วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 195 นายหญิงเจ้าหรูเชิญไปพบ 2


ด้วยสายตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แม้ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทว่าจากที่เห็นด้วยสายตา รวมทั้งสถานการณ์แวดล้อม ทำให้รู้ชัดว่า 7-8 ในสิบส่วน ล้วนเป็นความผิดของซีเชวี่ย จากที่เหลียนฟางโจวกล่าวมา นางก็คือยาโถวบ้านนอกคนหนึ่ง นางจะกล้าทำตนเป็นปฏิปักษ์กับจวนสกุลจ้าวอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้อย่างไร?
แต่มิคาดว่าอาเจี่ยนจะเอ่ยออกมาเช่นนั้น  ชาวบ้านในร้านบะหมี่ต่างล้อมวงดูเหตุการณ์และเปิดปากคุยกันอย่างออกรสออกชาติ  แม้แต่นางเองก็ไม่อาจห้ามปากชาวบ้านได้
ยาโถวน่าตายนางนี้ ไม่เพียงไม่ยอมสำนึกผิด  ยังเอาแต่บ้าผู้ชายอีก!  กลายเป็นตัวตลกให้ชาวบ้านหัวเราะ อย่างไร้ประโยชน์สิ้นดี
เจ้าสู้ก้มหน้าด้วยความละอายไป ยังจะดีเสียกว่า!
“ซุนมามา  ท่าน...ท่านให้ข้าขอโทษรึ !”  ซีเชวี่ยตกตะลึงตาค้าง  ขณะที่สายตาจับจ้องซุนมามาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ยังไม่รีบทำอีก!” ซุนมามาชักหมดความอดทน จ้องหน้าสาวใช้เขม็ง ขณะตะคอกเสียงหนัก “ใครให้เจ้าขวัญกล้าเทียมฟ้ารังแกผู้อื่นเช่นนั้น?  จวนสกุลจ้าวของเราไม่เคยมีบ่าวไพร่ที่ผิดหลักคุณธรรมเช่นนี้เลยนะ !  รอกลับไปก่อนเถอะ  หลังขอโทษกับนายหญิงแล้ว ตัวเจ้าก็เตรียมตัวไปรับโทษโบย เพราะเรื่องที่ไปล่วงเกินแม่นางผู้นี้เสียด้วย!  คืนนี้ไม่อนุญาตให้ทายา พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อขี้ผึ้งทาแผลที่ร้านขายยาเหอตรงถนนเป่ยเอ้อร์ !”
อย่างไรก็ตาม ซุนมามาคือผู้ที่เห็นโลกมามาก  วาจาที่พรั่งพรูออกมานี้สามารถปิดปากทุกคนได้ชะงัด  อันที่จริง จวนสกุลจ้าวจะลงโทษคนใต้อาณัติที่ประพฤติผิดกฏของตระกูลเป็นปกติอยู่แล้ว  ส่วนใครที่ไม่เชื่อพรุ่งนี้ค่อยตามไปดูที่ร้านขายยาเหอเอาเอง!
ไม่รู้ว่าใครในท่ามกลางชาวบ้านที่มุงดูอยู่ร้อง ไอ้หยา ขึ้นมา พลางถอนหายใจเอ่ยว่า “สกุลจ้าวนี้นับยังใช้ได้อยู่นา  มีแต่พวกบ่าวไพร่นั่นแหละที่น่ารังเกียจ!”
“จริงด้วย  มิต้องสงสัยเลยว่าตัวต้นเหตุให้ตระกูลผู้อื่นเสื่อมเสีย!”
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์เหล่านี้  ซุนมามาจึงแอบโล่งอก ขณะทำตาดุใส่ซีเชวี่ย “ยังไม่รีบขอโทษอีก!”
ซีเชวี่ยถือว่าตนเองเป็นผู้ช่วยนายหญิงคนหนึ่งเหมือนกัน  ไหนเลยจะยอมก้มหน้าขอโทษเล่า? ขณะที่กำลังโดนซุนมามาพูดจาข่มขู่   ในความเป็นจริง ก็ไม่มีเสียงอันใดเล็ดลอดออกมาจากปากสาวใช้ผู้นี้เลยด้วยซ้ำ
เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนต่างมองหน้ากัน  ทั้งสองนึกแอบพูดในใจว่า ซุนมามาผู้นี้ เป็นผู้มีชั้นเชิงแพรวพราวจริงๆ!  แค่คำพูดไม่กี่คำ ก็สามารถดึงภาพพจน์ของจวนสกุลจ้าวที่ย่ำแย่ขึ้นมาได้  ส่วนคนที่ย่ำแย่เละเป็นโจ๊กกลับกลายเป็นยาโถวนางหนึ่ง!
อย่างไรก็ตาม เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนต่างหาสนใจไม่
เดิมที พวกเขาต่างมิได้มีความรักความแค้นอันใดกับสกุลจ้าวอยู่แล้ว  ซ้ำมิอยากสุงสิงกับจวนสกุลจ้าวอีกด้วย ที่ซุนมามาสั่งสอนซีเชวี่ยอย่างรุนแรง ก็เพื่อทีหน้าทีหลัง สาวใช้ผู้นี้จะได้ไม่ทำตัวกร่างใส่ชาวบ้านอีก  ซึ่งก็นับว่าเป็นผลดีต่อคนทั้งสอง
“บางทีแม่นางซีเชวี่ยอาจเป็นคนปากร้ายไปอย่างนั้นเอง แต่ในใจมิ ได้คิดอันใด อีกทั้งพวกเราหาใช่คนใจแคบกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ  เช่นนั้น...ก็ให้มันแล้วไปเถิดนะ!”  ยามนี้เหลียนฟางโจวมีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า
ซีเชวี่ยถอนใจหนึ่งเฮือกด้วยความโล่งใจเป็นล้นพ้น  พลางชำเลืองมองซุนมามาด้วยแววตาน่าสงสาร
เดิมทีซุนมามาหาได้มีความคิดอยากหักหน้าและหมิ่นเกียรติสาวใช้จวนสกุลตนต่อหน้าคนนอกเลย  นางจึงถือโอกาสนี้ผลักเรือตามน้ำ  แม่นมซุนพยักหน้าคราหนึ่ง  ก่อนจะหยุดต่อว่าซีเชวี่ย ครั้นแล้วนางจึงส่งยิ้มให้เหลียนฟางโจว พร้อมเอ่ยอย่างสุภาพ “แม่นางเหลียนช่างใจกว้างดุจมหาสมุทร  ยาโถวข้าที่ไร้ความคิด  เลยพูดจาล่วงเกินแม่นางเหลียนแล้ว!”
 “มามานอบน้อมไปแล้ว ข้าไม่กล้ารับไว้จริงๆ!”  เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มบาง
ซุนมามาเห็นนางเป็นยาโถวบ้านนอกคนหนึ่ง จึงใช้ถ้อยคำตอบกลับ ทำนอง ใจกว้างเอย สุภาพอ่อนน้อมเอย  มิหนำซ้ำ เวลาเผชิญหน้ากัน นางไม่เห็นอีกฝ่ายแสดงความขลาดกลัวและทำมือไม้อ่อน เข้ามาประจบประแจงตนเลย  สาวใหญ่อดลอบใช้สายตาประเมินหญิงสาวตรงหน้าสักสองสามคราไม่ได้   ครั้นแล้วซุนมามาจึงคลี่ยิ้ม พลางเอื้อนเอ่ยอย่างนอบน้อมอีกสองสามคำ “แม่นางเหลียน คุณชายเจี่ยน ก่อนหน้านั้น นายหญิงข้าเชิญท่านทั้งสองไปพูดคุย  ข้าจึงยังต้องการเชิญทั้งสองท่านเป็นเกียรติย่างเท้าไปที่หอฝูฉูสักหน่อย  เชิญเถิด!”
เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนสบตากันอีกครา  บังเกิดความรู้สึกจนใจพอๆกัน
นายหญิงผู้อื่นล้วนพูดมาขนาดนี้แล้ว หากไม่ไป นั่นจะกลายเป็นการไม่ให้เกียรติกัน
 “มามาโปรดนำทาง!”  อาเจี่ยนผายมือขึ้น
เหลียนฟางโจวกระซิบสั่งความสองสามประโยค ทำนองให้เหลียนเซ่อรอเธอ แล้วจึงเดินไปสมทบกับอาเจี่ยน สาวเท้าตามซุนมามาไป
ซีเชวียอึ้งไปชั่วขณะ หญิงสาวรีบค้อมศีรษะ แล้วเร่งเดินตามหลังไปด้วย
ภายในห้องรับประทานอาหารส่วนตัวบนชั้นสองของหอฝูฉู นายหญิงจ้าวหรู คุณหนูที่ดูแลบริหารกิจการของจวนสกุลจ้าว อยู่ในชุดเสื้อคลุมผ้าไหมสีชมพูเข้ม ทอลายดอกเบญจมาศ ตัวเสื้อคอตั้งติดกระดุมหน้า ส่วนกระโปรงจับจีบแคบลายเกล็ดปลาสีเหลืองอมส้ม หญิงสาวเกล้าผมทรงเมฆคล้อย  ตรงกลางมวยผมเสียบปิ่นดอกไห่ถังฝังอัญมณีสีเขียวอมฟ้า ขณะที่ด้านซ้ายของมวยผมเสียบปิ่นดอกเหมย มีพู่ระย้าร้อยด้วยเม็ดไข่มุก อำพัน หยกขาว และหยกเขียว  สวมต่างหูเป็นพู่ห้อยซึ่งร้อยด้วยไข่มุกเม็ดเล็กๆขนาดเมล็ดข้าวสาร สายไข่มุกนั้นกวัดแกว่งกระทบกันไปมาเบาๆ  ความงดงามความหรูหราพร่างพรายออกมา จนกลายเป็นความงามอันเจิดจรัสสยบทุกผู้ทุกนาม
ยามเมื่อเหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนเข้ามาในห้อง  นายหญิงผู้สูงศักดิ์กำลังท้าวข้อศอกที่กรอบหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกอย่างสนอกสนใจ ไม่รู้ว่านางกำลังมองสิ่งใด  จากสายตาที่ทอดมองจากมุมของประตูออกไป  จะเห็นต่างหูพู่เล็กๆอันงดงามวิจิตร ห้อยล้อมกรอบใบหน้าหญิงสาว ส่งให้เจ้าของเครื่องประดับ งดงามสง่าอย่างหาใดเปรียบ  ผิวนั้นเล่าก็นวลเนียนละเอียดขาวกระจ่างใส ช่างดูงามสง่าสูงส่งเกินเอื้อม
“คุณหนู  แม่นางเหลียนและคุณชายเจี่ยนมาแล้วเจ้าค่ะ ซุนมามาเอ่ยด้วยความเคารพยำเกรง
ซีเชวี่ยตวัดสายตาดุใส่เหลียนฟางโจว ในที่สุดนางยาโถวบ้านนอกก็มาเหยียบในถิ่นของตนจนได้  ซ้ำเห็นได้ชัดว่าสาวรับใช้ยังมีโทสะกับหญิงสาวอยู่ไม่น้อย  ทันใดนั้นซีเชวี่ยก็ยอบกายทำความเคารพนายหญิงจ้าวหรู พลางส่งเสียงเรียกเบาๆ “คุณหนู” แล้วเดินไปยืนข้างๆเจ้านายเยื้องไปทางด้านหลัง
“หืม?” นายหญิงจ้าวหรูค่อยๆหันหน้ากลับมา  ขณะที่แย้มริมฝีปากคลี่ยิ้มเล็กน้อย ค่อยๆลุกขึ้นยืน  พลางเก็บงำอารมณ์ทั้งหมดในดวงตา  นายหญิงผู้สูงส่งพยักหน้าให้แขกทั้งสอง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านทั้งสองมาแล้ว เชิญนั่งเร็วเถิด! ซีเชวี่ย ยังไม่ยกน้ำชามาอีก!”
“ขอบคุณ คุณหนูจ้าว!”  เหลียนฟางโจวส่งยิ้ม  พร้อมกับเหลือบมองอาเจี่ยนไปด้วย  หญิงสาวนั่งลงตรงข้ามนายหญิงจ้าวหรู  ส่วนซีเชวี่ยเมื่อได้ยินคำสั่งนายหญิงจ้าวหรู ก็ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ครั้นแล้วจึงเปล่งเสียงขานรับในคอ “เจ้าค่ะ”  ในใจก่นด่าฝ่ายตรงข้าม ขณะรินน้ำชาไปด้วย
ยามที่เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนได้ฟังเรื่องที่ซีเชวี่ยแจ้งมา  ในใจได้คิดใคร่ครวญ ตรึกตรองกลับไปกลับมา  ทั้งสองต่างมีความเห็นตรงกันโดยมิได้นัดกันไว้ก่อน
ไม่มีเรื่องอันใดของสกุลเหลียนที่มีค่าในใจต่อนายหญิงจ้าวหรูเท่ากับ เรื่องที่บ้านนางกระตือรือร้นอยากปลูกฝ้ายมาก
นายหญิงจ้าวหรูพบพวกเขา  เพราะอยากสอบถามเรื่องนี้เป็นที่สุด
เหลียนฟางโจวมิปรารถนาไปกระตุ้นความสนใจของนายหญิงจ้าวหรูเลยสักนิด แถมยิ่งมิอยากให้นางมาสนใจในฝ้ายของตนด้วยซ้ำ  หลังจากเข้ามาแล้ว หญิงสาวก็นั่งสงบเสงี่ยมพินอบพิเทาเป็นอย่างดี  ท่าทางเปี่ยมด้วยมรรยาท ทว่าก็ดูออกจะเกร็งเกินไปสักหน่อย
หางตาของอาเจี่ยนเหลือบเห็นเหลียนฟางโจว  มีท่าทางแข็งเกร็งอย่างเห็นได้ชัด  เมื่อเห็นหญิงสาวอยู่ในกรอบมรรยาทเต็มพิธีการ ก็นึกขำในใจมิได้  ตนเองจึงนั่งนิ่งบ้าง พลางหลุบตาลงเล็กน้อย มิได้เอื้อนเอ่ยอันใด
นายหญิงจ้าวหรูเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการมองหาคนเก่งกาจมีฝืมือ  คนที่นางไม่อยากเห็นให้เสียสายตาที่สุด ก็คือคนอย่างเหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนนี่แหละ
เดิมทีนางคิดว่า เหลียนฟางโจวจะดีจะชั่วอย่างไร นางก็จะหาอะไรให้คนทั้งสองทำ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ พอสองคนนี้นั่งลงเท่านั้น ก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ดุจคนบ้าไบ้  ทำให้นายหญิงสกุลจ้าวชักเริ่มไม่ชอบใจขึ้นมารำไร  ส่งผลให้คิ้วขมวดขึ้นน้อยๆโดยไม่รู้ตัว
พอเห็นว่าคนทั้งสองไม่มีความคิดจะเป็นฝ่ายเปิดปากออกมาแม้เพียงครึ่งคำ นายหญิงจ้าวหรูจึงกระแอมเบาๆขึ้น คราหนึ่ง แล้วถามขึ้นด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม  “ได้ยินว่า แม่นางเหลียนซื้อที่ดินปลูกฝ้ายเกือบสามพันหมู่ใช่หรือไม่?”
“อื้ม” เหลียนฟางโจวช้อนตาขึ้นมอง พลางพยักหน้ายิ้มๆ  หลังจากนั้นก็ไม่มีถ้อยใดๆหลุดออกมาจากปากหญิงสาวอีก
คิ้วของนายหญิงจ้าวหรูขมวดลึกขึ้นอีกสามส่วน  นึกค่อนขอดในใจว่า ไม่เคยเห็นใครซื่อบื้อเช่นนี้มาก่อนเลย  เข็นทีหนึ่ง  จึงค่อยขยับทีหนึ่ง
นางฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น “ได้ยินมาว่า งานนี้เป็นดำริของคนสกุลซูแห่งเมืองชวงหลิวใช่หรือไม่? เหตุใดสกุลซูถึงคิดอยากปลูกฝ้ายเล่า?  มิหนำซ้ำ สกุลซู คหบดีอันดับหนึ่งแห่งเมืองชวงหลิว ยังมีที่ที่ไร่ที่นาที่ตระกูลครอบครองมากมายนับไม่ถ้วน  ไฉนถึงไม่ปลูกในที่ดินของตนเอง  ทว่ากลับหนีมาปลูกไกลถึงที่นี่เล่า?
ดูคล้ายเหลียนฟางโจวยังไม่ตายและยังมีลมหายใจอยู่  จึงพอจะย่อย คำถามที่ดูคล้ายนางถามกลับไปไวมาก ได้อย่างทันท่วงที  แต่ก็ใช้เวลานานพอสมควรเหมือนกัน ที่สติของหญิงบ้านนอกผู้นี้จะค่อยๆกลับคืนมา  เหลียนฟางโจวร้อง “อ๋อ”  ขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วจึงค่อยกระมิดกระเมี้ยน ควบคุมตนให้อยู่ในมรรยาทอันดีงามยิ่งยวด แล้วจึงค่อยๆเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างแสนเชื่องช้าว่า “เปี่ยวเจี๋ยของข้านั้น ได้ฟังที่ข้าพูดถึง ขุนนางราชสำนัก ได้ส่งเสริมเรื่องปลูกฝ้ายนี้อย่างแข็งขันด้วยความประหลาดใจ  ทั้งยังได้ยินว่าฝ้ายนี้สามารถนำไปทอเป็นผ้าได้ สกุลซูไม่มีร้านผ้าไหมใช่หรือไม่?  นางจึงคิดจะลองดูสักครา ทว่าเรื่องการส่งเสริมให้ปลูกฝ้ายนี้ในเมืองชวงหลิวไม่มี  ซ้ำนายท่านซูยังไม่ทราบด้วย  นับว่าเป็นความคิดของนายหญิงซูเพียงผู้เดียว  เปี่ยวเจี๋ยจึงให้ข้าลองทดลองปลูกที่นี่ดู! เปี่ยวเจี๋ยบอกว่า หากปีหน้าปลูกฝ้ายแล้วไม่เกิดผล ในภายหน้าผืนดินเหล่านั้นจะเอาไว้ใช้ปลูกต้นปอแทน อืม ก็ยังคงให้บ้านข้าป็นผู้ดูแลเหมือนอย่างเดิมแหละนะ  แถมเปี่ยวเจี๋ยยังคิดอ่านการนี้ เพื่อดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราพี่น้องด้วย!”
-----------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^

16 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 ตุลาคม 2561 เวลา 20:06

    ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  2. นิสัยสาวใช้กับเจ้านายก็คงพอๆกันขอบคุณไรท์ค่ะ

    ตอบลบ
  3. นางเอกฉลาดนะรู้จักใช้ฐานะของพี่สาวซูมาบังหน้า จะได้ไม่เสียเปรียบหรือโดนบีบบังคับให้เสียผลประโยชน์ให้ผู้อื่นรอให้นางแข็งแกร่งกว่านี้ก็ไม่ต้องก้มโค้งให้ผู้อื่นแล้ว

    ตอบลบ
  4. หญิงเจ้าก็ไม่เท่าไหร่นี่นา

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ2 ตุลาคม 2561 เวลา 10:03

    ขอบคุณที่เสียสละเวลาแปลให้อ่านนะคะ สนุกมากค่ะ

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณค่ะฟางโจวเราฉลาดไม่ใช่ซื่อบื้ออย่างที่หล่อนเข้าใจนะคุณหนูจ้าวออกมาก็ทำให้รีดเกลียดเลย

    ตอบลบ
  7. นางเอกก็แถเก่งใช่เล่น นับถือ ๆ

    ตอบลบ
  8. นางเอกก็หัวไว แถเก่งใช่ย่อย นับถือ ๆ

    ตอบลบ
  9. สู้ๆนะ เจอคนแบบนี้ต้องรอบคอย

    ตอบลบ
  10. ชาญฉลาดมาก นางเอกเรา

    ตอบลบ