“เจ้าลูกคนนี้นี่!” หลี่ชื่อได้ยินแล้วทั้งเศร้าใจทั้งดีใจระคนกัน
นางพรูลมหายใจ พลางส่ายหัวยิ้มๆ พวกนางคือทาสในเรือนเบี้ย มีสิทธิ์พูดเองได้หรือว่าอยากไปอยู่ที่ไหนกัน?
จางเสี่ยวจุนเห็นสีหน้าผู้เป็นภรรยา จึงเอ่ยว่า “คุณหนูเป็นคนดีจริงๆ
พวกเราต้องตั้งใจทำงานรับใช้คุณหนูให้ดี ข้าเชื่อว่าพวกเราจะสามารถอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆได้ละนะ”
จางซิ่วเอ๋อร์รีบพูดขึ้นอีกคน “ใช่แล้วๆ
ข้าก็คิดว่าคุณหนูเป็นคนดีด้วยเหมือนกัน ท่านเจี่ยน...ก็ด้วย”
หลี่ชื่อมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางอดพินิจพิจารณาแววตาของจางซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้
หลังจากอ้ำอึ้งอยู่สักครู่ จึงเอ่ยขึ้น “ท่านเจี่ยนเป็นเจ้านายผู้หนึ่งเหมือนกัน
เราเป็นบ่าว ก็อยู่ส่วนบ่าว ทำหน้าที่รับใช้นายท่านให้ดีแค่นั้น เรื่องจะติชมเจ้านายลับหลังเช่นนี้
ขอให้มันน้อยๆหน่อยนะ! ดึกแล้ว รีบไปเข้านอนได้แล้ว!”
จางซิ่วเอ๋อร์นิ่งงันไป พลันถึงได้กระจ่างในความคิดของผู้เป็นมารดา เด็กสาวใบหน้าแดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางพรวดพราดลุกขึ้นยืน
พลางย่ำเท้าไปมา ”ท่านแม่..ท่านคิดเพ้อเจ้ออะไรกันเนี่ย! ข้า...ข้าหาได้คิดเป็นอื่น! ยามนี้ครอบครัวเราเพิ่งจะราบรื่นมั่นคงได้ไม่เท่าไร
บุตรสาวท่านจะเป็นคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนั้นหรือ!”
หลี่ชื่อรู้สึกโล่งอก อดเอ่ยขึ้นไม่ได้
“หากเจ้าไม่อยากให้ชีวิตที่ราบรื่นมั่นคงนี้ต้องสูญสลายไป ก็จงอย่าได้คิดแบบนั้นเป็นอันขาดล่ะ!?
“ข้าไม่ได้คิดอันใดสักหน่อย! ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ! ข้าแค่พูดไปแบบนั้นเอง! ข้ารู้ว่าพวกเรามีฐานะอะไร ข้าไหนเลยจะทำเรื่องโง่ๆเช่นนั้น!” ขณะพูดไป ดวงตาของจางซิ่วเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
“ไม่มีก็ดี ไม่มีก็ดีแล้ว!” หลี่ชื่อเห็นบุตรสาวเป็นแบบนี้ ก็อดเศร้าใจนิดๆไม่ได้ นางรีบกุมมือบุตรสาว พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ซิ่วเอ๋อร์เจ้าเลิกโกรธเกรี้ยวเถิด เป็นแม่ที่ปากไวไปเอง! แม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนมีเหตุผลรู้ดีรู้ชั่ว!
เฮ่อ
แม่เป็นคนหวาดระแวงจนเคยตัว มันยากนัก กว่าที่เราจะมีที่อยู่ที่กิน แม่จึงกลัวจริงๆ....”
จางซิ่วเอ๋อร์ได้ยินถ้อยวาจานี้ น้ำตาหญิงสาวพลันร่วงหล่นลงมาเป็นสาย
ทั้งโกรธทั้งอับอายทั้งสะเทือนใจ ที่จู่ๆก็ทำตัวกราดเกรี้ยวใส่บุพการี
จึงฝืนยิ้มและรีบเอ่ย “ท่านแม่ ข้ารู้
ข้าเข้าใจดีแล้วเจ้าค่ะ!”
“อื้ม” หลี่ชื่อถอนหายใจบาๆ พลางดึงบุตรสาวเข้ามาสวมกอด
ส่วนจางเสี่ยวจุนพรูลมหายใจเบาๆ
ได้แต่เงียบงัน ไม่เอ่ยถ้อยคำอันใด
วันต่อมาหลังอาหารมื้อเช้า อาเจี่ยนหันมาเอ่ยกับเหลียนฟางโจว “วันนี้เจ้ากับอาเซ่อไม่ต้องเข้าไร่หรอก ข้า
ฉินเฟิงและซูจื่อจี้จะไปไร่กันเอง!”
เหลียนฟางโจวพยักหน้า พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อื้ม
ข้าจะตามเข้าไปพรุ่งนี้
วันนี้จะอยู่สั่งงานสะใภ้จางและครอบครัวนางแล้วกัน! ยังมีเรื่องฟืนและแกลบอีก ไหนจะต้องใช้รถขนมาอีกสักสองสามเที่ยวก่อน!
โชคดีตอนที่เราทำการปรับปรุงที่ดิน ได้เตรียมการไปไม่น้อย
จึงไม่ขาดแคลนเครื่องใช้ไม้สอยเลย”
“ถึงจะขาดเหลือก็ไม่เป็นไรหรอก” อาเจี่ยนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “อีกสักสองวัน งานเตรียมผืนดินทั้งหมดคงจะเรียบร้อย
แล้วข้าจะให้บ่าวสิบคนมาตัดฟืนสักสามวัน พวกเราคงได้ฟืนพอใช้ตลอดหน้าหนาวนี้แล้ว!”
เหลียนฟางโจวได้ยินแล้วจึงเอ่ยยิ้มๆ “ พวกบ่าวไพร่ช่วยงานดีใช่ไหม!”
“เอ่อ..เป็นเช่นนั้น!” อาเจี่ยนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ยามเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อมาถึงหมู่ตึก บรรดาบ่าวไพร่ต่างออกไปทำงานที่ไร่กันแล้ว
ทั่วทั้งหมู่ตึกจึงเงียบสงัด
พอเห็นพวกเขามา หลี่ชื่อรีบร้องทัก ปรี่เข้ามาต้อนรับ “คุณหนู นายน้อยรอง!”
เหลียนฟางโจวพูดคุยสัพเพเหระกับนางสองสามประโยค ครั้นแล้วจึงให้นางไปเรียกคนทั้งครอบครัวมา
และพาพวกเขาไปชมดูทั่วทุกบริเวณทั้งด้านในและด้านนอกรวดเดียว ไปเรียนรู้ว่าพื้นที่ไหนมีไว้เพื่อใช้สอยอะไร
หญิงสาวอธิบายทีเดียวรวดว่าจะต้องทำความสะอาดจัดเก็บแต่ละบริเวณอย่างไรหลังสิ้นวัน
ซ้ำยังมอบหมายหน้าที่ประจำวันเพื่อจัดการดูแลความเรียบร้อยทั่วทั้งหมู่ตึกให้กับทุกคน
ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นงานจิปาถะเล็กๆน้อยๆในแต่ละวัน
จาวเสี่ยวจุนและหลี่ชื่อน้อมรับคำสั่งเรื่องแล้วเรื่องเล่า
“คุณหนู ตอนรุ่งสางนู๋ปี้
(บ่าวทาส) ได้ออกไปดูบริเวณรอบนอกมาด้วยเจ้าค่ะ
ข้างๆหมู่ตึกมีที่ดินผืนเล็กราวหนึ่งหมู่ไช่ไหมเจ้าคะ
นู๋ปี้ว่าจะถางที่มาปลูกพืชผักสวนครัว! ไม่ทราบว่าเหมาะสมหรือไม่
จึงมาสอบถามความคิดเห็นของคุณหนูก่อน” หลี่ชื่อเอ่ยคำถามในท้ายที่สุด
เหลียนฟางโจวค่อนข้างประหลาดใจ ผืนดินด้านข้างหมู่ตึกเป็นพื้นที่ราบต่ำ
ดังนั้นตอนที่เธอซื้อที่ดินผืนนี้มา ทีแรกเธอไม่ได้ซื้อพร้อมมากับที่ดินผืนใหญ่
ทว่า หลี่ชื่อกล่าวถูกต้อง พื้นที่ตรงนี้เหมาะจะทำการถางพรวนเพื่อปลูกพืชผักสวนครัวจริงๆด้วย
ที่ดินแปลงเล็กเพียงหนึ่งหมู่ข้างมุมหมู่ตึก แค่ถางพอเป็นพิธีก็ใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนพิถีพิถันอันใดเลย
มิหนำซ้ำ หลี่ชื่อเตือนเธอได้ถูกที่ถูกเวลามาก ดูเหมือนว่าเธอก็กำลังดูรอบๆแถบนี้อยู่เหมือนกันว่ามีพื้นที่รกร้างตรงไหนเหมาะจะทำเป็นแปลงผักสวนครัวได้บ้าง
ภายภาคหน้าจะมีคนมาอยู่เพิ่มมากขึ้น ผักที่บ่าวไพร่ต้องบริโภคในแต่ละวันนับว่าไม่น้อยเลย!
“เหมาะสมสิ”
เหลียนฟางโจวพยักหน้ายิ้มๆ “เช่นนั้น...ก็ถางเถิด พวกเจ้ามีเวลาเมื่อใด ก็ลงมือทำได้เลย! บ่ายนี้ข้าจะสั่งให้คนส่งเครื่องมือเพาะปลูกมาให้ เจ้าพร้อมเมื่อไร จงบอกข้า ข้าจะให้เมล็ดพันธุ์ผักเจ้าไปปลูกอีกที!”
เหลียนชื่อยิ้มรับอย่างเบิกบานใจ
“พวกเจ้าไปทำงานที่คั่งค้างต่อเถิด! อาหารสามมื้อต่อวันล้วนเป็นความรับผิดชอบของพวกเจ้าแม่ลูกแล้ว!
ส่วนงานจิปาถะที่น้าจาง...สามีเจ้าทำอยู่นี่ ถือเป็นงานชั่วคราว!
ภายหน้าข้าจะมอบหมายหน้าที่ให้เขาใหม่ด้วย!” เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้นอีกครา
หลี่ชื่อน้อมรับคำสั่งทั้งหมด
ครั้นแล้วจึงพาบุตรสาวไปเริ่มทำอาหารมื้อกลางวัน เหลียนฟางโจวกับเหลียนเซ่อ
ให้จางเสี่ยวจุนตามไปขนไม้ฟืนและแกลบมาที่หมู่ตึกนี้อีกสองสามคันรถ
แล้วให้กองเอาไว้เป็นกองใหญ่สองสามกองในลานข้างเรือนพักตนเอง
เพื่อสะดวกในการขนไปใช้งานด้วย
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
ตกตอนเย็น ที่บ้านหญิงสาวมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน เขาคือบุตรชายคนเดียวของเหลียนลี่และเฉียวซื่อ
นามว่าเหลียนไห่ เขาคือถางซยง(ญาติชายผู้พี่ทางฝั่งบิดา) ของเหลียนฟางโจวและน้องๆ เขาทำให้คนทั้งบ้านรู้สึกแปลกใจครั้งใหญ่
เหลียนไห่แก่กว่าเหลียนฟางโจวสามปี รูปร่างสูงโปร่งทีเดียว เมื่อมองที่หน้าผากและหว่างคิ้วของชายหนุ่ม ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายของบัณฑิตจางๆ
ยามดวงตาดำยาวรีของชายหนุ่มทอดมองผู้คน ดูอบอุ่นเปี่ยมด้วยเมตตานัก
กลิ่นอายเมตตากรุณานี้ทำให้เขาดูสงบเยือกเย็นต่อผู้คนที่ได้พบ
ชายหนุ่มแต่งกายในชุดสีเขียวคราม สวมรองเท้าผ้าหุ้มข้อสีดำ
ในมือถือกล่องของฝากเล็กๆสองกล่อง ท่าทางผ่อนคลาย รอยยิ้มและท่าทางการพูดของชายหนุ่มดูเมตตาเป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด
เหลียนฟางโจวและน้องๆพากันนิ่งอึ้งไปทั้งหมด
“อาสาม! ฟางโจว อาเซ่อ เช่อเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์!” เหลียนไห่แย้มยิ้ม ขณะขานนามของแต่ละคน “ วันนี้ข้ากลับมา หลังจากเล่าเรียนอย่างหนัก
จึงเพิ่งจะว่างมาเยี่ยมพวกเจ้า!”
เหลียนเช่อและเหลียนฟางฉิงไม่พูดอันใด
ต่างหันไปมองเหลียนฟางโจวโดยไม่รู้ตัว ส่วนเหลียนเซ่อ บนใบหน้าปรากฏแววระแวดระวังเต็มเปี่ยม
เหลียนฟางโจวอึกอักสองจิตสองใจ ป้าสามดูโง่งมไปเลย พลางเปล่งเสียง “อ้อ”
แล้วปั้นหน้าแย้มยิ้ม “ไช่จื่อ (บัณฑิตผู้เปี่ยมพรสวรรค์)
ผู้ยิ่งใหญ่กลับมาแล้วสินะ! รบกวนนัก ต้องให้ไช่จื่อผู้ยิ่งใหญ่มาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองเสียแล้ว
ข้าจะกล้ามีคำติเตียนได้อย่างไรเล่า!”
“อาสาม ท่านกล่าวหนักไปแล้ว
ตัวข้าละอายใจนัก ไม่กล้าสู้หน้าแล้ว!” เหลียนไห่มีสีหน้าค่อนข้างกระอักกระอ่วนใจ ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงต่ำ
พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้า...ข้าสามารถนั่งได้หรือไม่?”
ป้าสามเห็นชายหนุ่มเหน็บตนเองเล็กๆ ทว่าก็มิได้รู้สึกขัดเคืองอันใด
พลางอึ้งไปอย่างอดไม่ได้
ส่วนเหลียนฟางโจวก็ออกจะผิดคาดเล็กน้อยในใจด้วย
สถานการณ์เช่นนี้ อาเจี่ยนมักไม่เข้าไปร่วมวงด้วย ชายหนุ่มเพียงทำตัวดุจมนุษย์ล่องหน
นั่งเงียบๆไร้สุ้มเสียงอยู่อีกมุมหนึ่ง
‘นี่มันผีห่าซานตานอันใดกัน!’ เหลียนฟางโจวรำพึงอยู่ในอก เพียงได้ยินผู้อื่นถามมาเช่นนี้แล้ว
เธอก็ไม่อาจทำตัวห่างเหินเกินไปได้อีก เหนืออื่นใด ผู้อื่นมีแววว่าอาจได้เป็นซิ่วไฉ
(บัณฑิตผู้ผ่านการสอบของราชสำนักในระดับอำเภอ) ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ไหนแต่ไรมา
หมู่บ้านต้าฝางยังไม่เคยมีใครสอบผ่านได้เป็นซิ่งไฉสักคนเดียวเลยนะ!
เมื่อมองประเด็นนี้ ยามเหลียนไห่แสดงท่าทีมาดีเช่นนี้
เหลียนฟางโจวจึงไม่อาจตั้งป้อมเป็นปฏิปักษ์กับเขาได้
ทว่า เธอก็ไม่โง่งมพอจะแสดงท่าทีต้อนรับเขาอย่างเต็มใจ หญิงสาวเพียงพูดจาสุภาพตามมรรยาทเท่านั้น!
แม้ว่าเธอจะจำเรื่องในอดีตไม่ได้เลยก็ตาม
ทว่าพอเห็นปฏิกิริยาตอบโต้ของเหลียนเซ่อ ก็พอจะรู้ได้
ชัดเจนว่าเหลียนไห่และพวกเธอพี่น้องหาได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอันใดไม่ ทว่า
ก็ไม่ถึงขั้นเลวร้ายแบบเหลียนลี่และเฉียวซื่อ
“ถางซยง (ญาติชายผู้พี่ทางฝั่งบิดา) พูดให้หัวเราะแล้ว!” เหลียนฟางโจวจึงลุกขึ้นยืนเอ่ยแย้มยิ้ม เหลียนเซ่อพร้อมทั้งคนอื่นๆจึงลุกขึ้นยืนตามไปด้วย
“พวกเราคนกันเอง ฟางโจว พวกเจ้า
ไม่ต้องมากพิธีไป!” เหลียนไห่ยิ้มให้ ขณะทรุดตัวลงนั่ง
ครั้นแล้วจึงยื่นของฝากมาให้ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สองกล่องนี้ หนึ่งกล่องคือขนมขบเคี้ยวและอีกหนึ่งคือชุดเครื่องเขียน
ที่ข้าได้หาซื้อมาจากในเมือง ข้ารู้ว่ายามนี้พวกเจ้าหาได้ขาดแคลนเงินทองใช้สอย นี่นับเป็นของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆจากใจข้าเอง!”
ถ้อยคำนี้น่าสนใจยิ่ง
------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการติดตามค่ะ ^_^
รู้สึกควันกรุ่น ๆ ว่าต่อไปแม่นางน้อยซิ่วเอ๋อร์คงก่อเรื่องวุ่นวายกับอาเจี่ยนเป็นแน่
ตอบลบนี้ปัญหามาอีกแล้ว รอบหน้าคงไม่ง่าย ดูฉลาดร้ายลึก
ตอบลบญาติผู้นี้ไม่น่าไว้ใจพ่อแม่เป็นไงลูกก็น่าจะร้ายไม่แพ้กัน
ตอบลบบทที่ 200 แล้ว เย่ ขอบคุณมากๆค่ะ
ตอบลบมาแบบนี้ทำเอาฟางโจไปไม่ถูกเลย แต่นั่นแหล่พอแม่ยังไงลูกก็คงไม่ต่าง
ตอบลบมาถึงบท๒๐๐ แล้ว ขอบคุณผู้แปลมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณผู้แปลมาก ๆ เลยนะคะ สำหรับความสุขที่มอบให้แก่ทุก ๆ คนที่อ่านเรื่องนี้
ตอบลบขอบคุณค่ะ อยากรู้ตอนต่อไปแล้วค่ะพ่อแม่เป็นแบบไหนลูกไม้ก็คงหล่นไม่ไกลต้นละน่าแล้วยิ่งมีความรู้มากก็ยิ่งรู้จักเล่ห์กลมากไปอีก
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบอ่านมาจนถึง200ตอนแล้วรู้สึกเหมือนสร้างตัวไปพร้อมๆฟางโจวเลย ขอบคุณไรท์นะคะ
ตอบลบยิ่งมาแบบนี้ยิ่งต้องระวัง ญาติที่แสนจะน่ากลัว
ตอบลบมาถึงพูดเรื่องเงิน มันต้องไม่ได้มาดีแน่เลยค่ะซิสฟางโจวววว
ตอบลบขอบคุณค่ะไรท์