สตรีผู้นี้ยามอบรมสั่งสอนมักพยักหน้ามีท่าทีรับฟังคำแนะนำเป็นอันดี ทว่าพอมีความโลภเข้ามาในหัว ก็สำแดงสันดานเดิมออกมาทันที สองตาคอยควานหาแต่ผลประโยชน์เท่านั้น เรื่องอื่นๆล้วนถูกโยนทิ้งไว้ข้างหลัง
“ฟางโจว...นี่คือ..ฮ่าฮ่า เจ้าชอบเห็นผู้อื่นเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ หากมีเรื่องอันใดอยากให้ช่วยก็จงบอกมาเถิด การให้ความช่วยเหลือเป็นงานหลักของข้าคนนี้อยู่แล้ว ไม่ควรให้บ้านเจ้าต้องมาสิ้นเปลืองเงินทองเลย “
จางลี่เจิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ข้ามีเรื่องที่คิดอยากรบกวนท่านลุงลี่เจิ้งและป้าหนิวช่วยเหลือจริงๆนั่นแหละ เพียงขอยืมดอกไม้ถวายพระพุทธองค์สักหน่อยเถิด”(ขอยืมสิ่งของๆผู้อื่น
เพื่อแก้ปัญหาของตน)
เหลียนฟางโจวยิ้มแย้ม พลางเอ่ยเสียงเนิบ “คืออย่างนี้ ที่บ้านข้ายามนี้มีสหายท่านหนึ่งมาเยือน เขาเป็นญาติร่วมสายโลหิตของคุณชายสกุลซูแห่งเมืองชวงหลิวผู้ซึ่งเป็นสามีเปี่ยวเจี่ยของข้าเอง เขาคือท่านชายสกุลชุยแห่งเมืองเต๋อซิง พูดอีกทีก็คือเขาตั้งใจมาดูความคืบหน้าโครงการปลูกฝ้ายของบ้านข้า วันนี้คุยธุระติดพันอยู่จนมืดค่ำ จึงไม่อาจเดินทางกลับได้ เลยจำต้องพักค้างคืนหนึ่ง ทว่าท่านลุงลี่เจิ้งก็รู้สภาพบ้านข้าดี ไหนเลยจะมีที่นอนให้แขกพักค้างคืนได้ หากบ้านท่านลุงลี่เจิ้งพอจะมีห้องว่างสักห้อง จะขออนุญาตพาท่านชายชุยผู้นั้นพักที่บ้านท่านสักคืนหนึ่งได้หรือไม่ ตัวข้าเองจนปัญญานัก จึงได้บากหน้ามาขอพึ่งท่านลุงลี่เจิ้งแล้ว”
“เรื่องนี้เองน่ะหรือ”
พอหนิวซื่อได้ยินว่าหญิงสาวจะขอให้คนแปลกหน้ามาพักบ้านตน แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ แถมเหลียนฟางโจวยังออกปากว่า ‘ขอห้องว่าง’ อีกด้วย ชัดเจนว่าอยากได้ห้องพักส่วนตัว นางจึงค่อนข้างรู้สึกไม่พอใจ
“ที่เจ้าพูดมาหมายถึงคนสกุลชุยแห่งเมืองเต๋อซิงเดินทางมาเยือน ข้าคงฟังไม่ผิดใช่ไหม” จางลี่เจิ้งอึ้งงันไปอึดใจ ครั้นแล้วจึงรีบเอ่ยแย้มยิ้ม
“บ้านข้ามีห้องว่าง ทั้งยังมีเครื่องนอนใหม่เอี่ยมอีกด้วย เจ้าวางใจเถิด
พาท่านชายชุยมาได้เลย ข้าเองก็อยากต้อนรับเขาด้วยเช่นกัน”
“อันที่จริงไม่ควรให้ท่านลุงลี่เจิ้งต้องมาลำบากเลย ข้าต้องขอบคุณท่านลุงมาก
ประเดี๋ยวข้าจะให้อาเจี่ยนและอาเซ่อมาส่งท่านชายพร้อมบ่าวรับใช้อีกสองคนเอง เช่นนั้น..ข้าคงต้องขอตัวก่อนละนะ” เหลียนฟางโจวคาดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผู้อาวุโสต้องตกปากรับคำแน่
“ได้สิ
เจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่เอง ฮ่าฮ่า
จะได้ไปจัดเตรียมห้องพักไว้ล่วงหน้าด้วย”
จางลี่เจิ้งถูไม้ถูมือเตรียมพร้อมลงมือ ดวงตาทั้งสองส่องประกายด้วยความตื่นเต้น
“เช่นนั้น..เชิญท่านลุงลี่เจิ้งเร่งมือเถิด ข้าไปก่อนล่ะ”
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม แล้วจึงเดินจากไป
พอเหลียนฟางโจวคล้อยหลังไปแล้ว จางลี่เจิ้งก็หันมาขึงตาใส่หนิวซื่อ พลางออกคำสั่งอย่างเร่งด่วน “ทำหน้าอึ้งตะลึงอันใด ยังไม่รีบไปอีก รีบไปทำความสะอาดห้องปีกตะวันออกเร็วเข้า ไปเรียกลูกสะใภ้ให้มาช่วยเจ้าจัดเตรียมห้องด้วย ต้องทำความสะอาดให้เรียบกริบเลยนะ อย่าให้มีฝุ่นในห้องหรือบนที่นอนแม้สักเม็ด
ให้ลูกสะใภ้ไปเอาผ้าห่มนวมผืนที่เพิ่งเย็บใหม่หลังพวกเขาแต่งงานออกมาใช้ด้วย แล้วเอากระถางเตาไฟที่หรูหราที่สุดเข้าไปจุดไว้ในห้องอันหนึ่งด้วยล่ะ ไม่สิ
รีบไปเอามาสองกระถางเลย ไปได้แล้ว”
กระถางไฟ |
“ฝันไปเถอะ เชอะ เจ้ามันถูกปีศาจเข้าสิงไปแล้วหรือไร ทีบิดามารดาข้ามาก็ไม่เห็นต้องทำอะไรอึกทึกครึกโครมเช่นนี้เลย นี่มันสหายของผู้อื่นนะ” หนิวซื่อบ่นพึมพำไม่พอใจ ทำเป็นเอาของกำนัลขี้ประติ๋วมาให้นาง ที่แท้ก็มีแผนจะขอความช่วยเหลือเช่นนี้นี่เอง โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่เนี่ย
“เจ้าจะไปรู้อะไร”
จางลี่เจิ้งเอ่ยขึ้นประดุจผู้พึ่งบรรลุธรรมมาเอง
“นางฟู่เหริน(สตรีที่แต่งงานแล้ว)ตาต่ำ โง่เขลาไม่รู้ความเอ๋ย
เจ้าไม่ได้ยินที่ฟางโจวพูดหรือไร แขกผู้นั้นน่ะ แท้จริงแล้วคือท่านชายชุยแห่งเมืองเต๋อซิง ราชนิกุลที่มั่งคั่งและทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเชียวนะ ท่านผู้นั้นจะมาพักบ้านเราคืนนี้ แน่นอนว่าเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดไม่ได้ของบ้านเรา เข้าใจหรือไม่”
“ฮ้า” หนิวซื่อพอโดนสามีเอาคำว่าราชนิกูลที่มั่งคั่งและทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งเข้ามาล่อ ฟู่เหรินวัยกลางคนถึงกับอุทานออกมา “จริงๆรึ
สกุลชุยนี่นะ จะมาเกี่ยวดองเป็นญาติกับสกุลเหลียนได้อย่างไร ฟางโจวมิได้ปดพวกเราใช่ไหม”
“เฮอะ” จางลี่เจิ้งสะบัดแขนเสื้อ สีหน้าเปี่ยมด้วยความดูแคลน พลางเอ่ยขึ้น “ก็เพราะอย่างนี้ไง
ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าคือฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเบาปัญญา
จนป่านนี้ถึงได้ยังมีแต่ญาติมิตรที่ยากจนรายล้อมอยู่นะสิ เจ้ามิได้ยินที่ฟางโจวบอกรึ
ว่าสกุลชุยกับสกุลซูแห่งเมืองชวงหลิวเป็นญาติกัน นี่แหละข้อดีที่ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาตินำพามาให้”
เขาหมดความอดทนจะอธิบายให้หนิวซื่อฟังแล้วจริงๆ ขนาดเขาจาระไนไปตั้งหลายอย่างแล้ว หนิวซื่อก็ยังไม่เข้าใจเสียที ชายชรานึกตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยสรุปสั้นๆ “เห็นขนมและใบชาที่ฟางโจวนำมามอบให้เราไหม ลำพังกระป๋องใส่ใบชาก็ทำด้วยเงินแท้แล้ว ของมีค่าปานนี้มีแต่คุณชายจากสกุลอภิมหาคหบดีผู้มั่งคั่งร่ำรวยเท่านั้น ถึงจะมีปัญญาซื้อของหรูหราเลอค่านั้นมาได้ เขาจะไม่มาพักที่บ้านเราเปล่าๆปลี้ๆ เขาย่อมต้องสมนาคุณเป็นเงินตำลึงให้แก่เจ้าเป็นแน่
อย่างไรก็ไว้หน้าข้าด้วยล่ะ อย่าได้ไปเอ่ยปากขอใครเขา ใจเย็นๆรอคอยไปเดี๋ยวก็ได้เอง”
ดวงตาหนิวซื่อเปล่งประกายวาววับ เอ่ยด้วยความดีใจและประหลาดใจปนกัน “จะมีการให้รางวัลเป็นเงินตำลึงด้วยรึ”
ดวงตาหนิวซื่อเปล่งประกายวาววับ เอ่ยด้วยความดีใจและประหลาดใจปนกัน “จะมีการให้รางวัลเป็นเงินตำลึงด้วยรึ”
“แน่นอน รีบไปเถิดน่า”
จางลี่เจิ้งเอ่ย
“อ๋า..ไปแล้วๆ ไปเดี๋ยวนี้เลย” พอได้ยินคำกล่าวแล้ว หนิวซื่อจึงกุลีกุจอคว้าไม้กวาดทันที พร้อมกับตะโกนเรียกหาลูกสะใภ้เสียงขรม
ฝ่ายจางลี่เจิ้งอดตะโกนสำทับอีกคราไม่ได้ “ทำตามที่ข้าสั่งไปเมื่อครู่นะ อย่าให้ข้าต้องมาปากเปียกปากแฉะอีกล่ะ” พอกล่าวจบก็เดินออกไป
แต่แล้วชายชราก็หยุดชะงัก คิดใคร่ครวญอีกครา ครั้นแล้วจึงถอนหายใจดังเฮือก พลางสั่นศีรษะ
แล้วรำพึงว่า “ข้าไปดูและกำกับเองจะดีกว่า”
ฝ่ายเหลียนฟางโจวได้บอกให้ชุยเฉ่าซีไปพักที่บ้านจางลี่เจิ้งคืนนี้ คราแรกชุยเฉ่าซีอิดออดไม่เต็มใจ เอาแต่ยืนกรานไม่ยอมไปท่าเดียว
ลงท้ายเหลียนฟางโจวชักเริ่มออกอาการโมโห ชุยเฉ่าซีผู้ซึ่งรู้สึกไม่เต็มใจอย่างที่สุด จึงจำต้องตกลง
เหลียนเซ่อและอาเจี่ยนจึงพาเขาไปส่ง
ชุยอี้รีบเอาสัมภาระสองห่อใหญ่ลงมาจากรถม้า และวานให้อาเจี่ยนกับเหลียนเซ่อช่วยขนไปด้วย ซ้ำยังเอาผ้านวมขนแกะทอลายผืนหนาที่ท่านชายไว้ห่มนอน
ม้วนหอบออกมาด้วย แล้วเดินดุ่มๆตรงไปยังบ้านจางลี่เจิ้ง
จางลี่เจิ้งยืนอยู่ใต้ชายคาหน้าประตูรั้วรอท่าอยู่แล้ว ทั้งสองฟากของประตูนั้นแขวนโคมไฟขนาดใหญ่ใหญ่สองดวง ทำให้บริเวณนั้นสว่างจ้าตัดกับท้องฟ้ามืดมิดยามราตรี
ชัดเจนว่า เจ้าของบ้านเตรียมไว้เพื่อต้อนรับชุยเฉ่าซีโดยเฉพาะ
พอเห็นคนทั้งหลายมากันแล้ว จางลี่เจิ้งจึงรีบก้าวมาข้างหน้าพร้อมประสานมือคารวะ
พลางเอ่ยทักทายท่านชายด้วยรอยยิ้ม หากเหลียนฟางโจวอยู่ที่นี่ในตอนนี้ด้วย จะรู้เลยว่าจางลี่เจิ้งได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เดิมมาเป็นชุดใหม่เอี่ยมอีกด้วย
ชุยเฉ่าซีมิได้เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างอันใด ชายหนุ่มเห็นจางลี่เจิ้งผู้พ่อและบุตรชายต้อนรับแขกด้วยมรรยาทงดงาม จึงแย้มยิ้มและประสานมือคารวะกลับไป
หนิวซื่อและลูกสะใภ้ซึ่งอุ้มบุตรชายมาด้วย ชะโงกหน้าเมียงมองออกมาจากในบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น อาศัยแสงจากโคมไฟ เมื่อห็นรูปร่างหน้าตาและอาภรณ์อันงดงามตระการตาของชุยเฉ่าซีแล้ว สตรีทั้งสองจึงพากันยืนนิ่งเป็นรูปปั้นไปในบัดดล
หนิวซื่อถึงกับจุ๊ปากอุทานออกมาด้วยความชื่นชม “ข้าหมดความกังขาแล้ว
กับคำกล่าว’ราชนิกูลที่มั่งคั่งและทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้น’ ดูกิริยามรรยาทอันสง่างามนี่สิ จุ๊ๆ
จริงๆเลย..อา บ้านเราเลยดูต่ำต้อยซอมซ่อไปเลย หากไม่โดนตำหนิก็นับว่าประเสริฐแล้ว”
คราแรกนางรู้สึกไม่เต็มใจที่อีกฝ่ายจะมาเอาเปรียบบ้านตน แต่พอทอดตามองในยามนี้แล้ว หนิวซี่พลันเปลี่ยนความคิดที่มีอยู่ในใจไปสิ้น
“เชิญท่านชายชุยเข้าไปนั่งข้างใน ดื่มชาสักถ้วยเถอะขอรับ” จางลี่เจิ้งยิ้มแย้มเชื้อเชิญ
ไปพักบ้านผู้อื่น
จะไม่เข้าไปนั่งในโถงรับรองคงไม่ได้
ชุยเฉ่าซีจึงเอ่ยแย้มยิ้ม “รบกวนท่านแล้ว”
พลางเดินตามจางลี่เจิ้งไป
จางลี่เจิ้งจึงเรียกหนิวซื่อไปชงชา
ชุยเฉ่าซีรับน้ำชามา
จิบเพียงสองอึก แล้วจึงวางลง
จางลี่เจิ้งตื่นเต้นยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะชวนชุยเฉ่าซีพูดคุยอย่างไรจึงจะดี ชุยเฉ่าซีชินเสียแล้วกับท่าทีของผู้อื่นที่ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ จึงตอบรับแบบไม่ยินดียินร้าย
เพียงไม่นาน
อาเจี่ยนและเหลียนเซ่อก็ลุกขึ้นขอตัวกลับ
ชุยเฉ่าซีจึงถือโอกาสลุกขึ้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่าดึกแล้ว จะขอตัวไปพักผ่อนด้วย
จางลี่เจิ้งพร้อมด้วยบุตรชายจึงรีบนำทางชุยเฉ่าซีพร้อมบริวารไปห้องปีกข้างด้วยตนเอง ระหว่างทางที่เดินไปย่อมพูดคุยยกยออาคันตุกะอีกหลายคำ
พอพาชุยเฉ่าซีไปถึงห้องพักแล้ว จางลี่เจิ้งและบุตรชายจึงเอ่ยขอตัวอย่างรู้กาละเทศะ ชายชราเอ่ยแย้มยิ้ม เปี่ยมด้วยมรรยาทงดงาม “บ้านนี้ซอมซ่อไปหน่อย ต้องขออภัยท่านชายชุยด้วย หากประสงค์สิ่งใด ได้โปรดบอกมาเลยนะขอรับ”
ชุยเฉ่าซีเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม พอเห็นสองคนพ่อลูกคล้อยหลังไปแล้ว จึงสั่งให้ชุยอี้ปิดประตูห้องพักรับรอง
--------------------------------------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ^_^
ต้องขออภัยที่อัพช้าอีกแล้ว
ขอบคุณจ้า
ตอบลบขอบคุณผู้แปลค่ะ...สนุกมากรอตอนต่อไปนะค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบดีใจทุกครั้งที่มีตอนใหม่ให้อ่าน
เพียบพร้อมปานน้ มิน่าถึงได้เป็นพระรอง
ตอบลบขอบคุณค่ะ สงสารพระรองจัง
ตอบลบเป็นพระรองซะได้
ตอบลบขอบคุณคะ
ตอบลบขอบคุณไรท์ค่ะมาส่งกำลังใจค่ะ😍
ตอบลบขอบคุณนะคะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบคุณชายชุยจะมีคู่มั้ยนะ หล่อตั้งแต่เปิดตัว จนตอนนี้ก็หล่อแบบอยู่เหนือตัวละครในเรื่องทุกตัวเลยอ่ะ
ตอบลบ