เหลียนฟางโจวพลันอึกอักลนลานเล็กน้อย
ด้วยกลัวว่าอาเจี่ยนจะสงสัยขึ้นมา หญิงสาวจึงรีบเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เอาเป็นว่าข้าไม่พูดแล้ว
ท่านสอนพวกเราเถิดนะ !”
อาเจี่ยนระบายยิ้ม แล้วลงมือสอนทีละคน โดยเริ่มจากเหลียนเซ่อเป็นคนแรก
การสอนเริ่มต้นโดยเรียนรู้การจับพู่กันเขียนตัวอักษรดังเช่นเด็กเล็ก ขณะที่เขียนพู่กัน มือที่จับพู่กันของเหลียนเซ่อสั่นเล็กน้อย
หนำซ้ำยังรู้สึกว่ามือที่จับพู่กันอยู่นั้นไยถึงได้ดูเงอะงะนัก ร่างกายเด็กหนุ่มเอนไปมาอย่างควบคุมไม่ได้
“พี่ใหญ่ พี่เจี่ยน....” ยิ่งเห็นน้องสาวคนเล็กเอาแต่เบิ่งตากลมโตจ้องมองตนเอง
เหลียนเซ่อยิ่งรู้สึกประหม่าเข้าไปใหญ่
“เจ้าเพิ่งเริ่มเรียนเอง
ไม่เป็นไรหรอก อย่าเกร็งนักสิ หมั่นฝึกฝนไปเรื่อยๆ อีกหน่อยก็คุ้นชินไปเองแหละ
!” เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มรีบเอ่ยปลอบโยนเสียงนุ่ม
อาเจี่ยนคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นมาอีกคน “พี่สาวเจ้าพูดถูกแล้ว คนที่เพิ่งเริ่มหัดเขียน
ก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น!”
ใจที่เครียดเขม็งของเหลียนเซ่อ พลันคลายลงเล็กน้อย เด็กหนุ่มถอนหายใจช้าๆสองครา
ด้วยความโล่งใจ ขณะที่อาเจี่ยนตวัดพู่กันฉวัดเฉวียนเขียนตัวอักษรลงมาเป็นแถวทีละตัว
ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสอนอักษรสามคำ
“แค่เขียนตัวอักษรตามแบบนี้ช้าๆ
มือต้องนิ่ง จรดปลายพู่กันแน่วแน่ แล้วออกแรงตวัดพู่กัน ตัวอย่าเอียง นั่งหลังตรงด้วย
“
อาเจี่ยนคอยประกบมองเด็กหนุ่มคัดอักษรสามตัวอยู่ข้างๆ
เหลียนเซ่อกวาดมองตัวอักษรที่ตนเองเขียน แล้วหันมาดูตัวอักษรที่อาเจี่ยนเขียน
ก็ให้รู้สึกท้อแท้หนัก
อาเจี่ยนตบไหล่เขา พลางให้กำลังใจ “ครั้งแรก ย่อมเขียนได้ไม่ดีอยู่แล้ว
พอผ่านไปสัก 4-5 วัน ย่อมไม่เหมือนเดิมแน่ และเมื่อผ่านไปอีกสักหนึ่งหรือสองปี ลายมือจึงจะปราณีตงดงามดีเลิศ อยากจะเรียนเขียนให้ดีเหมือนต้นแบบ ไม่อาจทำได้ในชั่วข้ามคืนหรอก
เจ้าปล่อยตัวตามสบายเถิด !”
เหลียนเซ่อเกาท้ายทอย สุดท้ายกำลังใจก็มา
เด็กหนุ่มหัวเราะพลางบอกว่าจริงด้วย
ครั้นแล้วจึงเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการฝึกเขียนเท่านั้น
เหลียนฟางโจวกวาดมอง บรรดาตัวอักษรที่อาเจี่ยนเขียนให้ดูเป็นตัวอย่าง เพียงเห็นลายเส้นอันทรงพลัง
งามสง่าน่าเกรงขามนั่น ให้นึกชื่นชมในใจไม่ได้ หญิงสาวลอบถอนหายใจหลายครา ดูท่าตัวตนของอาเจี่ยนคงไม่สามัญเอาจริงๆ !
อาเจี่ยนหันไปสอนเหลียนเช่อ และเหลียนฟางฉิงเป็นลำดับต่อไป และแล้วก็มาถึงตาเหลียนฟางโจวจนได้
พอเห็นว่าถึงตาตนเองแล้ว เหลียนฟางโจวก็รีบยืดเอว นั่งหลังตรง ปรับท่าทางให้ถูกต้อง
และหันไปส่งยิ้มประจบให้อาจารย์ของเธอ
อาเจี่ยนพลันรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย ชายหนุ่มเกาแก้มตนเอง ดูท่าทางคล้ายกำลังเผชิญปัญหาหนัก
เหลียนฟางโจวรู้สึกประหลาดใจใหญ่หลวง
หญิงสาวจับจ้องเขาด้วยความพิศวง ไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรไป
“เรื่องนั้น...อะแฮ่ม..เอ่อ..อ่า... “ อาเจี่ยนกระแอมหนึ่งที พร้อมใบหน้าระบายยิ้ม
ทำท่าอึกอัก กระนั้นก็ยังไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
พอมาเห็นเหลียนฟางโจวจ้องตนเองตาโตด้วยความแปลกใจ อาเจี่ยนก็ยิ่งประหม่ามากขึ้น
ชายหนุ่มถูมือไปมา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอ่อ..หรือว่า..ฟางโจว..เจ้า.. เจ้าลองดูเองเขียนเองดีหรือไม่...”
เหลียนฟางโจวทอดมองเขา อย่างคนใกล้หมดความอดทนอยู่รอมร่อ หญิงสาวแอบกรีดร้องในใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ครั้นแล้วจึงผลักกระดาษมาตรงหน้าเขา พร้อมส่งพู่กันให้ ครั้นแล้วจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านเขียนให้ข้าดูเป็นตัวอย่างแล้วกัน !”
“อ๋า ?” อาเจี่ยนอึ้งไป แล้วพรูลมหายใจออกมา
คล้ายกำลังโล่งอก ชายหนุ่มพลันพยักหน้าแย้มยิ้ม
“ได้..ได้สิ ! ข้า..จะเขียนให้ดู เจ้าปราดเปรื่องปานนี้ อย่างที่บอก..เพียงแค่..ดู เจ้าต้องเขียนได้แน่ !”
ไฉนเขาต้องพูดตะกุกตะกักท่าทางเงอะงะปานนี้ด้วยเล่า ?
เหลียนฟางโจวอดฉงนสงสัยไม่ได้
พออาเจี่ยนลงมือเขียน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวเธอเดี๋ยวนั้น ที่แท้หากสอนด้วยวิธีนี้แล้ว อาเจี่ยนจะได้ไม่ต้องมานั่งประกบใกล้ชิด
และจับมือเธอหัดเขียนนี่เอง !
นี่มันช่าง......
เหลียนฟางโจวกลั้นขำไม่ไหว พลางยกชายแขนเสื้อป้องปากหลุดหัวเราะกิ๊กออกมา
จนเป็นเหตุให้เหลียนเซ่อและคนอื่นๆเงยหน้ามองทันที หญิงสาวรีบเอ่ยเสียงเข้มกลบเกลื่อน “ไม่มีอันใด ฝึกต่อสิ ทุกคนฝึกเขียนต่อไป !”
ผ่านไปพักหนึ่ง แต่ละคนเขียนตัวอักษรได้สิบตัว และใช้เวลาสองเค่อถึงจะเขียนเสร็จ คนทั้งหมดต่างถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เฮ้อ !” เหลียนฟางฉิงถอนหายใจเสียงดัง
และวางพู่กันลง เด็กน้อยสะบัดมือไล่ความปวดเมื่อย
แล้วบ่นเป็นหมีกินผึ้ง “โอย..เหนื่อยสุดๆไปเลย
เขียนตัวอักษรนี่ยากจริงๆ !”
เหลียนฟางโจวขึงตาใส่น้องสาว แล้วเอ่ยขึงขัง “เขียนลำบากแค่ไหน ก็ต้องเขียน
! ใครกล้าขี้เกียจ จะต้องถูกทำโทษ !”
“ชะอุ๋ย “เหลียนฟางฉิงแลบลิ้นออกมา
อาสามผู้ซึ่งกำลังนั่งแทะเมล็ดสนด้วยความเพลิดเพลิน ก็ทำปากยื่น นางเคี้ยวเมล็ดสนไปพลาง ก็อดพูดแย้งไปพลางไม่ได้ “ฟางโจวเอ้ย เจ้ากับฉิงเอ๋อร์ ไม่ได้ไปสอบซิ่วไฉ
เพื่อกินตำแหน่งขุนน้ำขุนนางกับเขาเสียหน่อย
ไยจะต้องคร่ำเคร่ง จดจำตัวหนังสือให้มันมากมายปานนี้ เพื่อการอันใดเล่า
ดูสิ...เจ้าทำให้ฉิงเอ๋อร์ตกใจหมดแล้ว !”
เหลียนฟางโจวหันไปส่งยิ้มหวานจ๋อยให้ห้อาสาม “ข้าคิดว่า
ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เรียนรู้จดจำตัวหนังสือให้ได้มากๆ ก็จะอ่านตำราได้มากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นข้อดีทั้งนั้น
ร้อยทั้งร้อย ไม่มีทางเป็นภัยอันตรายใดๆเลย ! อาสาม..หรือว่า ท่านก็มาเรียนกับพวกเราด้วย ดีหรือไม่?”
อาสามเห็นเหลียนฟางโจวคิดเล่นงานตน สุดท้ายก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ หญิงสูงวัยรีบจับแขนหลานสาวแกว่งไปมา พลางเอ่ยแย้มยิ้ม “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องเลยจริงๆ ! ข้าคิดว่าตัวข้าเก่งมากแล้วล่ะ ! พวกเจ้าเรียนเถิด เรียนกันตามสบายเถิดนะ ฮ่าๆๆ!”
อาสามนั่งแทะเมล็ดแตงโม เมล็ดสนอยู่ข้างๆอย่างผู้อาวุโสมรรยาทดีงามต่อ และไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ
ชั้นเรียนหนังสือของพวกหลานๆอีกเลย
เหลียนฟางโจวอมยิ้ม เห็นคนแก่ตกใจกลัวจนล่าถอยไปแล้ว
จึงไม่เสวนากับนางต่อ
ไม่เช่นนั้น หากอาสามมาขัดจังหวะอยู่ข้างๆเรื่อยๆแล้วละก็
จะเป็นการรบกวนสมาธิคนเรียน นับว่าไม่ใช่การกระทำที่ดีนัก
ทุกคนล้วนคัดอักษรเสร็จกันหมดแล้ว จึงมีการเอากระดาษคัดลายมือของพี่น้องทั้งสี่คนมาเปรียบเทียบ
ลายมือของเหลียนฟางฉิงออกมาย่ำแย่ที่สุด ส่วนลายมือของเหลียนฟางโจวย่อมถูกต้องที่สุด ใช่แล้ว เพียงแค่ถูกต้องในแง่มีเส้นมีขีดต่างๆครบถ้วน
อย่างไร้ข้อกังขา
เหลียนฟางโจวจดจ้องตัวอักษรที่เหลียนเช่อเขียนด้วยความใส่ใจเป็นพิเศษ หญิงสาวรู้สึกค่อนข้างพอใจอยู่บ้าง
“พี่ใหญ่ช่างเก่งกาจแท้ ! เขียนถูกต้องหมดเลย !” เหลียนฟางฉิงอดร้องออกมาไม่ได้
“พูดเป็นเล่นแล้ว !” เหลียนฟางโจวเหลือบมองน้องสาวคนสุดท้องอย่างเคืองๆ
แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ แล้วอย่างตัวอักษรของพี่เจี่ยนพวกเจ้า ที่แตกต่างกับของข้าดั่งฟ้ากับเหวเล่า
เรียกว่าอย่างไรหรือ?
อาเจี่ยนระบายยิ้ม “เจ้าเพิ่งเริ่มเรียน ก็สามารถเขียนได้ถูกต้องครบถ้วนแล้วเช่นนี้
นับว่าหายากนัก ฟางโจวช่างฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง !”
“จริงด้วย จริงด้วย พี่ใหญ่ข้าช่างเก่งกล้าน่าทึ่งนัก
!” เหลียนเซ่อและเหลียนเช่อเห็นแล้ว ต่างพูดเป็นเสียงดียวกัน
เหลียนฟางโจวแอบเอ่ยในใจ ด้วยความละอาย ตัวอักษรดั้งเดิมแบบนี้
ชั้นก็เขียนไม่เป็นเหมือนกัน
หากไม่นับอักษรแบบง่ายที่ชั้นเขียนมามากมายนับไม่ถ้วนในชาติก่อนหน้านั่นนะ ลองเป็นแบบนี้
มันก็ต้องเก่งกว่าพวกเธอที่เพิ่งเริ่มหัดเรียนอยู่แล้ว โอย..ไม่กล้าสู้หน้าผู้คนเลยจริงๆ !
“เจ้าสามคนก็เขียนได้ไม่เลวมากเหมือนกัน
พวกเจ้าต้องฝึกฝนให้มากๆ ผ่านไปสักพัก ก็จะสามารถเขียนได้ดีเอง !” อาเจี่ยนแย้มยิ้ม ภายใต้การชี้แนะของเหลียนฟางโจว จึงมีการลงคะแนนลายมือบนกระดาษของแต่ละคน โดยจะวงกลมรอบตัวอักษรที่เขียนได้ดีเข้าตากรรมการ หลังจากตรวจงานเขียนดูแล้ว หากไม่นับส่วนของเหลียนฟางโจวแล้ว
เหลียนเช่อเป็นผู้ได้รับจำนวนวงกลมมากที่สุด ส่วนเหลียนเซ่อและเหลียนฟางฉิงก็ได้วงกลมบ้างเล็กน้อย
เดิมทีเหลียนเช่อจะต้องไปเรียนในสำนักศึกษาอยู่แล้ว เขาเขียนได้เก่งกว่าคนอื่นๆ
เหลียนเซ่อและคนอื่นๆต่างคิดว่า เป็นสิ่งถูกต้องสมควรแล้ว
เพียงแต่ พอเห็นลายมือของตนเองได้รับการยอมรับ ความมั่นใจของเหลียนเช่อพลันเพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด
เด็กชายบังเกิดความฝักไฝ่ใคร่เรียนรู้ต่อ
ในช่วงเริ่มต้น ไม่ควรเรียนหนักเกินไปนัก คืนนี้เรียนเขียนอักษรเพียงสามคำนี้ก็พอ
เหลียนฟางโจวเห็นน้องๆทั้งสามมีความสนใจยิ่งยวด เลยให้พวกเขาได้ฝึกฝนต่ออีกชั่วครู่ ครั้นแล้วหญิงสาวจึงลุกขึ้นเดินเข้าครัว
เพื่อต้มน้ำร้อนให้เสร็จ สำหรับไว้ใช้อาบน้ำชำระร่างกาย
พอผลักประตูเรือนเปิดออกมา ลมเหนืออันหนาวเหน็บก็พุ่งปะทะใส่ใบหน้าตน เหลียนฟางโจวอดกระชับอาภรณ์บนร่างกายไม่ได้ หญิงสาวนึกวางแผนอยู่ในใจ รอเก็บเกี่ยวฝ้ายไปขายเป็นเงินได้เมื่อไร เธอจะต้องสร้างบ้านใหม่หลังใหญ่ๆให้จงได้ และตั้งใจมั่นว่าครัวจะต้องไม่อยู่นอกตัวบ้านอีก
แสงสลัวที่ลอดผ่านหน้าต่างออกมานอกตัวเรือน ทำให้เห็นสิ่งที่คล้ายเม็ดโฟมเล็กๆจำนวนมหาศาลลอยละล่องลงมาจากฟากฟ้า
อย่างเงียบเชียบ นำพาท่วงทำนองนุ่มนวลไพเราะมาด้วย ดวงใจหญิงสาวเต้นแรงด้วยความเบิกบาน
------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^
ตอนนี้อบอุ่นจังเลย ชอบ
ตอบลบมีเขินด้วย อิอิ
อาเจี่ยนแอบชอบนางเอกหน่อยๆแล้วไหมเนี่ย ตอนนี้อ่านไปอมยึ้มไป เค้าน่ารักกันเนอะ
ตอบลบคุณพระช่วย อาเจี่ยนเขินแล้ว 5555
ตอบลบตอนนี้มุ้งมิ้ง ฟุ้งฟิ้ง น่ารักมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
เป๋นตอนที่น่ารัก อ่านแล้วเขินเลยค่ะ
ตอบลบอ่านไปยิ้มไป
ตอบลบบรรยากาศเป็นครอบครัวอบอุ่น
ตอบลบบรรยากาศดีมากเลย
ตอบลบขอบคุณค่ะ
อ่านไปยิ้มไป อุ่นใจที่สุด ขอบคุณนะคะ
ตอบลบขอบคุณคับ
ตอบลบ