มิจำเป็นต้องเหลียวหลังไปมอง,เหลียนฟางโจวฉลาดพอจะรับรู้ว่าเมื่อสิ้นเสียงแปร่งๆของหวางซาน
ย่อมมีสายตาหลายคู่ลอบดูอยู่ ซึ่งบ้างก็เสมองไปทางอื่น บ้างก็ไม่สนใจเพราะมัวแต่สาละวนกับงานในมือ
บ้างก็คล้ายรอดูฉากสนุกตรงหน้าที่ฝั่งนี้
“ย่อมได้แน่นอน” สีหน้าเหลียนฟางโจวเรียบสนิท ทั้งท่าทางหรือน้ำเสียงก็เป็นไปในทางเดียวกัน
หญิงสาวคว้าจอบในมือหวางซานมา
ขณะที่สายตาจับจ้องหน้าบ่าวชายเขม็ง จากนั้นผู้เป็นนายก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะสอนเจ้าเอง ดูให้ดีๆล่ะ”
“อะ อา !” หวางซานเลิกคิ้วขึ้น แต่ปากยังแย้มยิ้มยินดี คล้ายทำทีว่าตนเองให้ความเคารพผู้เป็นนาย เขาค้อมเอวและคงอยู่ในท่านั้น ทว่าดวงตากลับไม่นิ่ง คอยกลอกมองไปทางนั้นทีทางนี้ทีไม่หยุด ซ้ำมีประกายประหลาดวาบผ่านดวงตาวูบหนึ่ง
เหลียนฟางโจวพยักหน้าให้และมิได้เอื้อนเอ่ยอันใดต่อ หญิงสาวเริ่มลงมือสาธิตวิธีการอย่างชำนาญแคล่วคล่อง
“ฝีมือคุณหนูร้ายกาจแท้ ! ยอดเยี่ยมจริงๆ !
มิคาดว่าคุณหนูจะชำนาญงานในไร่เช่นนี้
ช่างหายากนัก หายากจริงๆ !” เหลียนฟางโจวยังคงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนักแน่นมั่นคงไปเรื่อยๆ ส่วนหวางซานก็คอยยืนส่งเสียงโห่ร้องชื่นชมอยู่ข้างๆ
ท่าทางการพูดที่ตั้งใจให้ดูเกินจริง
ไฉนฟังแล้วดูคล้ายกล่าวเล่นๆเสียมากกว่า
บางทีเพราะหวางซานลองหยั่งเชิงเธอ แล้วเหลียนฟางโจวมิใด้ตำหนิเขา ความกล้าของบรรดาบ่าวไพร่จึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
พอสิ้นเสียงหวางซาน ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นประปราย
มิหนำซ้ำมีบางคนเอ่ยขึ้นมาอย่างเห็นขัน “หวางซาน เจ้าประจบคุณหนูให้น้อยๆหน่อยเถอะ
! ปากหวานปานนี้ คงปาดน้ำผึ้งมาละสิ!”
หวางซานหลิ่วตาให้คนพูด พร้อมหัวเราะฮาฮาโต้กลับ
“ปากข้าจะปาดน้ำผึ้งมาหรือไม่ พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?
พอสิ้นเสียง ทุกคนต่างส่งเสียงหัวเราะกันครืน
ที่แปลงเพาะปลูกอีกด้านหนึ่ง ฉินเฟิงและซูจื่อจี้ได้ยินเสียงหัวเราะที่ไร้ความยำเกรงดังลั่นเต็มสองหู
ทั้งสองคนอดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้ ต่างเลื่อนสายตาไปมองเหลียนฟางโจว พอเห็นว่าหญิงสาวทำราวกับมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับคนพวกนั้น คนทั้งคู่จึงมิได้พูดอะไรออกมา
ทั้งสองได้แต่สบตากัน และบังเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาพร้อมกัน ไม่รู้ว่ามันผู้ใดชอบรนหาที่ ช่างไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเลย
!
เหลียนฟางโจวหันไปเผชิญหน้ากับบรรดาบ่าวไพร่ที่กำลังหัวเราะ หญิงสาวทำราวกับตนเป็นคนหูหนวก มิได้ยินเสียงหัวเราะขำขันครื้นเครงนั่น หญิงสาวเพียงหันไปถามหวางซานด้วยเสียงเรียบเรื่อย
“ข้าเพิ่งสอนเจ้าไปเมื่อครู่ เจ้าทำได้หรือไม่
?”
“อ๊ะ บ่าวโง่เขลายิ่งนัก ยังเห็นไม่ชัดนัก คุณหนูจะกรุณาสอนบ่าวอีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ?” หวางซานเห็นเหลียนฟางโจวพูดดีด้วย ก็ชักย่ามใจมากขึ้น
เขาล่อหลอกเหลียนฟางโจวผู้อ่อนวัยได้ถึงเพียงนี้ ดูท่า รูปร่างหน้าตาตนเองคงดูดีไม่ใช่ย่อย
จู่ๆบ่าวหนุ่มก็บังเกิดความคิดฝันเฟื่องขึ้นมา พลางนึกครึ้มอกครึ้มใจว่า ชะรอยแม่นางน้อยผู้นี้คงเริ่มสนใจเพศตรงข้ามขึ้นมาแล้วกระมัง
ไม่เช่นนั้นอะไรๆคงไม่ง่ายดายเพียงนี้? และบางทีแม่นางน้อยอาจมีใจให้ตนเข้าแล้ว มิเช่นนั้นนางจะดูเป็นมิตรถึงปานนี้ได้อย่างไร...
ขณะที่เขากำลังคิดเพลินๆ เหลียนฟางโจวก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรทีเดียว
“ได้ เช่นนั้นแล้วข้าจะสอนเจ้าอีกครั้ง ! เจ้าคอยดูให้ดีๆล่ะ แล้วเดี๋ยวค่อยลองทำดู”
“อ๊ะๆ !” หวางซานเกาศีรษะตนเองคล้ายงุนงง ครั้นแล้วจึงค้อมศีรษะปลกๆ
พลางหัวเราะแหะๆเป็นเชิงรับคำ
เหลียนฟางโจวอธิบายวิธีการให้หวางซานฟังอย่างละเอียดละออขณะที่สาธิตไปด้วย
หวางซานทำท่าท่างคล้ายกำลังฟังอย่างตั้งใจ ทว่าจริงๆแล้วดวงตาเรียวรีคู่นั้นกลับกลอกไปมาไม่หยุด
พลางจงใจยักคิ้วหลิ่วตาทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อนซึ่งอยู่ใกล้ๆ
เย้าแหย่จนเพื่อนๆหัวเราะกันคิกคัก แต่บางคนก็นิ่วหน้าไม่ชอบใจยามเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา
เหลียนฟางโจวเหลือบมองขึ้นคราหนึ่งโดยไม่พูดอะไร พลางแค่นเสียงในใจว่า ข้า..คุณหนูใหญ่กำลังคิดมองหาไก่มาเชือดให้ลิงดูพอดีเลย
ทว่าตัวเจ้าดันพาตัวเองมารนหาที่แท้ๆ จะมาตำนิข้าไม่ได้ล่ะ
!
“เอาล่ะ เจ้ามาลองทำดูสิ !” เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้นขณะส่งจอบไปให้หวางซาน
เมื่อหวางซานเห็นนางยื่นจอบส่งมา จึงยื่นมือไปรับพลางร้อง “อ๊ะ” แล้วแสร้งทำเป็นจับจอบมาฟันลงดินสองสามครา
ครั้นแล้วก็ทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนู บ่าวลองทำดูแล้ว..บ่าวก็ยังทำไม่เป็นอยู่ดี
คุณหนูสามารถ...”
เหลียนฟางโจวไม่คอยให้เขาพูดจบ เธอก็ชิงพูดตัดบทน้ำเสียงค่อนข้างกระด้าง คิ้วของหญิงสาวขมวดน้อยๆขณะเอื้อนเอ่ย “ข้าสอนเจ้าอย่างช้าๆและละเอียดถึงสองรอบมิใช่หรือ? เจ้าโง่งมมาแต่เกิด หรือไม่ตั้งใจเรียนกันแน่? ข้าจะสอนเจ้าอีกรอบ ครั้งนี้เบิ่งตาดูให้ดีๆล่ะ !”
พอเหลียนฟางโจวกล่าวจบ ไม่รู้ว่าใครในพวกบ่าวไพร่ที่คอยดูฉากตรงหน้าอย่างครื้นเครงอยู่
ระบิดหัวเราะออกมาดังลั่น “ฮ่าๆๆ”
เหลียนฟางโจวหาได้สนใจไม่ ส่วนหวางซานมีสีหน้าแย่ลงไปนิดหนึ่ง
“ดูให้ดีนะ !” เหลียนฟางโจวสาธิตให้ดูอีกครั้ง
จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา สายตาเรียบนิ่งของหญิงสาวจ้องเขาเขม็ง พลางเอ่ยขึ้น “ทำได้หรือไม่? ถ้ายังขอให้ข้าทำให้ดูอีกครั้งล่ะก็
เจ้าก็ต้องเป็นคนโง่งมขนานแท้เลยใช่หรือไม่เล่า?”
หวางซานตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าเหลียนฟางโจวที่เขาคิดว่าเป็นคนพูดจาดีมาตลอด
จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
ในขณะที่คนรอบข้างทำเป็นหรุบตาไม่มองมา แต่ใบหน้ากลับปรากฏแววยินดีในหายนะของผู้อื่นฉายชัด
ใบหน้าหวางซานพลันขึ้นสีแดงก่ำทันใด ทั้งอับอายและโกรธขึ้ง
“คุณหนู ที่ผ่านมาบ่าวไม่เคยทำงานในไร่มาก่อน ไม่เคยเลยสักนิด ขอร้องคุณหนูหางานอื่นให้บ่าวทำเถิดขอรับ!” หวางซานเอ่ยขึ้นอย่างมีโทสะ
เขาแสร้งทำเป็นย่ำเท้าด้วยความโมโหเพื่อเป็นการหยั่งเชิง และสำรวจพื้นอารมณ์ของผู้เป็นนาย แต่อารมณ์ที่เรียบนิ่งของเหลียนฟางโจวทำให้ความกล้าของเขาทวีขึ้นมาก
ซ้ำยังสบประมาทหญิงสาวมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดสีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนให้เห็นจนได้
และเกินกว่าที่หวางซานคาดการณ์ไว้มหาศาลนัก
จนเขารู้สึกได้ว่าไม่อาจแบกรับได้
เหลียนฟางโจวจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ตะคอกเสียงลั่น “คุกเข่า !”
หวางซานสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ตะลึงงันจ้องเหลียนฟางโจวตาค้าง
เขาไม่ยอมคุกเข่าแน่ๆ
บรรดาบ่าวไพร่ที่ทำงานอยู่อีกด้าน ต่างลอบชำเลืองมองอย่างอกสั่นขวัญหาย ต่างหยุดงานในมือลงโดยไม่รู้ตัว คล้ายอึ้งงันไปกับภาพเหตุการณ์ที่ฝั่งนี้
“ข้าบอกให้เจ้าคุกเข่า ไม่ได้ยินรึ?” เหลียนฟางโจวเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงเย็นเยียบ
“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นขอรับ !” ฉินเฟิงและซูจื่อจี้ซึ่งคอยเมียงมองมาทางฝั่งนี้เป็นระยะๆ
ได้ค้นพบความผิดปกติขึ้น จึงรีบรุดเข้ามาโดยไว
ซ้ำฉินเฟิงได้ร้องเรียกอาเจี่ยนให้ตามมาอีกด้วย
ปกติเหลียนฟางโจวมิใช่คนเจ้าอารมณ์ ยามที่อาเจี่ยนเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาอดเหลือบมองเหลียนฟางโจวไม่ได้ ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ข้างๆหญิงสาวโดยไม่กล่าวอันใด
หวางซานเห็นผู้คนพากันมา ก็พลันใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ
กระนั้นกลับแสดงท่าทีไม่ยี่หระขัดกับความรู้สึกภายใน
เขาที่แสดงออกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกกลั่นแกล้ง
ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “คุณหนู บ่าวไม่รู้ ไม่ถนัดงานในไร่ในนาสักนิดเลยจริงๆ
! เพื่อบังคับบ่าวให้ทำงานนี้
คุณหนูถึงกับตะคอกดุด่าบ่าว จะให้บ่าวคุกเข่า ในใจบ่าวไม่ยอมรับขอรับ ทุกคนในที่นี่ก็ล้วนเห็นกับตากันทั้งนั้นว่าอะไรเป็นอะไร
!”
เหลียนฟางโจวหันไปทางฉินเฟิง “หัวหน้าฉินเฟิง เรียกข้าทาสทุกๆคนมาให้หมด!”
ฉินเฟิงผงกศีรษะรับคำ ไม่คอยให้เขาสั่งการ บ่าวไพร่บางคนก็ตะโกนเรียกพรรคพวกเสียงขรมแล้ว
ต่างคนต่างละทิ้งงานในมือ พากันรีบรุดเข้ามาตามคำสั่ง
เพียงครู่เดียว ข้าทาสทั้งหมดสิบคนก็เข้ามายืนล้อมเป็นวงกลม
เหลียนฟางโจวตะคอกใส่หวางซานเสียงเฉียบ “คุกเข่า !”
หวางซานเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าที่แดงก่ำอยู่นั้น
เปลี่ยนเป็นซีดขาว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ
เขาหันใบหน้าเย็นชาไปด้านข้าง พลางหรุบตาลงต่ำ อันเป็นการประท้วงเงียบ
เหลียนฟางโจวหาได้วิตกอันใด หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น พลางแค่นเสียงใส่ “ทำไม ? ข้าเป็นนาย ข้าสั่งเจ้าซึ่งเป็นทาสมิได้รึ?”
หวางซานแค่นเสียงเบาๆ เอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน
“บ่าวไม่รู้ว่าตัวเองมีความผิดที่ตรงไหน โปรดชี้แจงให้กระจ่างด้วยขอรับ !”
เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ามิจำเป็นต้องชี้แจงเหตุผลให้ทาสอย่างเจ้าฟัง
ข้าให้เจ้าคุกเข่า เจ้าก็ต้องคุกเข่า! ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะยอมคุกเข่าดีๆหรือไม่ !”
หวางซานไม่นึกเลยว่าเหลียนฟางโจวจะโหดนัก ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ทว่าจะให้เขายอมแพ้เช่นนี้ เขาจะเป็นฝ่ายยอมพ่ายแพ้ต่อคนผู้นี้ได้อย่างไร ?
----------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
ต้องขออภัยที่อัฟช้าอีกแล้ว พอดีมีงานด่วนเข้ามาค่ะ
สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ ^_^
ขอบคุณค่ะ สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะไรท์
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบขอบคุณค่ะ ท่าทางหวังซานจะโดนหนัก
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขายทิ้งเลย
ตอบลบใช้งานไม่ได้ขายไปชายแดนยอมขาดทุน เชือดไก่ให้ลิงดู ดูสิ มันจะเอาชีวิตรอดยังไง
ตอบลบไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาซะแล้ว
ตอบลบขอบคุณค่ะ
เห็นเจ้านายดีก็ไม่เคารพได้มาอยู่กับฟางโจวถือว่าโชคดีมากทาสแบบนี้ขายทิ้งไปเลย
ตอบลบขายทิ้งเลย
ตอบลบถูกขายทิ้งแหงเลย เฮ้อ...การขายมนุษย์บางครั้งก็จำเป็น
ตอบลบเข้มข้นมากเลยค่ะ
ตอบลบขอให้มีความสุขทุกคืนวันค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
บังอาจลบหลู่เจ้านาย!!
ตอบลบขายทิ้งเหอะ ดูแล้วไม่สำนึกเก็บไว้จะเป็นหอกข้างแคร่
ตอบลบ