วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 186 ชื่อเสียงป่นปี้ 2


            “เสี่ยวม่าน! ข้ารู้ว่าเจ้าแค้นเคืองที่ข้าไม่ให้เจ้าอาศัยอยู่ด้วย  ถึงได้เอาเรื่องไม่มีมูลเช่นนี้ผสมโรงไปด้วย!” เหลียนลี่ตวาดเสียงเข้ม
            ป้าสามแค่นเสียง “เฮอะ ข้าจะเอาเรื่องไม่มีมูลมาผสมโรงหรือไม่ ก็ลองถามเอ้อร์โก่วจื่อ หรือไม่ก็พวกลูกสมุนของไล่จื่อดูสิ หากยังไม่กระจ่างพอ?  แถมในไร่ตอนนั้นน่ะ ยังมีคนงานที่จ้างมาทำงานเป็นสักขีพยานอีกมากมายด้วย!”
            “หุบปากนะ!”  เหลียนลี่เดือดดาลด้วยความอับอาย

            แน่นอนป้าสามหุบปากฉับไม่เอื้อนเอ่ยอันใดอีก
            ยามนี้ไม่ว่านางจะพูดหรือไม่พูด ก็ไม่สำคัญอันใดแล้ว มาดว่าหากมีคนใดอยากรู้ ก็รอไปสอบถามเอากับเอ้อร์โก่วจื่อตามสะดวก  คำพูดที่หลุดออกจากปากอันธพาลพวกนั้น ย่อมน่าเชื่อถือกว่าจากปากตนอยู่แล้ว
            ฉับพลันนั้นป้าจางก็แย้มยิ้มเอ่ยขึ้น “เรื่องที่เกิดในไร่นั้น ข้าไม่รู้หรอก  เพียงแต่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่บ้านนี้  เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน !
            เหลียนลี่ถึงกับเซ เขาปิดเปลือกตาลง แล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่จับจ้องป้าจางเขม็ง ขณะที่เม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง โดยไม่เอื้อนเอ่ยอันใด
            พอเห็นเหลียนลี่เป็นเช่นนี้  ป้าจางชักลังเลว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่
            “มีถ้อยคำอันใดที่ท่านอาจอยากเปิดเผยสักครั้งต่อหน้าทุกคน ก็พูดออกมาให้กระจ่างเถิด” ทันใดนั้นหนิวซื่อก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “หากจะให้เล่าเรื่องราวออกมาทั้งหมด ท่านลำบากใจมากนักรึ?
            ครั้นแล้วหนิวซื่อก็คลี่ยิ้ม พลางเอ่ยขึ้น “พูดออกมาเถิด พวกเราทุกคนจะช่วยกันพิจารณาและตัดสินให้เอง!”
            “ในเมื่อป้าจางลำบากใจ เช่นนั้นข้าขอเป็นคนเล่าเอง!” ป้าสามเล่าถึงวันนั้น เมื่อเหลียนฟางโจวออกจากบ้านไปแล้ว เฉียวซื่อจงใจบุกรุกเข้ามาในบ้านอย่างไร
  เฉียวซื่อรีบตวาดแว๊ดออกมา “เหลวไหล! เจ้าพูดจาเลื่อนเปื้อนอันใด!”
       ป้าสามไม่สนใจนางสักนิด  เอาแต่พรั่งพรูเล่าถึงวีรกรรมของเฉียวซื่อแบบน้ำไหลไฟดับ
            ทุกๆคนพอได้ฟังแล้ว บ้างก็ถอนหายใจ บ้างก็แอบหัวเราะเยาะ  เฉียวซื่อถูกผู้คนดูหมิ่นเหยียดหยามจนชื่อเสียงที่สั่งสมมาของตนเอง ป่นปี้ไม่มีเหลือหลอ
            แม้เฉียวซื่อจะเพียรปฏิเสธเพียงใด  ทว่าไม่มีใครหลงกลนางอีกแล้ว  ป้าสามร่ายยาวเหตุการณ์วันนั้นอย่างออกรสออกชาติไม่มีติดขัด  เพราะหากไม่มีมูลหมาคงไม่ขี้  มันจะเป็นการปั้นเรื่องไปได้อย่างไร? ต่อให้ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องมีส่วนจริงถึง 7-8 ส่วน!
            “พวกท่านยังคิดว่าสกุลเหลียนสองบ้านยังจะรวมเป็นตระกูลเดียวได้อีกหรือ! ข้า..เพ้ย นี่มันความคิดผีบ้าอันใดกัน!  เฮอะ จะรวมสองบ้านเป็นตระกูลเดียว  จะได้ตั้งตนเป็นประมุขของตระกููล เพื่อเป็นฝ่ายฮุบเงินทองและที่ดินของตระกูลยังไงเล่า  แหม...ช่างแยบยลอะไรเช่นนี้ !” ป้าสามเอ่ย มิวายถ่มน้ำลายไปด้วย
            “พี่ใหญ่เหลียนกับอาซ้อ  พวกท่านยังเชื่อว่าสองบ้านจะรวมเป็นตระกูลเดียวได้อีกหรือ?” หนิวซื่อเอ่ย แล้วนิ่งไปนิดหนึ่ง “ไม่ใช่ว่าบ้านใหญ่กับบ้านรองของพวกท่านได้ทำสัญญาว่าสะบั้นความสัมพันธ์กันต่อหน้าผู้เฒ่าจางและบรรดาผู้อาวุโสของหมู่บ้านมาได้พักหนึ่งแล้วนี่  ทั้งสองบ้านมิมีอันใดเกี่ยวข้องกันแล้วมิใช่รึ? เอ..เรื่องนี้..เรื่องนี้มันผ่านมานานเท่าใดแล้วนะ!”
            ป้าสามแค่นเสียง “อาซ้อใหญ่หนิว เรื่องนี้ยังไม่ชัดอีกรึ! แต่ก่อนบ้านของฟางโจวยากจน ทว่าเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะมีญาติข้างมารดาระดับเศรษฐีมาคอยเกื้อกูล! ทำให้คนบางคนเห็นแล้ว เกิดอิจฉาตาร้อนขึ้นมาไงเล่า!”
            “หากเจ้าไม่รู้จริง ก็อย่าได้พล่ามอะไรเหลวไหลนะ!” เหลี่ยนลี่เดือดดาลด้วยความอับอาย “ถูกต้อง ทีแรกมีการเขียนสัญญาเช่นนั้นจริง  ทว่าตอนนั้นข้าทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบมิใช่รึ? หลังจากเหตุการณ์นั้น ข้าก็เสียใจมิใช่น้อยเลย! เพราะท้ายที่สุดทั้งสองบ้านก็คือตระกูลเดียวกัน! ภายหลังข้าเข้าเมืองไปพบอาไห่ลูกชายข้า และได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกชายฟังโดยมิได้คิดอะไร อาไห่ตำหนิข้า บอกว่าไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเลย! บอกว่าน้าชายกับน้าสะใภ้สิ้นไปแล้ว  พวกเราควรดูแลลูกๆของพวกเขา! ทว่าใจจริงแล้ว ข้ามีแต่ความหวังดีให้นะ! หากไม่เพราะพวกเขาไม่อยากพูดจากับข้าตรงๆ  แล้วจะไปเดือดร้อนหลบหน้าค่าตาทำไมเล่า?  ไม่เช่นนั้นยายแก่ข้า คงไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟหรอก!
 “โอ๊ะ..โอ๊ะ..โอ  ฟังวาจาของพวกท่านนี่กลายเป็นพวกฟางโจวเป็นคนผิดไปเลยนะ!” ป้าสามแค่นเสียง “ผู้อื่นน่ะ..เขาเอือมระอาที่โดนท่านตำหนิแกมบังคับซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหาก! อะไรๆก็พูดแต่ไม่ให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่ อะไรๆก็ไม่มีผู้ใหญ่สั่งสอน! ดูจากการกระทำของพวกท่านในวันนี้ พวกท่าน ก็ไม่เห็นจะมีคุณสมบัติของผู้ใหญ่ที่สามารถสั่งสอนผู้อื่นได้เล้ย!”
เหลียนลี่เอ่ยด้วยโทสะ “ข้าก็หาได้อยากทำเสียหน่อย ข้าไปตำหนิไปบังคับใครเมื่อไร?  ข้าไปกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นตอนไหน? วันนี้ข้าขอประกาศ ณ ที่นี่ไว้เลยว่า หากพวกหลานๆไม่เต็มใจ เช่นนั้นแล้ว..จากนี้ไปก็ไม่ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันอีกเป็นครั้งที่สอง! ข้าเป็นคนมีศักดิ์ศรีพอ ข้านั้นอยากดูแลพวกหลานๆด้วยใจจริง แต่ในเมื่อพวกเขาไม่รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาที่มอบให้ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร !”
“เรื่องในวันนี้ ความจริงแล้วก็ไม่มีใครเขาไปขอร้องอ้อนวอนให้ท่านมาเลยนะ! ข้อสัญญาทั้งหมดก็เขียนไว้เป็นลายลักษ์อักษรตั้งนานแล้วนี่  ท่านน่ะเล่นเองชงเองทั้งนั้น!” ป้าสามแค่นเสียง
  “ถูกต้อง  เรื่องนี้ข้าเองก็เห็นว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็น! พี่ใหญ่เหลียนท่านน่ะตั้งใจดี  แต่ข้าก็เห็นว่าพวกฟางโจวเขาก็มีชีวิตที่ผาสุกดีแล้ว  จริงๆแล้ว พวกท่านไม่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนจะไปดูแลหรือทำอะไรๆกับพวกเขาอีกหรอก!”  หนิวซื่อเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง
สำหรับเรื่องนี้ หนิวซื่อต้องการหาทางลงให้เหลียนลี่  และเป็นการประกาศจุดยืนของตนเองไปด้วยในตัว นอกจากนี้ยังเป็นการเตือนสองสามีภรรยาคู่นี้ล่วงหน้าอีกด้วย
ด้วยเป็นเพราะบุตรชายของสองสามีภรรยาคู่นี้มีแววว่า จะสอบได้เป็นซิ่วไฉค่อนข้างแน่ (การสอบเข้ารับราชการของจีนโบราณ  ในรอบที่หนึ่ง เป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น ผูั้ที่สอบผ่านรอบนี้จะได้คุณวุฒิระดับเรียกว่า "ซิ่วไฉ" [秀才] ดังนั้นการสอบรอบนี้จึงเรียกอีกอย่างว่า "การสอบซิ่วไฉ" ) ทั้งๆที่เขาอายุยังน้อยอยู่เลย ผลการเรียนนั้นเล่าก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี  ภายภาคหน้าจะต้องเจริญรุ่งเรืองอีกมากนัก จางลี่เจิ้งเป็นคนฉลาด แม้นใจจะฝักไฝ่คอยช่วยเหลือครอบครัวเหลียนฟางโจว  แต่ก็มิคิดอยากบีบเหลียนลี่และภรรยาจนเข้าตาจน
“จะเอาเช่นนั้นก็ได้!” เหลียนลี่ตอบรับทันควัน ซ้ำยังถอนหายใจอีกครา “ใจจริงข้านั้นรู้สึกผิดนัก จึงได้ดั้นด้นมาถามไถ่  เฮ้อ..มิคิดเลยว่าความเมตตาหวังดีที่มีจะได้รับการตอบแทนเช่นนี้! หากรู้ตั้งแต่แรก....  เฮ้อ..ลืมมันซะเถิด ลืมมันเสีย!”
ไม่ว่าหนิวซื่อจะพูดมาอีท่าไหน  เหลียนลี่ก็สามารถโต้กลับได้ทันควัน ทุกๆคนในที่นั้นจึงตระหนักว่า ฝีปากของสองคนนี้ช่างพอฟัดพอเหวี่ยงกันจริงๆ
แม้จะมีบางประเด็นที่น่าจะขุดคุ้ยไปให้ถึงที่สุด  แม้จะมีคำถามที่ยังค้างคาในใจอีกมาก ทว่าก็ไม่มีใครกล้าถาม หรือวิจารณ์อันใดออกมาอีก
ส่วนป้าจางนั้น แม้ในใจจะรับไม่ได้อย่างที่สุด  แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา ส่วนป้าสามก็ได้แต่ฮึ่มฮั่มในใจ ไม่เอื้อนเอ่ยออกมาสักคำ
“เฮ้ย ฟางโจวและอาเซ่อกลับมาแล้ว!”  ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมา ทุกคนต่างหันขวับไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน  ทุกคนต่างกลับมารู้สึกตื่นเต้นคึกคักอีกครั้ง  คล้ายว่าได้เวลาซุบซิบนินทาแล้ว
เหลียนฟางโจว เหลียนเซ่อ  อาเจี่ยน ฉินเฟิง และซูจื่อจี้เดินฝ่าฝูงชนออกมา  หญิงสาวเอ่ยขึ้น “ที่ลุงใหญ่ ป้าใหญ่มีใจหวังดีนั้น  ข้าไม่กล้ารับไว้จริงๆ! ก่อนหน้านั้นข้าได้ประกาศเจตนารมณ์ทุกประการต่อหน้าลุงเจิ้งและเหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านไปแล้ว  หนังสือสัญญาข้อตกลงก็ทำไว้ดีแล้ว นับจากนี้ไป ชีวิตความเป็นอยู่ของคนบ้านข้า ต่อให้ไม่เป็นไปดั่งหวัง นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเราพี่น้องเท่านั้น  จะไม่มีใครหน้าไหนตำหนิลุงใหญ่เด็ดขาด ป้าใหญ่เองก็มิต้องใส่ใจด้วย ! พวกเราขอสัญญาว่า จะไม่มีเรื่องเดือดร้อนอันใดมาถึงลุงใหญ่และป้าใหญ่แน่นอน ขอให้พวกท่านสบายใจได้!”
  เหลียนลี่ได้ฟังวาจานี้แล้ว ก็ได้แต่กดข่มจิตใจ  ซ้ำยังรู้ดีว่า เรื่องของเขามันก็เข้าทำนองที่ว่า อย่าเพิ่งนับลูกไก่ก่อนจะฟักออกจากไข่  อะไรๆที่ตนมุ่งหวังไว้  ได้ดับวูบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากจะมานั่งพูดกันจริงๆว่าใครเป็นคนขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมา คนที่มีแต่เสียกับเสียก็คือฝ่ายเขาเอง!  เขาน่าจะปล่อยทุกอย่างให้คลุมเครือเหมือนดังที่แล้วๆมา ไม่น่ามาฟื้นฝอยหาตะเข็บขึ้นมาอีกครั้งในตอนนี้เลย
แน่นอนว่าเหลียนลี่ย่อมไม่ยอมปล่อยให้เหลียนฟางโจวครอบครองผลประโยชน์และกรรมสิทธิ์ทั้งปวงไปฝ่ายเดียว จึงได้ปั้นหน้า แสดงเป็นตัวเอกของละครที่ตนสร้างขึ้นมา เพื่อต่อสู้แย่งชิงทุกอย่างเอามาให้ได้
มิคาดคิดว่า เฉียวซื่อที่หมอบหน้าร่ำไห้กับพื้นดิน พอเห็นเหลียนฟางโจว ตัวการใหญ่กลับมา ก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาดุร้าย ปล่อยรังสีฟาดฟันออกมาจากหน่วยตา หากไม่ใช่เพราะนางยาโถว (เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน) น่าตายนี่  ไยตัวนางจะต้องมาขายหน้ายับเยิน พ่ายแพ้หมดรูป ต่อหน้าผู้คนทั้งหมู่บ้านเช่นนี้!
แล้วไยความผิดทั้งหลายทั้งแหล่ถึงหล่นโครมใส่ตนแต่เพียงผู้เดียว!
“เป็นแผนการณ์ของเจ้า ทั้งหมดเป็นแผนการณ์ชองเจ้า! นังยาโถวน่าตาย ใจปีศาจ เหลี่ยมจัดนักนะ! ทั้งหมดเป็นแผนการณ์ของเจ้าที่เล่นงานพวกเรา!”  ฉับพลันนั้น เฉียวซื่อก็ผลุงขึ้นจากพื้น แล้วกระโจนเข้าใส่เหลียนฟางโจว
อาเจี่ยนกำลังจะเข้ามาขวาง  ครั้นเหลือบเห็นเหลียนเซ่อ จึงกลับมายืนนิ่งดังเดิม
“ป้าใหญ่! ท่านคิดจะทำอันใด!” เหลียนเซ่อเข้ามายืนขวางหน้าเหลียนฟางโจว เด็กหนุ่มจัดการยึดแขนเฉียวซื่อไว้มั่น  แขนของเฉียวซื่อข้างนั้นพลันขยับไม่ได้  นางจึงวาดแขนอีกข้างหนึ่งตามมาหมายจะฟาดเหลียนเซ่อ   เด็กหนุ่มเพียงวาดฝ่ามืออีกข้างขึ้นรับเบาๆ ก็ตรึงแขนข้างนั้นของนางไว้มั่นทันที
---------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และการติดตามค่ะ ^_^

8 ความคิดเห็น:

  1. ป้าใหญ่ยังไม่สิ้นฤทธิ์อีก ลุงใหญ่ก็ยังอยากไม่สิ้น พวกนางเอกกลับมาพอดีมามันส์กันต่อค่ะ

    ตอบลบ
  2. ยังไม่หมดฤทธิ์สิน เหลียนเซ่อจัดการเลย

    ตอบลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  4. ลูกชายของลุงกับป้า ไม่น่ามรพ่อแม่แบบนี้เลย

    ตอบลบ
  5. ตอนนี้ดุเดือดมากๆ แปลดีมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วอินมาก

    ตอบลบ
  6. สนุกค่ะแปลดีมากขึ้นเรื่อยๆเลยไรท์เก่งมากค่ะ

    ตอบลบ
  7. ตบล้างน้ำ ซักทีสิ

    ตอบลบ