วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 168 เผชิญหน้า 2


            เหลียนเซ่อเห็นแล้วให้รู้สึกยินดีปรีดานัก  จึงหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว “ท่านชายชุย  บางทีท่านคงคิดมากไปแล้ว   ไยลุงข้าถึงสามารถไปเมืองช่วงหลิวได้เล่า?  เขามิได้เป็นญาติกับสกุลซูเสียหน่อย!   หากไปขึ้นมา  เกรงว่าคงพูดอันใดออกมามิได้!” 
            ชุยเฉ่าซีหัวเราะหึหึ  “เช่นนี้เขาเรียกว่ากางร่มผ้าไหมล่วงหน้า  ทั้งที่ยังมิเห็นฝน[*1]  ระวังตัวไว้ก่อนนั่นแหละดี  จะได้ไม่เกิดสิ่งใดผิดพลาด!  หากเรื่องนี้เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา  นายท่านก็เท่ากับทำผิดซ้ำสอง  นั่นนับเป็นหายนะแท้ๆเลยเชียว!  โอ..ใช่แล้ว  ให้ข้าเรียกเจ้าว่าอาเซ่อได้หรือไม่?  ต่อไปห้ามเจ้าเรียกข้าว่าท่านชายชุย  ท่านชายชุยอีกแล้ว  เพราะฟังแล้ว  มันดูห่างเหินพิกล   เจ้าเรียกข้าว่าเปี่ยวเกอ[*2]นะ!”

 “ได้สิ เปี่ยวเกอ!” เหลียนเซ่อเรียกนามใหม่ด้วยรอยยิ้ม
ชุยเฉ่าซีหัวเราะเบาๆ    พลางตอบรับอย่างตื่นเต้นดีใจเหลือจะกล่าว
เหลียนลี่ได้ยินที่พูดกันแล้วให้บังเกิดโทสะ  ทั้งชิงชังปนริษยา  แอบเอ่ยในใจว่า เจ้าเด็กสองคนนี้  ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ   มาเรียกขานผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
            ทันใดนั้นเหลียนลี่พลันนึกได้ว่า เมื่อครู่ก่อนพอเขาเอ่ยข้อเสนอนั้นจบไปนั้น   เขาแอบเห็นว่าชุยเฉ่าซีส่งสายตาให้เหลียนฟางโจว   เห็นแบบนั้นแล้วเหลียนลี่จึงไม่กล้าต่อต้านดึงดัน    เหลียนฟางโจวจะต้องพูดอะไรกับท่านชายชุยก่อนที่เขาจะมาถึงเป็นแน่  จึงทำให้เรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้!
            แถมโชคร้ายเพิ่มมาอีก  นิสัยของท่านชายชุยผู้นี้ก็ดันประหลาดนัก    พอชายหนุ่มได้ฟังนังเด็กน่าตายนั่นมันยุแยงให้แตกแยกแล้ว   ก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อธิบายแก้ต่างให้ตนเองเลย.....
เหลียนลี่กลุ้มใจนัก   ยังหาทางแก้ลำอันใดมิได้เลย
มิหนำซ้ำยังต้องมาประสบกับโทสะของชุยเฉ่าซีเช่นนี้   ทั้งหมดนี้คงเพราะคราวเคราะห์ของเขาแท้ๆ
เหลียนฟางโจวส่งสายตาเย็นชา  พลางแค่นเสียงในใจ  ลงท้ายยามนี้   ลุงเธอก็ยังเอาแต่คิดวนเวียนกลับไปกลับมาไม่เลิก  ยังไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้  ก็เพราะแผนการชั่วร้ายของตัวเองอีกรึ!
 “ลุงใหญ่  ข้าว่าท่านกลับไปก่อนจะดีกว่านะ!   ท่านคงจะยังมีธุระคั่งค้างอยู่มาก  ข้าเห็นจะไม่รั้งท่านไว้แล้วล่ะ!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
เหลียนลี่สูดหายใจเข้าลึกๆ   สถานการณ์ยามนี้ล้วนเป็นใจให้เหลียนฟางโจว  เขารู้ดีว่า ต่อให้ยังดันทุรังอยู่ที่นี่ต่อ  คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด  มิสู้กลับไปค่อยๆคิดค่อยๆหาทางใหม่ยังน่าจะมีโอกาสมากกว่า
ครั้นแล้วเหลียนลี่จึงยืนขึ้น  พลางประสานมือคำนับให้ชุยเฉ่าซีพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านชายชุย  ในเมื่อเป็นเช่นนี้  ข้าน้อยก็ไม่รบกวนแล้ว!   ข้าน้อยขอตัวก่อน   เชิญท่านชายชุยตามสบายขอรับ!”
 “โอ  เชิญเถิด!”  ชุยเฉ่าซีสบตาเขาอย่างสุภาพและมีมรรยาทขึ้นมาทันที  และไม่สนใจกดดันเขาอีกต่อไปด้วย 
เหลียนลี่ได้ยินน้ำเสียงชุยเฉ่าซีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด   เขาอดตาลุกวาวขึ้นมาไม่ได้    จึงชักมีความเชื่อมั่นขึ้นมาทันใด   ดูเหมือนว่าเขายังไม่สิ้นไร้หนทางไปเสียทีเดียว  บุรุษอย่างท่านชายชุยนี้    คงเป็นพวกอารมณ์แปรปรวน   ถ้าเพียงแต่เขาจะเลือกนำข้อเสนอมาหารือยามที่ชายผู้นี้มีอารมณ์ดีอีกครั้ง....
 “เชิญ!  เชิญท่านตามสบายเถิด!”  เหลียนลี่เดินจากไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
พอส่งตัวปัญหาที่หนึ่งจากไปแล้ว  เหลียนฟางโจวจึงนวดขมับและหันกลับมาทอดมองตัวปัญหาที่สอง
 “ท่านชายชุย...”
 “เรียกข้าว่าเปี่ยวเกอเถิด  อย่าได้เห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้เลย!”  ชุยเฉ่าซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
เหลียนฟางโจวแอบกรอกตามองบน    วันนี้เขาจะเอาแต่พูดประโยคนี้จนติดปากเลยหรือไร!
            แต่ว่า....
 “ข้าไม่เรียกเปี่ยวเกอ!”  เหลียนฟางโจวเสหันมองไปทางอื่น  ที่เป็นเช่นนี้เพราะเธอรู้สึกว่าคำนี้มันเอ่ยได้ค่อนข้างลำบากปากนั่นเอง
หญิงสาวรู้สึกกระอักกระอ่วนใจนัก  ต่อให้ฆ่าเธอให้ตาย เธอก็พูดออกมาไม่ได้อยู่ดี!
ชุยเฉ่าซีกำลังจะเผยอริมฝีปากบางเพื่อโต้กลับ  พลันนึกได้ว่าหญิงสาวคล้ายว่าไม่ได้เรียก      อาเจี่ยนว่าเปี่ยวเกอเช่นกัน    เพียงแค่เรียกว่า อาเจี่ยน    เมื่อเป็นเช่นนี้  กล่าวได้ว่าเขาหาได้เสียเปรียบอันใดไม่  ชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยแย้มยิ้ม  “ก็ได้ ก็ได้!  ไม่เรียกก็ไม่เรียก!  เช่นนั้นก็ห้ามเรียกข้าว่าท่านชายชุยด้วย  เอาล่ะ  เจ้าก็เท่ากับเป็นญาติข้างพี่สะใภ้ข้า   เช่นนั้นก็เรียกข้าว่าหมิ่นจือก็แล้วกัน!”
เหลียนฟางโจวใคร่ครวญดูสักครู่   แล้วจึงลอบถอนใจ  ช่างเถอะ!   เรียกหมิ่นจือยังดูคล่องปากกว่า!   บุรุษผู้นี้ช่างถือทิฐิเสียจริง   เอาเข้าจริงแล้วอย่าไปมีปัญหาจุกจิกกับเขาจะดีกว่า
 “หมิ่นจือ”  เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยามนี้  ยังไม่เย็นมากนัก  ยังมีเวลาอีกสักชั่วยามก่อนฟ้าจะมืด  ท่านรีบกลับไปจะดีกว่านะ!”
ชุยเฉ่าซีไม่ตอบรับหญิงสาว  เพียงเอ่ยแย้มยิ้ม  “ฟางโจว  ลองทายดูสิว่าข้าเอาอะไรดีๆมาฝากเจ้ากัน?"
เหลียนฟางโจวระวังตัวขึ้นมาทันที  พลางส่ายหน้า  ยามเปิดปากเอ่ย  จึงจงใจใช้น้ำเสียงห่างเหินขึ้นมาอีกครา  “คราก่อนสามีของเปี่ยวเจี่ย[*3]ก็ให้ยืมเงินมาตั้งมากมายแล้ว  ข้ายังไม่ได้จ่ายคืนเลย!  พวกข้าไม่ขาดเหลืออันใดหรอก!  ขอขอบคุณในความปรารถนาดีของท่าน  ต้องขออภัยที่ไม่อาจรับได้จริงๆ!”
“เจ้าเข้าใจความคิดข้าผิดแล้ว!”  ชุยเฉ่าซีรีบเอ่ย “ข้าหาได้มีเจตนาอื่นใดไม่!  เจ้ารอดูก่อนเถิด  แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง!”
ชุยเฉ่าซีหันไปสั่งชุยอี้ “ไปเรียกสองคนนั่นเข้ามาสิ!”
ชุยอี้รับคำสั่งแล้วเดินออกไป   ท่ามกลางความฉงนของเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อ 
ไม่นาน  เขาก็พาบุรุษอายุราวๆสามสิบต้นๆเข้ามา
ชายสองคนอยู่ในชุดสีเขียวเข้ม เสื้อท่อนบนสีน้ำตาล  เกล้ามวยผมเป็นจุกเสียบปิ่นไม้  ผิวกายสีทองแดง  คนหนึ่งรูปร่างล่ำหนา  ใบหน้าสี่เหลี่ยม  คิ้วหนาเข้ม  ส่วนอีกคนรูปร่างสูงยาว  ใบหน้ายาวมีโหนกแก้มสูง  ดวงตายาวรี  สันจมูกโด่ง
ทั้งสองคนดูคล้ายคนไม่มีชีวิตชีวา  กล่าวได้ว่ากำลังหมดอาลัยตายอยากในชีวิต  ดูเหมือนว่าชีวิตของคนทั้งคู่เพิ่งผ่านเคราะห์กรรมร้ายแรงมาเมื่อไม่นานมานี้
เหลียนเซ่อเห็นสองคนนี้แล้ว  เขาอยากส่งความช่วยเหลือไปให้ครอบครัวทั้งสองคนนัก  ชั่วแวบหนึ่งตอนที่ชุยอี้ออกไปเรียกบ่าวชายทั้งสองเข้ามา  สีหน้าของเด็กหนุ่มค่อนข้างบึ้งตึงขึ้นมาทันที  แต่จำต้องสะกดกลั้นอารมณ์ไว้
ชุยเฉ่าซีแย้มยิ้มเอ่ยกับเหลียนฟางโจว  “ฟางโจวเจ้ารู้หรือไม่ว่าเดิมทีสองคนนี้ทำงานอะไร?”
เหลียนฟางโจวเลิกคิ้วเล็กน้อย   ทอดมองชุยเฉ่าซีด้วยสายตาฉงน
       ชุยเฉ่าซีปรบมือหัวเราะ  พลางเอ่ย “สองคนนี้เดิมทีเป็นผู้ช่วยใต้เท้าตู้หัวหน้าแผนกจัดเก็บภาษีของกรมภาษีอากร   ใต้เท้าตู้ผู้นั้นก่อความผิดใหญ่หลวง จึงโดนเนรเทศไปชายแดนตะวันตกเฉียงใต้  สองคนนึ้จึงถูกขายทิ้ง  เจ้ารู้ไหมว่าแผนกจัดเก็บภาษีมีไว้เพื่ออันใด?  เพื่อกำกับดูแลงานเกี่ยวกับพื้นที่ทางการเกษตรที่ปลูกพืชไร่  อาทิเช่นต้นหม่อน   ได้ยินมาว่าสองคนนี้เชี่ยวชาญในส่วนงานด้านนี้มากเลยนะ! ฮ่าฮ่า  ในเมื่อเจ้าต้องการปลูกฝ้าย  มีคนเช่นสองคนนี้มาช่วย ไยจะต้องกังวลเรื่องอันใดอีกเล่า?  หนังสือสัญญาขายตัวเป็นทาสของพวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว  ข้าขอมอบให้เจ้าไว้!”
            ชุยเฉ่าซีเอ่ยอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก   ใบหน้าของชายทั้งสองซีดเป็นไก่ต้มพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย  พวกเขาก้มหน้าลงต่ำ  ปรากฏแววเจ็บปวดเสี้ยวหนึ่งในดวงตา
            ถึงจะเจ็บปวดทุกข์ใจอย่างไร  พวกเขาต่างมิกล้าเผยออกมาให้เห็นแม้สักเศษเสี้ยว
            ทั้งสองคนไม่เหมือนบ่าวรับใช้ทั่วไป  คล้ายว่าเพราะความผิดที่พวกเขามีส่วนก่อด้วยเช่นนี้  จึงโดนทางราชสำนักขายออกไป  ชั่วชีวิตนี้ทั้งสองคนเป็นได้เพียงแค่ทาส  หมดหนทางไถ่ตัวออกมาเป็นไท  มิหนำซ้ำลูกหลานจากนี้ไปอีกสามชั่วรุ่น  ไม่มีสิทธิ์สอบเข้ารับราชการได้อีก!
            ดวงตาเหลียนฟางโจวเรืองวาบ
            ชุยเฉ่าซีเห็นหญิงสาวไม่ปฏิเสธ  จึงรู้ชัดว่านางเริ่มสนใจเข้าแล้ว  ชายหนุ่มจึงแย้มยิ้มแล้วคลี่หนังสือสัญญาขายตัวเป็นทาสสองฉบับวางคว่ำไว้ข้างๆอย่างนิ่มนวล  จากนั้นจึงสั่งชายทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มว่า  “ฉินเฟิง  ซูซื่อจี้  ได้พบกับเจ้านายใหม่ทั้งที  ยังทำหน้าซึมกะทืออยู่อีกรึ!”
            บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตของชายทั้งสองคนนี้คงประสบแต่ความพลิกผันมามากมายเหลือคณา    เจอแต่เรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมาอย่างยาวนาน  พอได้ยินวาจานั้นจึงไม่ปรากฏสีหน้ายินดียินร้ายให้เห็น  ได้แต่ก้มหน้าจรดพื้นคุกเข่ารับคำสั่ง ขอรับ เบาๆ  แล้วเอ่ยคำนับเหลียนฟางโจว  “บ่าว ฉินเฟิงขอคาราวะแม่นาง!”
            ชุยเฉ่าซีแย้มยิ้มเอ่ยกับเหลียนฟางโจว  “หากเจ้าไม่ชอบชื่อสองคนนี้ก็เปลี่ยนชื่อเรียกได้เองเลยนะ!   เป็นชื่ออะไรก็ได้  เจ้าตั้งชื่อเรียกเองได้ตามชอบเลย!”
            พอได้ยินถ้อยคำนั้น  หน้าของฉินเฟิงและซูซื่อจี้เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย  ยามนี้ทำได้แต่เพียงอดกลั้นเอาไว้เท่านั้น   สมบัติหนึ่งเดียวของพวกเขา  ก็คือชื่อนี้ที่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดมอบให้!
            “คงมิจำเป็นหรอก!”  เหลียนฟางโจวรีบเอ่ยแย้มยิ้ม  แล้วจึงหันไปเอ่ยกับชายสองคนนี้  “พวกเจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด!”
            ฉินเฟิงและซูซื่อจี้ขานรับเบาๆ พลางลุกขึ้นยืน  แล้วจึงถือโอกาสเหลือบมองเหลียนฟางโจวอย่างรวดเร็ว
  เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนนุ่มนวลของหญิงสาว  อีกทั้งสีหน้าที่สุขุมคัมภีรภาพของนาง  ใจของสองคนนั้นต่างคลายตัวลงไปเป็นอันมาก  เจ้านายท่านนี้  ดูท่าจะเป็นมิตรกว่าที่คาดไว้  บางทีสวรรค์คงเมตตาพวกเขาแล้ว!
**
 [*1] กางร่มผ้าไหมล่วงหน้า  ทั้งที่ยังมิเห็นฝน : กังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
[*2] เปี่ยวเกอ : ญาติชายผู้พี่
[*3] เปี่ยวเจี่ย : ญาติสาวผู้พี่
  ----------------------
 ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และการติดตามนะคะ

13 ความคิดเห็น:

  1. เหลียนฟางโจวเปลี่ยนแปลงดีขึ้นแล้ว

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ5 พฤษภาคม 2561 เวลา 07:44

    ปกติไม่ชอบนิยายที่ยาวมากๆเพราะมักจะออกทะเลไปเสียทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ยังคุมโครงเรื่องไว้ได้
    ขอบคุณที่แปลให้อ่านค่ะ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะ อาโจวได้ผู้ช่วยเพิ่มอีกแล้วตื่นเต้นมาก

    ตอบลบ
  4. อิลุงบ้านี่คิดเองเออเองตล๊อดตลอด

    ตอบลบ
  5. ท่าทางจะได้รับผู้ช่วยมือดีมานะ แต่อ่านไปก็สงสารไปนะ ถึงจะทำผิดมาแต่ก็น่าสงสาร

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณค่ะ
    ชอบเรื่องนี้มากๆ ^ ^

    ตอบลบ
  7. ท่าทางสนุกขึ้นอีกแล้ว กับบ่าวใหม่ทั้งสองคงจะทำให้ฟางโจวรวยขึ้นๆแน่ๆ

    ตอบลบ
  8. รำคาญอิตาลุงดื้อด้านซะจริง//ขอบคุณไรท์นะคะ

    ตอบลบ
  9. มาส่งทาสให้เลย เอาใจสาวเก่ง

    ตอบลบ