วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 216 บทลงโทษ


อาเจี่ยนมองหน้าเหลียนฟางโจว
เหลียนฟางโจวแค่นเสียง “ฝันไปเถอะ !  ในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้แล้ว บ้านเราคงไม่เลี้ยงเขาไว้อีก !  ดูท่าว่า ต่อให้เห็นกรณีของหวางซานเป็นตัวอย่างแล้ว คนพวกนี้คงยังไม่ซาบซึ้งพอละสินะ แต่ละคน ความคิดช่างชั่วร้ายมากเสียจริง ! 
 “เพียงแต่” หญิงสาวพรูลมหายใจแผ่วเบา “ที่เจ้าพูดมาก็ถูกอีกเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไป ! หาไม่แล้ว ต่อให้ขับไล่หลี่ซื่อไป ชื่อเสียงของซิ่วเอ๋อร์ก็คงย่ำแย่อยู่ดี นางเป็นเด็กสาวที่ดีผู้หนึ่ง ข้าเองก็ทำไม่ลง หนำซ้ำ บิดามารดา และน้องชายนางคงได้ก่นด่าข้าในใจไม่เลิก....”

ครอบครัวนี้ขยันขันแข็งตั้งใจทำงานยิ่งนัก  เปี่ยมล้นด้วยความซื่อสัตย์ภักดี เหลียนฟางโจวพึงพอใจพวกเขา จึงไม่อยากให้ผลของการกระทำครั้งนี้ กลายเป็นการหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความบาดหมาง ลงในใจพวกเขา
แต่ทว่า หากเพียงแค่ขายหลี่ซื่อออกไปเงียบๆ การเชือดไก่ให้ลิงดูก็จะไม่บรรลุผลสำเร็จ ใครเล่าจะกล้ารับประกันว่า จะไม่มีหลี่ซื่อคนที่สอง ที่สามโผล่ออกมาอีก?
อาเจี่ยนครุ่นคิด แล้วเอ่ยพึมพำ “เรื่องนี้จริงๆแล้วจัดการได้นะ  เรื่องที่เกิดเมื่อคืนวานย่อมไม่สะดวกเปิดเผยออกไปอยู่แล้ว  แต่ไม่ได้บอกนี่ว่า ก่อนหน้านี้หลี่ซื่อ ไปเล่าอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องลวนลามผู้หญิง ต่อหน้าบ่าวชายทุกคนหรือเปล่า ? ”
 “ถึงอย่างไร เนื่องจากต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู  ถ้าจะเล่นงานให้หนักข้อขึ้นอีกนิด  ก็คงไม่มีปัญหาอันใดหรอก !”  อาเจี่ยนเอ่ยเสริมพร้อมรอยยิ้ม
ดวงตาของเหลียนฟางโจวเปล่งประกาย  หญิงสาวกระจ่างแจ้งในใจทันใด  จึงอดปรบมือหัวเราะไม่ได้ “ท่านพูดถูกเผงเลย !”
มีเพียงเหลียนเซ่อผู้เดียวที่ยังคงนิ่งงัน มองหน้าทุกคนเหลอหลาด้วยความไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากถาม เหลียนฟางโจวทำท่างฮึ่มฮ่ำ “เจ้าหยุดถามเรื่องแบบนี้ได้แล้ว !  มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า !”
เหลียนเซ่อพอตรึกตรองอีกทีก็ใช่ เขาจะห่วงกังวลอันใดมากมาย ในเมื่อมันเป็นเรื่องของเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนของครอบครัวอื่น?  
เมื่อบรรลุถึงเนินเขาเสี่ยวฮวากั่วซาน คนทั้งสามก็เดินขึ้นไปบนยอดเนิน  ถึงได้พบว่าลำต้นของบรรดาตอไม้ทุกต้น ล้วนถูกห่อหุ้มด้วยฟางข้าวอย่างหนาหมดแล้ว แถมส่วนที่เป็นกิ่งก้าน ก็ถูกคลุมด้วยฟางข้าวอีกด้วย
เหลียนฟางโจวพลันเหมือนยกภูเขาออกจากอก หญิงสาวแย้มยิ้มเบิกบาน “นี่คงเป็นฝีมือของฉินเฟิงและซูจื่อจี้  ที่พาบ่าวไพร่เข้ามาจัดการ  พวกเขาช่างเอาใจใส่ดีแท้ !”
อาเจี่ยนกับเหลียนเซ่อพลอยโล่งใจตามไปด้วย  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากรู้เสียแต่เนิ่นๆ คงถามพวกเขาจนรู้เรื่องไปแล้ว จะได้ไม่ต้องมาเสียเที่ยว !”
เหลียนฟางโจวตัดสินใจลงมือรวดเร็วเฉียบขาด เธอกลัวว่าหลี่ซื่อจะย่ามใจ คิดว่าพวกคนแซ่จางคงไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปโพทะนา ไม่เพียงไม่ว่ารู้จะหลีกหนีอย่างไร  ทว่าคงถูกบังคับให้รับเขาเป็นลูกเขย  ตกบ่ายหลี่ซื่อถูกเรียกตัวออกมา เพื่อให้อาเจี่ยน ฉินเฟิงและซูจื่อจี้ ลงมือสั่งสอน
จับทาสหนุ่มอุดปากมัดมือมัดเท้า จับเขาโยนขึ้นรถลากเทียมลา
หลี่ซื่อส่งเสียงอู้อี้ เงยหน้าเบิ่งตาจ้องเหลียนฟางโจวอย่างไม่ยินยอม
เหลียนฟางโจวยิ้มเย็น แล้วจึงสาธยายความผิดของเขาตรงๆรวดเดียว ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าประพฤติผิดศีลธรรมเยี่ยงนี้  ข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร? คงต้องขับเจ้าออกไปเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม !”
หลี่ซื่อหน้าซีดราวกับศพ ทุกคนรู้เรื่องต่ำช้าที่เขาก่อไว้เมื่อคืนวานหมดแล้ว  เขาได้แต่สำนึกเสียใจ พยายามดิ้นรนส่งเสียงอู้อี้ หมายจะอธิบาย ทั้งคิดอ้อนวอนเหลียนฟางโจวให้ยกโทษให้
เหลียนฟางโจวไหนเลยจะสนใจขา?  อาเจี่ยนฟาดฝ่ามือใส่ทีเดียว ก็ทำเอาเขาสลบเหมือด แล้วหาเสื่อมาคลุมทาสหนุ่ม ครั้นแล้วจึงขับรถเข้าไปในเมืองสองคนกับฉินเฟิง
ในที่สุดก็บรรลุถึงถิ่นของไช่หวู่หลาง  อาเจี่ยนขายทาสหนุ่มคืนด้วยค่าตัวเพียงครึ่งเดียว ชายหนุ่มเน้นย้ำกับไช่หวู่หลางให้เอาเขาไปขายต่อในพื้นที่ห่างไกล ยิ่งไกลยิ่งดี  ไช่หวู่หลางตกลงรับปากด้วยความยินดี
เมื่อถึงเวลามื้อเย็น  บรรดาบ่าวหนุ่มจึงได้พบว่าหลี่ซื่อหายตัวไป
แต่ละคนต่างถามไถ่กันให้วุ่น มิคาดว่าจะไม่มีใครในพวกตนรู้ว่าเขาไปไหน
ทุกคนต่างตื่นตระหนกจนฉุดไม่อยู่  จึงได้ตกลง คัดเลือกพรรคพวกสองคนไปรายงานให้ฉินเฟิงและซูจื่อจี้ให้รับทราบในทันที
ใครจะรู้เล่าว่า พอฉินเฟิงและซูจื่อจี้ฟังรายงานนี้แล้ว  สีหน้าของพวกเขาหาได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดไม่  ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “เขาน่ะหรือ?  เราลืมบอกพวกเจ้าไปเลย !  เจ้านั่นปากไม่ดี ความประพฤติก็หาดีไม่ คุณหนูเลยให้จับเจ้านั่นขายออกไปแล้ว !  พวกเจ้าจงกลับไปเสีย ต่อไปภายหน้าจะไม่มีคนแบบมันอีก !
บ่าวสองคนนี้ต่างหน้าซีดไปตามๆกัน  พากันขนหัวลุกพรึ่บพั่บ  ต่างรับคำแล้วรีบล่าถอยไปทันที
พอออกนอกประตูมาได้  ทั้งสองต่างหันหน้ามามองกันอย่างตื่นกลัว
การที่หลี่ซื่อปากไม่ดีบ่งชี้ถึงสิ่งใด พวกเขาย่อมทราบดี  เบื้องหลังเหตุการณ์จริงๆแล้ว พวกเขายังเกลี้ยกล่อมหลี่ซื่อ ว่าไม่ควรไปลวนลามบุตรสาวของคนอื่นแบบนั้น ทว่าหลื่ซื่อไม่สำนึก แถมยังด่ากลับ  จึงไม่มีใครพูดอันใดอีก
มิคาดว่า  จู่ๆคุณหนูก็ให้ขายเขาออกไปเพราะเรื่องนี้....
ข่าวเรื่องนี้ได้แพร่สะพัดไปในหมู่บ่าวไพร่ทุกคน  ทำให้พวกเขาพากันระวังตัวแจด้วยความอกสั่นขวัญแขวน  ใครจะกล้าเดินทางผิดก้าวพลาดตามไปอีกคนเล่า
เพราะจุดนี้เอง ในที่สุดบ่าวชายทุกคนจึงประพฤติตัวดีกันอย่างไม่มีแตกแถว
พอมีการลงโทษให้เห็นเป็นตัวอย่าง  ภายหลังเหลียนฟางโจวก็ซื้อคนมาเติม จึงทำให้ทาสทุกคนเคร่งครัดในระเบียบวินัยง่ายขึ้นเป็นทวีคูณ
การปกครองเข้มงวดแข็งกร้าวตั้งแต่ต้นมือนั้น  เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
ครอบครัวสกุลจางประหวั่นพรั่นพรึงไปหนึ่งวัน เมื่อได้ทราบว่า เรื่องราวคลี่คลายลงเช่นนี้  คือเรื่องเมื่อคืนวานไม่มีใครรู้เลยสักคน ฝ่ายหลี่ซื่อโดนขายออกไป  ทั้งหมดจึงพากันโล่งใจดั่งยกภูเขาออกจากอก  พวกเขาจึงยิ่งทวีความจงรักภักดีและเคารพเทิดทูนต่อเหลียนฟางโจวมากขึ้นไปอีก
หลังอาหารมื้อค่ำ  เหลียนฟางโจวให้ทุกคนมารวมตัวกันด้วยบรรยากาศเคร่งเครียด  เพื่อดำเนินเรื่องสุดท้ายของวันนี้  นั่นคือการเรียนหนังสือ
ตำราหาซื้อมาเรียบร้อยแล้ว  พู่กัน กระดาษ หมึก ล้วนถูกซื้อหามาพร้อมสรรพ
สี่พี่น้องต่างจับจองโต๊ะสี่เหลี่ยมคนละด้าน พร้อมด้วยตำราสามอักษรสองเล่ม  โดยแบ่งกันดูสองคนต่อหนึ่งเล่ม  ตรงหน้าแต่ละคน  มีการวางกระดาษที่ตัดเป็นแผ่นกองไว้หนึ่งตั้ง
 “ดังที่ข้าได้เคยพูดไว้  ไม่เพียงเช่อเอ๋อร์ที่จะต้องไปเข้าเรียนในสำนักศึกษา พวกเราทุกคนจำเป็นต้องหัดเรียนเขียนอ่านเป็นความรู้ติดตัวเอาไว้บ้าง เริ่มจากคืนนี้เป็นต้นไป ทุกคนจะต้องเรียนหนังสือเป็นเวลาครึ่งชั่วยามทุกคืน  คืนนี้จึงเหมาะสำหรับการเริ่มต้น ทุกคนต้องลงมือปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง  เรียนรู้จดจำตัวอักษรให้ได้มากๆ อ่านหนังสือให้ออก เพิ่มพูนความรู้  จดจำเข้าสมองอย่างถูกต้องด้วย แล้วยังเป็นการมิให้โดนผู้อื่นคดโกงหลอกลวงอีก !”
เหลียนฟางโจวกล่าวอย่างเข้มขวดจริงจัง
เหลียนเซ่อ เหลียนเช่อ และเหลียนฟางฉิง ต่างพยักหน้าแข็งขัน
อาเจี่ยนโค้งมุมปากขึ้น  พลางเอ่ยเงียบๆในใจ  ตั้งแต่เกิดมาเขายังมิเคยเห็นคำพูดแนะนำสอนสั่งเยี่ยงนี้เลย หมายความว่า จุดประสงค์ของการเรียนเขียนอ่าน ก็คือเพื่อไม่ให้โดนผู้อื่นคดโกงหลอกลวงงั้นหรือ ?
อาสามเหลือบมองเตาอุ่นซึ่งวางไว้ใต้โต๊ะ พบว่าถ่านยังคงลุกไหม้แดงดี ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเปลี่ยน นางจึงนั่งกระเทาะเปลือกเมล็ดสน  พลางเฝ้ามองพวกหลานๆด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ
 “อาเจี่ยน  ท่านมาสอนพวกเราได้แล้วล่ะ !” เหลียนฟางโจวหันมาหาอาเจี่ยนแล้วหัวเราะเบาๆ
 “ได้” อาเจี่ยนยิ้มแย้มพยักหน้า จากนั้นจึงเริ่มสอนพวกเขาหัดอ่านเขียนเป็นครั้งแรก
ชายหนุ่มสอนทุกคน โดยเริ่มต้นจากตัวอักษร 6 คำในบรรทัดแรกของคัมภีร์สามอักษร “คนเราแต่กำเนิด ล้วนดีงาม”
พอให้อ่านทวนซ้ำๆหลายรอบ อาเจี่ยนจึงปล่อยให้พวกเขาท่องจำตัวอักษรแต่ละตัวด้วยตัวเองไปโดยปริยาย
เหลียนฟางโจวพอจำได้  จึงลอบมองประเมินน้องๆทั้งสาม
เด็กทั้งสามเอาจริงเอาจังยิ่งนัก ปากก็ท่องบ่นไป  ตาก็กวาดมองตัวอักษรแต่ละตัวอย่างเคร่งเครียดจริงจัง
ต่อมาอาเจี่ยนลองสุ่มชี้ตัวอักษรสองสามตัวที่พวกเขาเคยท่องจำไว้ แล้วให้พวกเขาอ่านออกเสียงให้ฟัง หลังจากนั้นก็ให้ฝึกท่องจำเป็นประโยคจนขึ้นใจ ครั้นแล้วจึงสอนให้พวกเขาฝึกเขียนตัวอักษรดังกล่าว
ความจริงแล้วเหลียนฟางโจวคิดอยากหาโอกาสฝึกเขียนตัวอักษรอยู่นานแล้ว  ตัวอักษรแบบดั้งเดิมนี้ อันที่จริงนางเขียนไม่เป็นหรอก ไม่ได้เลยสักตัวเดียว
 “อาเจี่ยน ข้าว่าเราจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น หากเริ่มจากการเขียนเส้นให้มันน้อยกว่านี้ เริ่มต้นด้วยตัวอักษรแบบเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน จะได้จดจำง่ายขึ้น อย่างเช่น หนึ่งมีหนึ่งขีด สองมีสองขีด สามมีสามขีด แบบนี้ พอเริ่มเขียนได้บ้างแล้ว ก็จะทำให้อยากเรียนรู้มากขึ้นอีกด้วย”  พอหยิบพู่กันขึ้นมา เหลียนฟางโจวก็อดออกความเห็นไม่ได้
อาเจี่ยนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเหลือบตาขึ้นมองเหลียนฟางโจว ชายหนุ่มเอ่ยอย่างลังเล “ฟางโจวคิดว่า  ตัวอักษรพวก หนึ่ง สอง สาม สี่เขียนง่ายใช่หรือไม่?”
 “ข้าแค่...สับสนไปชั่วครู่น่ะ ! ” เหลียนฟางโจวคิดแล้ว ก็พูดออกไปโดยไม่ทันคิดอะไร เกือบจะเปิดปากพูดต่อแล้ว  เธอพลันนึกขึ้นได้ว่านี่มันเป็นตัวอักษรดั้งเดิม ตัวอักษรดั้งเดิมเชียวนะ !  คำว่าหนึ่ง สอง สาม สี่ในตัวอักษรดั้งเดิมเขียนไม่ง่ายนี่นา หรือว่า ประโยค คนเราแต่กำเนิด จะเขียนง่ายกว่า !
-----------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^

9 ความคิดเห็น:

  1. หนึ่ง สอง สาม สี่ เขียนอย่างไรหนอ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. 一 二 三 四 เขียนแบบนี้จ้า แต่ว่าอักษรโบราณมะรู้เหมียนกัลลลลล อิอิ

      ลบ
  2. คิดถึงไรท์ๆก็มาอาเจี่ยนเป็นคุณครูด้วยเยี่ยมเลย

    ตอบลบ
  3. มองตารู้ใจ เอ่ยอะไรเข้าใจกันตลอด ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  4. ตอนนี้อาเจี่ยน เป็นอาจารย์เจี่ยนไปซะแล้ว ฮิฮิ

    ตอบลบ