพยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นับว่าถูกต้องแล้ว!  ข้าขอบังอาจแนะนำท่านอย่างหนึ่ง   ตอนที่คอยให้บ่อปลาแห้ง  แล้วรอผันน้ำเข้าบ่อในปีหน้า  ในระหว่างนั้นให้โรยปูนขาวทั้งสี่มุมของบ่อ  มุมละ 1 กระสอบ  จะสามารถฆ่าสิ่งสกปรกได้ดียิ่งขึ้น!   ตอนให้แสงแดดในฤดูร้อนแผดเผาในช่วงสุดท้าย   ให้ขึ้นเขาไปตัดกิ่งสน  ริดใบที่ดกหนาออก  แล้วเอาไปโรยตรงกลางบ่อ  จะดีมากเลยทีเดียว!”
                        “หืม?  มีวิธีแบบนี้ด้วยหรือ?   หยางก่วนสือมองหน้าเหลียนฟางโจวด้วยความแปลกใจ  พลางแย้มยิ่มเอ่ยขึ้น “แม่นางเหลียนรู้เรื่องการเลี้ยงปลากับเขาด้วยหรือ?
                        “ข้ามิบังอาจบอกว่าตนเองเป็นผู้รู้หรอก”  เหลียนฟางโจวเอ่ยแย้มยิ้ม “ข้าแค่พอรู้งูๆปลาๆเท่านั้น!”
                        หยางก่วนเสียงหัวเราะหึหึ แล้วมิได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อ  กับเหลียนฟางโจวเขาเพียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  เขาจึงหันกลับไปมองหญิงสาวอย่างสำรวจตรวจตราอีกครั้ง   หากเป็นจริงอย่างที่นางว่า  แล้วเขาเอากลับไปเล่าให้ประมุขของตระกูลฟัง  ดีไม่ดีเขาอาจได้รับความดีความชอบบ้าง
                        “แม่นางเหลียนต้องการโคลนในบ่อ  เช่นนั้นก็เชิญเถิด!  ถึงอย่างไรโคลนในบ่อปลาก็มีมากมายไม่อั้น!  ท่านอยากเอาไปเท่าไรก็ได้  ไม่มีปัญหา  หึหึ  อันที่จริงข้าต้องขอบคุณแม่นางเหลียนด้วยซ้ำ  บ่อปลาบ้านข้าถูกขุดลอกออกไปบ้าง!  นับว่าเป็นเรื่องดี!” หยางก่วนสือเอ่ยแย้มยิ้ม
                        “เช่นนั้น ก็ขอบคุณยิ่งนัก!”  เหลียนฟางโจวประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้ม
    เพียงตัวเธอ เหลียนเซ่อ  และอาเจี่ยนรวมสามชีวิต  เห็นได้ชัดว่าคงไม่สามารถทำกันเองได้
              ที่ดิน 1 หมู่ต้องใช้โคลน 6 เข่ง  ที่ดิน 150 หมู่   ก็ต้องใช้โคลน 900 เข่ง  เหลียนฟางโจววางแผนจะขุดเอาไปสัก 1,000 เข่งพอ
                        เธอจึงจัดแจงหารือกับหยางก่วนสือเพิ่มเติม  ขอให้หยางก่วนสือช่วยสอบถามชาวนาที่เช่าที่ดินสกุลหยาง  ว่ามีผู้ใดอยากมาช่วยงานนี้บ้างไหม?
                        แน่นอนว่า  ไม่ได้ช่วยเปล่าๆปลี้ๆ  หากมาช่วยตักโคลน  เธอจะให้ค่าตอบแทนเข่งละ 2 อีแปะ  โดยจ่ายเงินสด ณ วันนั้นเลย  เธออยากได้คนช่วยสัก 10 คน
                        ดวงตาของหยางก่วนสือเรืองวาบ  เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “แม่นางเหลียนใจปล้ำจริงๆ  เอาเถิด  ข้าจะไปถามให้เอง!”
                        หยางก่วนสือก็พาคนมาให้ 10 คนในเวลาอันรวดเร็ว แล้วหันไปเอ่ยแย้มยิ้มกับเหลียนฟางโจว “คน 10 คนมินับว่ามากมายอะไรนัก  แม่นางเหลียนดูแล้ว จะเตรียมการอย่างไรต่อขอจงว่ามา!”
                        เหลียนฟางโจวจึงอธิบายสิ่งที่ต้องการกับคนทั้งสิบ  โดยให้เอาเข่งไม้ไผ่ที่เอาไว้ใส่โคลน  ไปวางไว้ที่ริมบ่อก่อน  ซ้ำหญิงสาวยังขอโต๊ะไม้หยาบๆ พร้อมทั้งกระดาษและพู่กันจากหยางก่วนสือ  ไว้บันทึกจำนวนเข่งที่นับได้ 
                        พอผู้มาใหม่แต่ละคนได้ยินว่าจะได้รับเงิน 2 อีแปะต่อโคลน 1 เข่ง   ก็คิดว่าเป็นข้อเสนอที่คุ้มไม่เบา  หลังจากฟังความต้องการของหญิงสาวจนกระจ่างแล้ว  แต่ละคนก็รับคำทันที  พากันแบกเข่ง ถือพลั่ว  ถลกแขนเสื้อ เดินลงไปในบ่อ
                        เข่งใบที่ตักโคลนเต็มแล้ว  เหลียนฟางโจวยังไม่ให้ขนออกไป  ให้วางใว้ริมบ่อก่อน  ฝ่ายเหลียนเซ่อกับอาเจี่ยนได้แบกเข่งทยอยขนขึ้นไปวางบนรถเกวียน   บนรถเกวียนสามารถวางเข่งเรียงกันได้เต็มที่ 8 เข่ง  เหลียนเซ่อกับอาเจี่ยนจึงรีบขับรถเกวียนเทียมลาขนเข่งใส่โคลนไปส่งยังที่ดินของพวกตน  แล้วเทโคลนในเข่งไปกองสุมไว้ที่หนึ่ง
                        โคลนบ่อปลาที่ขนไปเทกองรวมกันบนที่ดินนั้น  ยังไม่อาจนำไปใช้ได้ทันที   ต้องรอตากแดดให้แห้งสักหลายวันก่่่อน  ถึงจะเอาไปใช้ได้
                        งานตักโคลนใส่เข่งและขนไปยังที่ดิน  ดำเนินต่อไปเป็นวันที่สอง   โคลน 1,000 เข่งก็ถูกขนไปกองจนครบถ้วนในที่สุด
                        เหลียนฟางโจวได้เรียกให้คนงานเกลี่ยโคลนที่กองอยู่แผ่ออกเป็นชั้นบางๆ    ทำเช่นนี้จะทำให้ตากแดดแห้งเร็วยิ่งขึ้น
                        การจัดการเรื่องโคลนในบ่อปลาได้ผลเป็นที่น่าพอใจ  จากนั้น  ก็มาถึงเรื่องขี้เถ้า
                        ก่อนอื่นเธอพาคนงาน 30 คนไปตัดหญ้า  หญ้าที่ใช้เผา  ยิ่งมีหลายชนิดยิ่งดีเท่านั้น
                        หากมีหญ้าหลากหลายชนิดผสมกัน  จะทำให้ได้รับธาตุอาหารทุกประเภทครบถ้วน
                        ที่หมู่บ้านต้าฝาง  มีเนินเล็กๆหลายแห่ง ซึ่งแยกตัวออกมาจากที่ราบสูงและเนินเขา  เหลียนฟางโจวพาคนงานไปแถวเนินเล็กๆพวกนั้นเพื่อตัดหญ้า
                        โดยทั่วไปแล้ว  หญ้าบนเนินเล็กๆเหล่านี้มีหลากหลายชนิดกว่าเมื่อเทียบกับที่ขึ้นในแถบที่ราบสูง
                        คนงาน 30 คนพากันกวัดแกว่งมีดรูปเคียวในมือ  ลงแรงไปเพียงครึ่งวัน  ก็ตัดหญ้าได้เป็นกองพะเนิน  มองดูคล้ายเนินเขาขนาดย่อมๆ
                        หญ้าพวกนี้จะต้องนำมาตากให้แห้งก่อนสักสองวัน  จากนั้นจึงค่อยเอามาผสมกับโคลนบ่อปลา  แล้วนำมาคลุกเคล้ากับขี้เถ้าให้เป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง
                        หลายวันมานี้  เหลียนฟางโจวกับเหลียนเซ่อ รวมทั้งอาเจี่ยน  ทั้งสามชีวิตต่างวุ่นวายกับงานต่างๆจนมือเป็นระวิง  รวมทั้งต้องเดินเท้าไปดูคนงานอีกที่หนึ่งด้้้วย  ซึ่งก็คือที่ปากทางเข้าหมู่บ้านเป็นประจำทุกวันด้วย   เพื่อตรวจตราความเรียบร้อย  จนกระทั่งได้เผาหญ้าและวัชพืชที่ไปตัดกลับมาจนกลายเป็นขี้เถ้าเสร็จสิ้นแล้ว   พวกเขาถึงมีเวลาพักเหนื่อยสองวันในท้ายสุด
                        วันนี้เพิ่งกลับออกมาจากหน้างาน   คนทั้งสามจึงพากันเดินทอดน่องสบายๆไม่รีบร้อนนัก   จู่ๆเหลียนฟางโจวก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อดังขึ้นทางเบื้องหลัง  “แม่นางเหลียน!  แม่นางเหลียน!  นั่นแม่นางเหลียนใช่หรือไม่!”  น้ำเสียงนั้นเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ
                        พอได้ยินเสียงเรียกนี้   จู่ๆในใจเหลียนฟางโจวพลันบังเกิดโทสะพุ่งพล่านขึ้นมา  ดวงตาหญิงสาวเปล่งประกายวาววับ  ใบหน้าขรึมลง
                        ชุยเฉ่าซี  เจ้าหมอนั่นนี่!
              เสียงล้อรถบดถนน   ใกล้มาถึงตัวคนที่หันหลังให้อยู่แล้ว
                        “พี่ใหญ่   ดูเหมือนจะเป็นท่านชายชุยนะ!”  เหลียนเซ่อหันไปมองเต็มสองตา พลางเอ่ยขึ้น
                        “ไม่ใช่แค่ดูเหมือนหรอก   ย่อมเป็นเขามิผิดเพี้ยน”  อาเจี่ยนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
                        “เฮอะ” เหลียนฟางโจวแค่นเสียง  เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง  “ไม่ต้องไปสนใจ!  พวกเราเดินต่อไป !”
                        เหลียนเซ่อมิเคยนึกชอบชุยเฉ่าซี  แต่ก็ไม่ถึงกับรู้สึกเป็นปฏิปักษ์  ทว่าในเมื่อพี่ใหญ่เอ่ยมาแบบนี้แล้ว  เขาย่อมเชื่อฟังพี่สาว   จึงเปล่งเสียงในลำคอ “อื้ม”  แล้วเดินตามหลังเหลียนฟางโจวไป  ส่วนอาเจี่ยนยิ่งไม่ขัดข้องอันใดอยู่แล้ว
                        วันนี้ชุยเฉ่าซีนั่งรถม้ามา  ยามเข้าเขตหมู่บ้านต้าฝาง  จึงเลิกม่านหน้าต่าง  มองออกไปนอกตัวรถ  ช่างโชคดีนัก เขาพลันเห็นเหลียนฟางโจวกับพวกทั้งสามในที่สุด   ชายหนุ่มบังเกิดความยินดีปรีดาขึ้นในใจ  รีบโบกมือ ร้องทักออกไป
                        คราแรกเขาคิดว่าพวกเหลียนฟางโจว  เมื่อได้ยินเสียงเรียก  คงจะหยุดเดิน แล้วหันกลับมาทักทายตอบเป็นแน่
                        ใครจะไปรู้เล่าว่า  เว้นแต่เหลียนเซ่อที่หันกลับมามองเขาเฉยๆเพียงแว่บเดียวแล้ว  เหลียนฟางโจวกับอาเจี่ยนไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอันใดเลย   พวกเขายังคงเดินต่อไปไม่เหลียวหลัง
         รอยยิ้มบนใบหน้าของชุยเฉ่าซีพลันแข็งค้าง  มือไม้ที่ยกขึ้นโบกนั้นพลันอ่อนแรง  ทิ้งตัวลงช้าๆ    ชายหนุ่มได้แต่บอกให้คนขับรถเร่งความเร็วขึ้น
                        “น่าไม่อายเลยจริงๆ !  ไม่นึกถึงใจคนอื่นบ้างเลย!”  ชุยอวี้เห็นแล้วรู้สึกขุ่นเคือง  อดเหน็บเบาๆไม่ได้
                        “หุบปากเจ้าซะ!”  ชุยเฉ่าซีปรายตามองอย่างไม่ชอบใจ   นิ่งคิดสักครู่  แล้วเอ่ยถามชุยอวี้ “ข้าไปทำให้นางโกรธเคืองตอนไหนเหรอ?”
                        ชุยอวี้อ้าปากค้าง  อย่างไม่อยากจะเชื่อ!
                        ตั้งแต่เมื่อใดกัน  ที่นายท่านต้องมาช้ำใจเพราะโดนผู้หญิงเมินใส่เช่นนี้?  ช่างน่าเวทนานัก!  เฮ้อ!
                        “ไม่มี!  ไม่มีแน่นอน!  คงเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ยินเป็นแน่!”  ชุยอวี้ยืนยันหนักแน่น
                        ถ้อยคำนี้นอกจากตัวเขาเองแล้ว  คงไม่มีผู้ใดเชื่อกันหรอก
                        รถม้าวิ่งตามมาทันพวกเหลียนฟางโจวในเวลาอันรวดเร็ว
                        ชุยเฉ่าซีสั่งให้หยุดรถ  พลางส่งเสียงเรียก “แม่นางเหลียน!”  แล้วกระโดดลงจากรถ
                        เหลียนฟางโจวเห็นเขามาทางนี้แล้ว   คงไม่ดีแน่  หากยังขืนเดินต่อไป  หญิงสาวจึงหยุดเท้า  แล้วหันมาค้อมศีรษะให้เขาเป็นการตอบรับในที่สุด  “นี่มิใช่ท่านชายชุยหรอกหรือ?  เป็นเกียรติยิ่งนัก  มิรู้ว่ามีธุระสำคัญอันใด  จึงมาถึงที่นี่ได้?
                        แม่นาง...แม่นางเหลียน!  ใจของชุยเฉ่าพลันหนักอึ้ง  ใบหน้าชะงักไปนิด  ในใจแอบเศร้าซึม
                        น้ำเสียงของเหลียนฟางโจวนั้นทั้งอ่อนน้อมและห่างเหิน  แม้ใบหน้าจะปรากฏรอยยิ้มบางๆ  ทว่าเป็นเพียงรอยยิ้มตามมรรยาทเท่านั้น  มิได้ออกมาจากใจสักเสี้ยวเลย
                        รอยยิ้มนั่น  เห็นได้ชัดว่ากระทำอย่างขอไปที
                        ชุยเฉ่าซีนิ่งคิด   หากนางยิ้มให้เขาเช่นนี้   ก็อย่ายิ้มให้เขาเสียดีกว่า!  นางพูดกับเขาเช่นนี้   ก็อย่าพูดกับเขาเสียดีกว่า!
                        ชุยเฉ่าซียืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น  โดยไร้คำพูดใดๆ
                        แม้เหลียนฟางโจวจะรู้แล้วว่า เรื่องคราวนั้น แท้จริงแล้วไม่ควรเอามาลงกับชุยเฉ่าซี  ทั้งหมดทั้งมวล   ก็เพราะว่า  เขามิได้รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างครอบครัวเธอกับพวกลุงและป้าใหญ่เลย   มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดอันยากจะหลีกเลี่ยง
                        ทว่า  อย่าบอกนะว่า..เขาเองยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติในเรื่องนี้เลยสักนิด?
                        เธอเชื่อว่าที่ลุงใหญ่สาบถสาบานว่า คุณชายซูออกปากกับเขาว่า  จะมอบหมายเรื่องการปลูกฝ้ายให้เขาเป็นผู้ดูแล  เรื่องนี้เห็นเพียงจะมิใช่การกล่าวอ้างลอยๆ  ชัดเจนว่าชุยเฉ่าซีต้องพูดอะไรบางอย่างกับลุงของเธอเป็นแน่ !
    -----------------------------------------------------
 ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และการติดตามค่ะ ^_^

5 ความคิดเห็น:

  1. อืมม ได้เวลามาให้สะสางเรื่องเก่าเลยนายชุยเฉ่าซี

    ตอบลบ
  2. จัดการให้ชุยเฉ่าซี ฉลาดขึ้นสักทีเถอะ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณมากต่ะ

    ตอบลบ
  4. สนุกมากค่ะขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ