เวลาล่วงเลยมาจนถึงเวลานัด ท้องแต่ละคนเริ่มร้องครวญครางด้วยความหิวบ้างแล้ว
พวกเขาจึงตกลงสั่งบะหมี่น้ำร้อนๆจากเพิงขายบะหมี่ละแวกใกล้เคียงมาดับความหิว
หลังจากอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ทั้งสองครอบครัวพากันหาซื้อของกินเล่นกลับบ้านเป็นอันมาก
ได้แก่มิ่งจั่วเกา (เค้กพุทราเชื่อม) ที่พึ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆร้อนๆ เหมียนโวทอด(โดนัทจีนทอด) ม๋าฮวา (โดนัททอดรูปเกลียว)
พร้อมทั้งซูปิ่ง (ขนมปิ้งรูปกลม)
มิ่งจั่วเกา |
เหมียนโว |
ม๋าฮวา |
ฝ่ายเหลียนฟางโจวคิดไปคิดมา รู้สึกว่าคืนนี้ไม่อยากทำอาหารมื้อเย็นอีกแล้ว จึงได้ซื้อเกี๊ยวห่อไส้หนัก 5-6 ชั่งมาเพิ่มอีก
เพื่อเอากลับไปเผื่อเหล่าบริวารทางบ้าน
“ข้าวของมากมายนัก แล้วเราจะเอาของที่ซื้อมาไปเก็บกันอย่างไรดีล่ะเนี่ย
!”
จ้าวชื่อมองข้าวของพะรุงพะรังในมือของแต่ละคน นางอดรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้
เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าพึ่งจ้างรถไปคันหนึ่ง !”
เมื่อเห็นป้าจางทำท่าจะพูดอะไร เหลียนฟางโจวจึงรีบเอ่ยแย้มยิ้ม
“ บ้านข้ามีหลายปากหลายท้อง ย่อมต้องซื้อข้าวของเป็นอันมาก
แม้พวกท่านไม่มา ข้าย่อมต้องจ้างรถมาช่วยบรรทุกของเพิ่มอยู่แล้ว ! พวกท่านมานับว่าดี
พื้นที่ว่างที่เหลือบนรถจ้างจะได้ไม่เสียไปเปล่าๆด้วย
!”
ป้าจางรู้ดีแก่ใจดีว่าเหตุผลส่วนหนึ่งนั้น มาจากน้ำใจอันดีงามของหญิงสาวด้วย
นางจึงได้แต่แย้มยิ้ม
มิได้เอื้อนเอ่ยอันใด
อันที่จริง ที่ยังมีที่ว่างเหลือ เป็นเพราะทางเหลียนฟางโจวได้ซื้อของบางส่วนไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานซืน ซึ่งเป็นข้าวของที่ต้องคอยซื้อเข้ามาเติมให้ทางหมู่ตึกนั่น
อันได้แก่ ข้าว แป้งสำหรับทำเส้นหมี่ เกลือ น้ำมัน ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู กานไช่(ผักแห้ง)
หาไม่แล้ววันนี้คงได้ซื้อเพิ่มอีก !
ทุกคนในคณะล้วนคุ้นเคยกับการใช้มือหยิบจับทำงาน ต่างคนต่างคุยกันไปหยอกล้อกันไป
ในในขณะช่วยกันจัดวางข้าวของที่ซื้อมาใส่รถ เผลอแผลบเดียว
ข้าวของทุกชิ้นก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระบียบเรียบร้อย ครั้นแล้วพวกเขาก็แบ่งกันไปนั่งรถทั้งสองคัน เพื่อเตรียมเดินทางกลับบ้าน
เพลานี้ ล่วงเข้ายามฉือแล้ว (15.00-17.00 น)
ช่วงฤดูหนาว ดวงอาทิตย์ตกเร็วกว่ายามปกติ ระหว่างที่เดินทางมา แสงตะวันจางลงไปมากแล้ว จึงเห็นเงาที่เกิดอยู่ด้านหลังทอดตัวยาวเหยียด
เมื่อคนทั้งหมดบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง ตะวันได้ลับขอบฟ้าไปแล้วจนมองไม่เห็น ท้องฟ้ายามนี้เห็นเป็นเพียงสีเทาหม่น
ทุกคนล้วนยิ้มแย้มช่วยกันขนของลงมาจากรถคนละไม้คนละมือ หลังส่งรถที่จ้างกลับไปแล้ว
ต่างคนต่างช่วยกันขนข้าวของไปเก็บ
อาเจี่ยนรีบขับรถเข้าไปในลานด้านหลัง เพื่อปลดรถลากออกจากตัวลา จากนั้นชายหนุ่มจึงจูงลาเข้าไปขังไว้ในคอก เพื่อให้อาหาร
อาสามเอาไก่เป็นๆที่ซื้อมา ไปขังไว้ในเล้าไก่ นางคอยย้ำเตือนเช่อเอ๋อร์ และโดยเฉพาะเหลียนฟางฉิงว่า ห้ามเปิดประตูเล้าไก่เด็ดขาด
“ไก่ที่ซื้อกลับมามันกลัวคนแปลกหน้าเสียที่ไหนกัน
ขืนปล่อยให้มันหลุดออกไปได้ จะตามจับกลับมาคงเล่นเอาเหงื่อตกเลยล่ะ !”
ฝ่ายเหลียนฟางโจวเอาเกี๊ยวดิบพร้อมปลาหลี่หยูเข้าไปเก็บในครัว หญิงสาวกำลังคิดว่าคืนนี้จะเอาปลาหลี่หยูสองตัวนั้น
มาแล่เนื้อชุบแป้งทอดให้หมด
พรุ่งนี้จะได้พร้อมสำหรับการปรุงอาหาร
อีกทั้งยังมีหมูสามชั้นก้อนใหญ่ที่ต้องเอามาต้มให้สุกก่อนนั่นอีก
ส่วนเหลียนเซ่อกับเหลียนเช่อ ช่วยกันลำเลียงเนื้อหมู พร้อมทั้งผักสดและผักแห้งต่างๆเข้าไปเก็บไว้ในครัวด้วย
บรรดาของกินเล่นนานาชนิด เหลียนฟางฉิงเป็นผู้รับผิดชอบทะยอยขนเข้าไปในบ้านอย่างขะมักเขม้นประหนึ่งมดงานแสนขยัน....
ขณะที่ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับงานในมืออยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเรียกอันเฉื่อยเนือยดังลอดประตูมา
“มีใครอยู่ไหม? มีใครอยู่ข้างในไหม?”
เหลียนฟางโจวและอาสามกำลังง่วนอยู่กับการจัดวางข้าวของทั้งหมด ที่ซื้อขนกลับมาจนเต็มห้องครัวอยู่
เย็นย่ำป่านนี้แล้วยังมีใครมาหาที่บ้านอีกนะ?
“เอ๋” เหลียนเซ่อประหลาดใจขึ้นมาโดยพลัน
จึงหันไปเอ่ยกับเหลียนฟางโจวด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย “พี่ใหญ่
เสียงนี้ ฟังดูคุ้นหูอย่างไรพิกลนะ?”
เด็กหนุ่มทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก พลางเอามือคลึงขมับแรงๆเผื่อจะทำให้คิดออก
ครั้นแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ทว่าเหตุใดข้าถึงคิดไม่ออกน๊า !”
“ฟังเจ้าพูดมาแบบนี้แล้ว ข้าเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน “ เหลียนฟางโจวมีสีหน้าฉงนฉงายไม่ต่างจากน้องชายตน
ชัดเจนว่าทั้งสองคนต่างยังนึกไม่ออกเสียที
“ข้าไปดูให้เอง !” เหลียนเช่อวางของในมือลง แล้วจึงรีบรุดออกไป
“พวกข้าไปด้วย !” เหลียนฟางโจวกับเหลียนเซ่อต่างรีบสาวเท้าตามไปติดๆ
ฝ่ายอาสามไปยืนเปิดประตูเรียบร้อยแล้ว
นางเปิดปากถามผู้มาเยือน “เจ้าเป็นใครเหรอ ? มาหาผู้ใดกัน?”
ทุกวันนี้เหลียนฟางโจวพบปะผู้คนมากมาย
หากจะมีคนแปลกหน้ามาหาบ้าง ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใดนัก อาสามจึงมิได้รู้สึกประหลาดใจ
“คนสกุลจ้าวจากในเมืองมาหา
แล้วคุณหนูบ้านท่านอยู่ไหนล่ะ? ยังไม่ไปเรียกนางมาพบอีก!”
ผู้มาเยือนถามขึ้นอย่างไม่สนใจคนตรงหน้า แถมยังชะโงกหน้า สอดส่ายสายตาเข้าไปในรั้วบ้าน พลางทำท่าจะสาวเท้าเข้าไปด้านใน
ผู้มาเยือนเป็นชายหนุ่มมีแส้ยาวเสียบไว้ข้างเอว น่าจะเป็นสารถีขับรถม้า
“นี่ เจ้าเป็นใครกัน ? ไฉนถึงไร้มรรยาทเยี่ยงนี้!” อาสามเห็นผู้มาเยือนมีท่าทางไม่แยแส
แถมหยิ่งยโสไม่เห็นนางอยู่ในสายตา จึงบันดาลโทสะ ยื่นแขนมาขวางเขาไว้ พลางถลึงตาใส่อย่างไม่รักษามรรยาทอีกต่อไป
“เจ้าคือใคร ?
“หวางซาน !”
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่ออุทานด้วยความประลาดใจพร้อมกัน
“พี่ใหญ่ พี่รอง คนนั้นคือหวางซานที่โดนไล่ออกไปเมื่อสองสามวันก่อนนี่นา?” เหลียนเช่อทำตาโต
รู้สึกประหลาดใจเป็นล้นพ้นอีกคน
ดวงตาของหวางซานมีประกายโทสะและแค้นเคืองพาดผ่านวูบหนึ่ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาพลางแค่นเสียงเย็นชา
“แม่นางเหลียนทักคนผิดแล้ว ข้ามีนามว่าจ้าวซาน ! เป็นคนของจวนสกุลจ้าวในเมืองต่างหาก!”
ส่วนเหลียนเซ่อ และเหลียนเช่อสองคนนั้น เขาไม่เหลือบแลสักนิด
จ้าวซานรึ ? เหลียนฟางโจวแทบหัวเราะไม่ออก คุณหนูจ้าวหรูจุนแห่งจวนสกุลจ้าวผู้นั้นช่างน่าทึ่งแท้
อุตส่าห์ซื้อคนมา
ทว่าตอนตั้งชื่อกับขี้เกียจเสียนี่ !
อย่างไรก็ดี ผู้อื่นอยากจะตั้งชื่อว่าจ้าวซาน ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ จริงไหม ?
เหลียนฟางโจวมิได้ตอบโต้จ้าวซาน เธอหันไปเอ่ยกับเหลียนเซ่อแทน “มิคาดว่าไช่หวู่หลางช่างเป็นคนมากฝีมือ ทำการค้าเพียงอย่างเดียว ก็สำเร็จรวดเร็วปานนี้!”
การค้าอย่างเดียวของไช่หวู่หลาง แน่นอนก็คือการเอาจ้าวซานไปขายต่อ
เหลียนเซ่อพลันหัวเราะและพยักหน้าเห็นด้วยอีกคน “พี่ใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว !”
จ้าวซานแทบหงายเหงิบ ใบหน้าทาสหนุ่มซีดสลด
มือเท้าเย็นเฉียบลงไปสามส่วน นึกอยากจะพูดจาเหน็บแนมดูถูกหญิงสาวสักสองสามคำ
เหลียนฟางโจวพลันหันมาจับจ้องเขา ด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนเอ่ยออกมาด้วยความแปลกใจ “สกุลจ้าวรึ ? สกุลจ้าวไหนล่ะ ที่ซื้อเจ้าไปเนี่ย
?
อันที่จริง หญิงสาวรู้แจ้งแก่ใจอยู่แล้ว ตั้งแต่เห็นรถม้าที่จอดอยู่นอกรั้วบ้าน มิจำเป็นต้องถามอดีตทาสให้มากความเลย
เดิมทีจ้าวซานนึกว่าพอพวกเหลียนฟางโจวเห็นเขาแล้ว จะต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออกเป็นแน่
ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะ พอนางขายเขาออกไปปุ๊ป ทางสกุลจ้าวก็ซื้อเขากลับมาปั๊ป นั่นแสดงว่านางไม่มีทางรู้เรื่องนี้มาก่อนแน่นอน
ทีแรกเขานึกว่าตนเองจะคุกคามความมั่นใจของนางได้ ทาสหนุ่มเตรียมปลดปล่อยความคลั่งแค้นในอกที่เคยถูกอีกฝ่ายเล่นงานออกมา
ที่ไหนได้ เขาแค่เปิดปากพูดออกไปคราเดียว ก็โดนนางพูดจาดูถูกเสียนี่
แม้แต่สกุลจ้าว นางก็ยังแสร้งทำเป็นนึกไม่ออก !
ทุกครั้งที่เอ่ยถึงสกุลจ้าว เพียงฟังแค่ชื่อสกุล จะมีใครไม่รู้จักหรือ ว่าหมายถึงสกุลจ้าวใด?
จ้าวซานแค่นเสียง “แม่นางเหลียนนะหรือจะไม่รู้จัก? สกุลเจ้าคือตระกูลคหบดีที่มั่งคั่งสูงส่ง
มีไม่กี่ตระกูลในเมืองยู่เหอ ที่จะร่ำรวยยิ่งใหญ่ปานนี้ !”
เพลานี้ คงสำเหนียกถึงตัวตนของข้าแล้วสินะ? คงจะกลัวหัวหดกันละสิ?
พอจ้าวซานกล่าวจบ ก็รู้สึกหยิ่งผยองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ดูไปแล้ว สกุลนี้น่าจะไม่เท่าไรนะ มีที่ไหน ส่งทาสกระจอกๆมาติดต่อ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น
ช่างทำให้ผู้คนดูแคลนเสียจริงๆ! “ อาสามกลอกตาใส่
เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยแย้มยิ้มกับอาสาม “อาสาม พวกข้าวของในครัว ข้ายังจัดเก็บไม่เสร็จเลย
ท่านเข้าไปเก็บเถอะ เช่อเอ๋อร์ เจ้าไปช่วยหน่อยสิ ! แล้วยังฉิงเอ๋อร์อีก
ไม่รู้ว่าขนของเข้าไปเก็บในบ้านถึงไหนแล้ว
พวกท่านจัดของในครัวเสร็จแล้ว ก็เข้าไปตรวจดูเรื่องนี้ให้ด้วยนะ อืม
เย็นมากแล้วล่ะ ใกล้จะได้เวลาจุดเตาไฟทำอาหารแล้ว ทุกคนคงจะเริ่มหิวกัน......”
เหลียนฟางโจวยังคงร่ายยาวไปเรื่อย ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
ไม่เร็วไม่ช้า แต่ฟังดูแล้ว คล้ายว่าจะไม่มีทางจบง่ายๆ
จ้าวซานจึงโดนหญิงสาวทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเช่นนี้นี่เอง โทสะของทาสหนุ่มพุ่งพล่านจนอกแทบระเบิด
ในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายของเขาก็ขาดสะบั้นลง ทาสหนุ่มจึงเปล่งเสียงร้องดังขึ้น
“แม่นางเหลียน....”
“หุบปาก !” เขาพูดยังไม่ทันจะจบ
เหลียนเซ่อผู้มีใบหน้าเคร่งขรึม ก็ด่ากราดเสียงดัง “เจ้าเป็นทาสประสาอะไร
ทำไมหยาบคายเช่นนี้
ไม่เห็นหรือว่าพี่สาวข้ากำลังพูดอยู่ ? อย่าบอกนะว่าสกุลจ้าวชอบใช้กำลังข่มขู่ผู้อื่น
!
ปล่อยให้ทาสคนหนึ่งมาล้อเล่นกับเจ้านายคนก่อนได้ !”
จ้าวซานนิ่งขึงโดยฉับพลัน จำต้องยอมยืนสงบปากสงบคำ
ทำหน้าบูดบึ้งอยู่ตรงนั้น
แม้เขาไม่เคยเห็นพวกน้องๆเหลียนฟางโจวอยู่ในสายตา แถมยังคิดจะแก้แค้นเอาคืน
แต่ทาสหนุ่มก็ยังรู้หนักเบา รู้ดีว่าเรื่องไหนลงมือได้ เรื่องไหนลงมือไม่ได้
----------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ กำลังใจ และการติดตามค่ะ
และพร้อมกันนี้ ก็ขออัพนิยาย เป็นของขวัญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2019 แด่ผู้อ่านทุกท่าน และขอให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ มั่งคั่งร่ำรวย สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ พบแต่สิ่งดีๆในชีวิตตลอดไปนะคะ ^_^
สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ ขอให้มีสุขภาพกายสุขภาพจิตที่ดี ร่ำรวยเงินทอง มีความสุขตลอดปีและตลอดไปค่ะ ^3^
ตอบลบขอบคุณนะคะ สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ
ลบขอบคุณในน้ำใจผ้แปลค่ะ ขอให้สมหวังในสิ่งปรารถนานะคะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ ขอให้มีความสุขในเช่นกัน
ลบค่ะ
ขอบคุณและสวัสดีปีใหม่ค่ะขอให้ผู้แปลสุขสมหวังสมปรารถนาในทุกด้าน
ตอบลบสวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้ผู้อ่านมีความสุขความเจริญตลอดไปค่ะ
ลบสวัสดีปีใหม่ มีความสุขมากนะคะ
ตอบลบขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ❤️❤️❤️❤️
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ ขอให้ผู้อ่านประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไปค่า
ลบสุขสันต์วันปีใหม่ค่ะไรท์เป็นของขวัญวันขึ้นปีใหม่ที่ทำให้มีความสุขมากเลยค่ะดีใจที่เป็นแฟนคลับไรท์ยาวนานขึ้นอีกปีแล้วขอบคุณมากนะคะ
ตอบลบขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้เสมอนะคะ ขอให้ผู้อ่านมีแต่ความสุข และโชคดีตลอดไปค่ะ
ลบขอบคุณสำหรับของขวัญวันปีใหม่บทนี้ค่ะ
ตอบลบสวัสดีปีใหม่คุณชัญ ภัทรค่ะ
Happy New Year เช่นกันค่ะ
ลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบมีความสุขมาก ๆ นะคะ
ขอบคุณค่ะ Happy New Year ka
ลบสวัสดีวันปีใหม่ค่ะไรท์ ขออวยพรให้มีความสุขมีสุขภาพแข็งแรงและสมหวังในทุกสิ่งที่ปรารถนาทุกประการตลอดปีนี้นะค่ะ
ตอบลบสุขสันต์ปีใหม่ค่ะ ขอให้ผู้อ่านสุขภาพแข็งแรง มีความสุข ความเจริญตลอดไปค่ะ
ลบสวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้สุขภาพแข็งแรง ทำสิ่งใดก็ให้สมดังใจค่ะ
ตอบลบสวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้พบแต่สิ่งดีๆตลอดปีนะคะ
ลบสวัสดีปีใหม่ค่ะขอให้มีแต่ความสุขทำสิ่งใดก็ขอให้ราบรื่นสมหวังทุกอย่างนะค่ะ
ตอบลบสุขสันต์ปีใหม่ค่ะ ขอให้สุขสมหวังทุกประการค่ะ
ลบขอบคุณคะ
ตอบลบHappy New Year ka
ลบสวัสดีปีใหม่ผู้แปลด้วยค่ะ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงนะคะ
ตอบลบHappy New Year na ka
ลบสวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ ขอให้สุขสมหวังตลอดปีนะคะ
ลบเราปีใหม่ ในเรื่องก็เข้าปีใหม่เหมือนกัน ชักอยากจะหาซื้อกระดาษแดงมาติดบ้านบ้างละนะเนี่ย...สวัสดีปีใหม่ค่ะ Empty Mind
ตอบลบสวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ ขอให้โชคดีตลอดปีนะคะ
ลบขอบคุณที่เสียสละเวลาแปลให้อ่านนะคะ สนุกมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบ