วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 202 กำราบบ่าวเจ้าเล่ห์ 1


มิจำเป็นต้องเหลียวหลังไปมอง,เหลียนฟางโจวฉลาดพอจะรับรู้ว่าเมื่อสิ้นเสียงแปร่งๆของหวางซาน  ย่อมมีสายตาหลายคู่ลอบดูอยู่  ซึ่งบ้างก็เสมองไปทางอื่น  บ้างก็ไม่สนใจเพราะมัวแต่สาละวนกับงานในมือ  บ้างก็คล้ายรอดูฉากสนุกตรงหน้าที่ฝั่งนี้
“ย่อมได้แน่นอน” สีหน้าเหลียนฟางโจวเรียบสนิท  ทั้งท่าทางหรือน้ำเสียงก็เป็นไปในทางเดียวกัน
หญิงสาวคว้าจอบในมือหวางซานมา  ขณะที่สายตาจับจ้องหน้าบ่าวชายเขม็ง จากนั้นผู้เป็นนายก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะสอนเจ้าเอง ดูให้ดีๆล่ะ”

 “อะ อา !” หวางซานเลิกคิ้วขึ้น แต่ปากยังแย้มยิ้มยินดี  คล้ายทำทีว่าตนเองให้ความเคารพผู้เป็นนาย  เขาค้อมเอวและคงอยู่ในท่านั้น ทว่าดวงตากลับไม่นิ่ง  คอยกลอกมองไปทางนั้นทีทางนี้ทีไม่หยุด   ซ้ำมีประกายประหลาดวาบผ่านดวงตาวูบหนึ่ง
เหลียนฟางโจวพยักหน้าให้และมิได้เอื้อนเอ่ยอันใดต่อ  หญิงสาวเริ่มลงมือสาธิตวิธีการอย่างชำนาญแคล่วคล่อง
 “ฝีมือคุณหนูร้ายกาจแท้ !  ยอดเยี่ยมจริงๆ !  มิคาดว่าคุณหนูจะชำนาญงานในไร่เช่นนี้  ช่างหายากนัก หายากจริงๆ !” เหลียนฟางโจวยังคงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนักแน่นมั่นคงไปเรื่อยๆ ส่วนหวางซานก็คอยยืนส่งเสียงโห่ร้องชื่นชมอยู่ข้างๆ  ท่าทางการพูดที่ตั้งใจให้ดูเกินจริง ไฉนฟังแล้วดูคล้ายกล่าวเล่นๆเสียมากกว่า
บางทีเพราะหวางซานลองหยั่งเชิงเธอ แล้วเหลียนฟางโจวมิใด้ตำหนิเขา  ความกล้าของบรรดาบ่าวไพร่จึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย  พอสิ้นเสียงหวางซาน  ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นประปราย
มิหนำซ้ำมีบางคนเอ่ยขึ้นมาอย่างเห็นขัน “หวางซาน เจ้าประจบคุณหนูให้น้อยๆหน่อยเถอะ ! ปากหวานปานนี้  คงปาดน้ำผึ้งมาละสิ!”
 หวางซานหลิ่วตาให้คนพูด  พร้อมหัวเราะฮาฮาโต้กลับ “ปากข้าจะปาดน้ำผึ้งมาหรือไม่  พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน? 
           ฮ่าๆ บางทีวันนี้ตอนเช้าก่อนเจ้าตื่น เขาคงชิมมันดูแล้วมั้ง!” มีบ่าวคนหนึ่งพูดขึ้นอีก
พอสิ้นเสียง ทุกคนต่างส่งเสียงหัวเราะกันครืน
ที่แปลงเพาะปลูกอีกด้านหนึ่ง ฉินเฟิงและซูจื่อจี้ได้ยินเสียงหัวเราะที่ไร้ความยำเกรงดังลั่นเต็มสองหู   ทั้งสองคนอดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้  ต่างเลื่อนสายตาไปมองเหลียนฟางโจว  พอเห็นว่าหญิงสาวทำราวกับมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับคนพวกนั้น   คนทั้งคู่จึงมิได้พูดอะไรออกมา
ทั้งสองได้แต่สบตากัน และบังเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาพร้อมกัน  ไม่รู้ว่ามันผู้ใดชอบรนหาที่ ช่างไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเลย !
            เหลียนฟางโจวหันไปเผชิญหน้ากับบรรดาบ่าวไพร่ที่กำลังหัวเราะ  หญิงสาวทำราวกับตนเป็นคนหูหนวก มิได้ยินเสียงหัวเราะขำขันครื้นเครงนั่น  หญิงสาวเพียงหันไปถามหวางซานด้วยเสียงเรียบเรื่อย “ข้าเพิ่งสอนเจ้าไปเมื่อครู่  เจ้าทำได้หรือไม่ ?”
“อ๊ะ บ่าวโง่เขลายิ่งนัก ยังเห็นไม่ชัดนัก  คุณหนูจะกรุณาสอนบ่าวอีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ?” หวางซานเห็นเหลียนฟางโจวพูดดีด้วย ก็ชักย่ามใจมากขึ้น
เขาล่อหลอกเหลียนฟางโจวผู้อ่อนวัยได้ถึงเพียงนี้  ดูท่า รูปร่างหน้าตาตนเองคงดูดีไม่ใช่ย่อย  จู่ๆบ่าวหนุ่มก็บังเกิดความคิดฝันเฟื่องขึ้นมา  พลางนึกครึ้มอกครึ้มใจว่า ชะรอยแม่นางน้อยผู้นี้คงเริ่มสนใจเพศตรงข้ามขึ้นมาแล้วกระมัง ไม่เช่นนั้นอะไรๆคงไม่ง่ายดายเพียงนี้? และบางทีแม่นางน้อยอาจมีใจให้ตนเข้าแล้ว  มิเช่นนั้นนางจะดูเป็นมิตรถึงปานนี้ได้อย่างไร...
ขณะที่เขากำลังคิดเพลินๆ เหลียนฟางโจวก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรทีเดียว “ได้ เช่นนั้นแล้วข้าจะสอนเจ้าอีกครั้ง !  เจ้าคอยดูให้ดีๆล่ะ  แล้วเดี๋ยวค่อยลองทำดู”
 “อ๊ะๆ !” หวางซานเกาศีรษะตนเองคล้ายงุนงง ครั้นแล้วจึงค้อมศีรษะปลกๆ  พลางหัวเราะแหะๆเป็นเชิงรับคำ
เหลียนฟางโจวอธิบายวิธีการให้หวางซานฟังอย่างละเอียดละออขณะที่สาธิตไปด้วย
หวางซานทำท่าท่างคล้ายกำลังฟังอย่างตั้งใจ   ทว่าจริงๆแล้วดวงตาเรียวรีคู่นั้นกลับกลอกไปมาไม่หยุด  พลางจงใจยักคิ้วหลิ่วตาทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อนซึ่งอยู่ใกล้ๆ  เย้าแหย่จนเพื่อนๆหัวเราะกันคิกคัก  แต่บางคนก็นิ่วหน้าไม่ชอบใจยามเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา
เหลียนฟางโจวเหลือบมองขึ้นคราหนึ่งโดยไม่พูดอะไร พลางแค่นเสียงในใจว่า  ข้า..คุณหนูใหญ่กำลังคิดมองหาไก่มาเชือดให้ลิงดูพอดีเลย  ทว่าตัวเจ้าดันพาตัวเองมารนหาที่แท้ๆ  จะมาตำนิข้าไม่ได้ล่ะ !
 “เอาล่ะ เจ้ามาลองทำดูสิ !” เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้นขณะส่งจอบไปให้หวางซาน
เมื่อหวางซานเห็นนางยื่นจอบส่งมา จึงยื่นมือไปรับพลางร้อง “อ๊ะ” แล้วแสร้งทำเป็นจับจอบมาฟันลงดินสองสามครา  ครั้นแล้วก็ทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู  บ่าวลองทำดูแล้ว..บ่าวก็ยังทำไม่เป็นอยู่ดี คุณหนูสามารถ...”
เหลียนฟางโจวไม่คอยให้เขาพูดจบ เธอก็ชิงพูดตัดบทน้ำเสียงค่อนข้างกระด้าง  คิ้วของหญิงสาวขมวดน้อยๆขณะเอื้อนเอ่ย “ข้าสอนเจ้าอย่างช้าๆและละเอียดถึงสองรอบมิใช่หรือ? เจ้าโง่งมมาแต่เกิด หรือไม่ตั้งใจเรียนกันแน่? ข้าจะสอนเจ้าอีกรอบ ครั้งนี้เบิ่งตาดูให้ดีๆล่ะ !”
พอเหลียนฟางโจวกล่าวจบ   ไม่รู้ว่าใครในพวกบ่าวไพร่ที่คอยดูฉากตรงหน้าอย่างครื้นเครงอยู่ ระบิดหัวเราะออกมาดังลั่น “ฮ่าๆๆ”
เหลียนฟางโจวหาได้สนใจไม่ ส่วนหวางซานมีสีหน้าแย่ลงไปนิดหนึ่ง
 “ดูให้ดีนะ !”  เหลียนฟางโจวสาธิตให้ดูอีกครั้ง  จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา  สายตาเรียบนิ่งของหญิงสาวจ้องเขาเขม็ง  พลางเอ่ยขึ้น  “ทำได้หรือไม่?  ถ้ายังขอให้ข้าทำให้ดูอีกครั้งล่ะก็  เจ้าก็ต้องเป็นคนโง่งมขนานแท้เลยใช่หรือไม่เล่า?”
หวางซานตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าเหลียนฟางโจวที่เขาคิดว่าเป็นคนพูดจาดีมาตลอด จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
ในขณะที่คนรอบข้างทำเป็นหรุบตาไม่มองมา แต่ใบหน้ากลับปรากฏแววยินดีในหายนะของผู้อื่นฉายชัด ใบหน้าหวางซานพลันขึ้นสีแดงก่ำทันใด   ทั้งอับอายและโกรธขึ้ง
“คุณหนู  ที่ผ่านมาบ่าวไม่เคยทำงานในไร่มาก่อน ไม่เคยเลยสักนิด  ขอร้องคุณหนูหางานอื่นให้บ่าวทำเถิดขอรับ!” หวางซานเอ่ยขึ้นอย่างมีโทสะ
เขาแสร้งทำเป็นย่ำเท้าด้วยความโมโหเพื่อเป็นการหยั่งเชิง  และสำรวจพื้นอารมณ์ของผู้เป็นนาย แต่อารมณ์ที่เรียบนิ่งของเหลียนฟางโจวทำให้ความกล้าของเขาทวีขึ้นมาก  ซ้ำยังสบประมาทหญิงสาวมากขึ้นเรื่อยๆ   ในที่สุดสีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนให้เห็นจนได้  และเกินกว่าที่หวางซานคาดการณ์ไว้มหาศาลนัก   จนเขารู้สึกได้ว่าไม่อาจแบกรับได้
เหลียนฟางโจวจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ตะคอกเสียงลั่น “คุกเข่า !
หวางซานสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ   ตะลึงงันจ้องเหลียนฟางโจวตาค้าง
เขาไม่ยอมคุกเข่าแน่ๆ
บรรดาบ่าวไพร่ที่ทำงานอยู่อีกด้าน ต่างลอบชำเลืองมองอย่างอกสั่นขวัญหาย  ต่างหยุดงานในมือลงโดยไม่รู้ตัว  คล้ายอึ้งงันไปกับภาพเหตุการณ์ที่ฝั่งนี้
 “ข้าบอกให้เจ้าคุกเข่า ไม่ได้ยินรึ?” เหลียนฟางโจวเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงเย็นเยียบ
 “คุณหนู เกิดอะไรขึ้นขอรับ !”  ฉินเฟิงและซูจื่อจี้ซึ่งคอยเมียงมองมาทางฝั่งนี้เป็นระยะๆ ได้ค้นพบความผิดปกติขึ้น  จึงรีบรุดเข้ามาโดยไว   ซ้ำฉินเฟิงได้ร้องเรียกอาเจี่ยนให้ตามมาอีกด้วย
ปกติเหลียนฟางโจวมิใช่คนเจ้าอารมณ์  ยามที่อาเจี่ยนเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้  เขาอดเหลือบมองเหลียนฟางโจวไม่ได้  ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ข้างๆหญิงสาวโดยไม่กล่าวอันใด
หวางซานเห็นผู้คนพากันมา  ก็พลันใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ   กระนั้นกลับแสดงท่าทีไม่ยี่หระขัดกับความรู้สึกภายใน   เขาที่แสดงออกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกกลั่นแกล้ง ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ  “คุณหนู บ่าวไม่รู้ ไม่ถนัดงานในไร่ในนาสักนิดเลยจริงๆ !   เพื่อบังคับบ่าวให้ทำงานนี้ คุณหนูถึงกับตะคอกดุด่าบ่าว  จะให้บ่าวคุกเข่า  ในใจบ่าวไม่ยอมรับขอรับ  ทุกคนในที่นี่ก็ล้วนเห็นกับตากันทั้งนั้นว่าอะไรเป็นอะไร !”
เหลียนฟางโจวหันไปทางฉินเฟิง “หัวหน้าฉินเฟิง เรียกข้าทาสทุกๆคนมาให้หมด!”
ฉินเฟิงผงกศีรษะรับคำ ไม่คอยให้เขาสั่งการ  บ่าวไพร่บางคนก็ตะโกนเรียกพรรคพวกเสียงขรมแล้ว ต่างคนต่างละทิ้งงานในมือ พากันรีบรุดเข้ามาตามคำสั่ง
เพียงครู่เดียว  ข้าทาสทั้งหมดสิบคนก็เข้ามายืนล้อมเป็นวงกลม
เหลียนฟางโจวตะคอกใส่หวางซานเสียงเฉียบ “คุกเข่า !”
หวางซานเม้มริมฝีปากแน่น  ใบหน้าที่แดงก่ำอยู่นั้น เปลี่ยนเป็นซีดขาว  แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ
เขาหันใบหน้าเย็นชาไปด้านข้าง  พลางหรุบตาลงต่ำ  อันเป็นการประท้วงเงียบ
เหลียนฟางโจวหาได้วิตกอันใด  หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น พลางแค่นเสียงใส่ “ทำไม ? ข้าเป็นนาย  ข้าสั่งเจ้าซึ่งเป็นทาสมิได้รึ?”
หวางซานแค่นเสียงเบาๆ  เอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน “บ่าวไม่รู้ว่าตัวเองมีความผิดที่ตรงไหน  โปรดชี้แจงให้กระจ่างด้วยขอรับ !”
เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ามิจำเป็นต้องชี้แจงเหตุผลให้ทาสอย่างเจ้าฟัง  ข้าให้เจ้าคุกเข่า เจ้าก็ต้องคุกเข่า! ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง  เจ้าจะยอมคุกเข่าดีๆหรือไม่ !”
หวางซานไม่นึกเลยว่าเหลียนฟางโจวจะโหดนัก  ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้  ทว่าจะให้เขายอมแพ้เช่นนี้  เขาจะเป็นฝ่ายยอมพ่ายแพ้ต่อคนผู้นี้ได้อย่างไร ?
----------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
ต้องขออภัยที่อัฟช้าอีกแล้ว พอดีมีงานด่วนเข้ามาค่ะ 
สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ ^_^

15 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะ สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะไรท์

    ตอบลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะ ท่าทางหวังซานจะโดนหนัก

    ตอบลบ
  4. ใช้งานไม่ได้ขายไปชายแดนยอมขาดทุน เชือดไก่ให้ลิงดู ดูสิ มันจะเอาชีวิตรอดยังไง

    ตอบลบ
  5. ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาซะแล้ว

    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  6. เห็นเจ้านายดีก็ไม่เคารพได้มาอยู่กับฟางโจวถือว่าโชคดีมากทาสแบบนี้ขายทิ้งไปเลย

    ตอบลบ
  7. ถูกขายทิ้งแหงเลย เฮ้อ...การขายมนุษย์บางครั้งก็จำเป็น

    ตอบลบ
  8. ขอให้มีความสุขทุกคืนวันค่ะ
    ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  9. บังอาจลบหลู่เจ้านาย!!

    ตอบลบ
  10. ขายทิ้งเหอะ ดูแล้วไม่สำนึกเก็บไว้จะเป็นหอกข้างแคร่

    ตอบลบ