“อาเซ่อ!” เหลียนฟางโจวมุ่นคิ้ว
ต่อว่าน้องชาย “เจ้าเห็นเป็นเรื่องสนุกนักหรือไร? หมาป่าไม่ต่ำกว่า
7 หรือ 8 ตัว เจ้าทำอย่างกับเก่งพอจะต่อกรพวกมันได้!
มิหนำซ้ำ ยังเป็นหมาป่าในฤดูหนาวอีก!”
ฤดูหนาวอากาศหนาวจัด
อาหารขาดแคลน ใครจะรู้เล่าว่าหมาป่าพวกนี้ ดุร้ายเพราะอดอยากหิวโหยหรือไม่? เวลามนุษย์เราอดอยากหิวจัดๆขึ้นมา ยังก่อเรื่องโหดเหี้ยมขึ้นมาได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับหมาป่าเล่า?
เสียงเห่าหอนอย่างดุร้ายเต็มเปี่ยมนั้น เวลานี้ยิ่งกรีดแหลมบาดลึกดังก้อง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
เสียงนั้นดูคล้ายดังอยู่ข้างๆหูนี่เอง ช่างกระทบหัวใจคนฟังอย่างรุนแรง
พาให้ตัวสั่นระริกด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงต่อหายนะอันน่าสะพรึงกลัวนี้!
ท่ามกลางเสียงเห่าหอนของหมาป่า
ดูเหมือนมีเสียงร้องคร่ำครวญขอความช่วยเหลือเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเรื่อยๆอีกด้วย
เสียงนั้นทั้งสิ้นหวังทั้งหวาดกลัวอย่างที่สุด
เสียงของสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ดังประสานไปด้วยกัน
นำมาซึ่งความรู้สึกกดดันและสยดสยองที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
“อาเจี่ยน
! อาเจี่ยน! ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! อาเจี่ยน!
ช่วยข้าที!” ทันใดนั้น
เสียงร้องขอความช่วยเหลือ พลันแปรเป็นเสียงหวีดร้องหลายเสียง ตะโกนแข่งกันร้องเรียกหาอาเจี่ยน
มีทั้งเสียงผู้หญิงและเสียงร้องไห้ของเด็กดังระงมไปด้วยกัน
เหลียนฟางโจวและคนอื่นๆถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
ม่านตาเหลียนเซ่อหดเล็กลง เด็กหนุ่มพลันแค่นเสียงเอ่ย “ทีอย่างนี้ ถึงมานึกถึงพี่เจี่ยนกันได้!”
ในใจเหลียนฟางโจวก็คิดเช่นเดียวกัน
และรู้ดียิ่งว่า หากอาเจี่ยนไม่เข้าไปช่วยเหลือพวกเขา มีหวังได้โดนแค้นเคืองเป็นแน่
บางครั้ง
ความรู้สึกของผู้คนช่างแปลกประหลาดอะไรเช่นนี้
เห็นๆกันอยู่แล้วว่า
อาเจี่ยนนับเป็นคนนอก ดูแล้วไม่น่ามีหน้าที่และความรับผิดชอบต้องมาคอยช่วยเหลือพวกเขาในยามนี้
ทว่าหากเขาไม่ไป ก็จะกลายเป็นไม่ถูกต้องเอา
เหลียนฟางโจวอดทอดมองอาเจี่ยนด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
สายตาหญิงสาวเจือความขุ่นเคืองจางๆ
“ไม่มีใครรู้ว่าฝูงหมาป่าที่หิวกระหายพวกนั้นจะโจมตีบ้านเราหรือไม่
เดิมทีข้าเองตั้งใจจะจัดการพวกมันอยู่แล้ว!”
อาเจี่ยนคลี่ยิ้มบางให้เหลียนฟางโจว
“พวกเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ?”
เหลียนฟางโจวฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก แล้วพึมพำถามชายหนุ่ม
อาเจี่ยนกล่าวตอบ
“พวกเราแค่ไม่กี่คนนี่ ทำอันใดไม่ได้หรอก! ข้าจะฝ่าไปที่หมู่ตึกเอง ไปพาซุนฉางซิงและคนของเราสิบกว่าคนทั้งหมดมา! อาเซ่อ เจ้าลอบออกไปเงียบๆ ให้ระมัดระวังตัวทุกย่างก้าว รีบไปแจ้งเหตุร้ายให้เพื่อนบ้านรู้ ให้ทุกๆคนเตรียมคบเพลิง ท่อนไม้ หากเป็นไปได้
หาฆ้องโลหะ หรือพวกภาชนะที่ทำด้วยโลหะ ซึ่งตีแล้วมีเสียงดังกังวานไปด้วย”
ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ
“ลานบ้านของป้าจางกว้างขวางมาก ทำเลก็เหมาะสมดีด้วย ให้ชาวบ้านทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านป้าจาง รอข้ากลับไปวางแผนอีกที!”
เหลียนเซ่อพยักหน้ารับคำ
อาเจี่ยนไม่รั้งรออีกต่อไป ครั้นแล้วจึงเดินออกไปนอกประตู ชายหนุ่มได้ยินเสียงแผ่วเบาของเหลียนฟางโจวดังขึ้น
”ระวังตัวด้วย” ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ
แล้วผลุบหายไปในความมืดมิดยามราตรีทันใด
เหลียนเซ่อกำลังจะออกไปอีกคน
เหลียนฟางโจวดึงตัวเขาไว้ เอ่ยเสียงหนัก “หากมีผู้ใดไม่พร้อม บอกเขาว่าหากไม่สามารถให้ความร่วมมือกำจัดฝูงหมาป่าได้
สุดท้ายพวกเขาก็มีส่วนร่วมในความสำเร็จอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้นก็ให้เข้าไปในบ้านที่เจ้าของเข้าเอ่ยปากอนุญาตล่ะ”
“ข้าทราบแล้ว!”
เหลียนเซ่อผงกศรีษะ
เหลียนฟางโจวเอ่ยเสริมอีก
“เจ้าระวังตัวหน่อย ละทิ้งความอยากแสดงฝีมือได้หรือไม่?”
เธอกลัวว่าอารมณ์วู่วามของเด็กหนุ่มอย่างเหลียนเซ่อ
จะควบคุมไม่ได้ หญิงสาวจึงกำชับอีกประโยค
“หากหุนหันพันแล่นขึ้นมา เจ้าจะทำลายแผนการของพี่เจี่ยนลงได้นะ!”
วาจานี้ช่างมีพลังทำลายล้างนัก
เหลียนเซ่อรับคำเสียงขรึม “วางใจเถิด
พี่ใหญ่ ข้าจะไม่ทำอะไรวู่วามแน่!”
“ดูแลตัวเองให้ดีด้วย!”เหลียนฟางโจวคลายใจลงในที่สุด
“ข้าจะพาอาสาม ฉิงเอ๋อร์ และเช่อเอ๋อร์ไปบ้านป้าจางเอง เจ้าบอกให้พวกชาวบ้านรีบไปด้วยล่ะ!”
เหลียนเซ่อรับปากด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทั้งกำชับให้พี่สาวระวังตัว แล้วจึงผละออกไปอย่างเงียบเชียบ
น้องๆและเหลียนฟางโจวผู้เป็นพี่สาว
สามคนช่วยกันพยุงอาสามขึ้นจากพื้น เหลียนฟางโจวถอนหายใจ “อาสาม ท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่? เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ พวกเรารีบไปบ้านป้าจางกันเถิด
ไม่ต้องพูดอันใดแล้ว มีคนมาก
จะได้คอยสอดส่องดูแลกันด้วย! ท่านยังพอเดินไหวหรือไม่?”
อาสามทอดมองพวกเขาจึงคลายความขึ้งเครียดลงมาหน่อย
แล้วค่อยๆสงบใจลงไปไม่น้อย นารีบพยักหน้าบอก
“ได้ ได้! ไหว ไหว!”
จากนั้นจึงนึกในใจ
จริงเสียด้วย ควรไปบ้านป้าจาง ยิ่งคนมากเท่าใด ยิ่งดีเท่านั้น
ต่อให้หมาป่าบุกเข้ามาจริงๆ ถึงโดนกัด
ก็คงไม่เจ็บหนักมากกระมัง...
ส่วนเหลียนฟางโจวผู้ซึ่งไม่รู้ว่าอาสามคิดอะไรอยู่ในใจเวลานี้
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก สั่งการให้ทุกคนเตรียมคบเพลิง
และหาท่อนไม้ ทั้งสี่คนช่วยกันหอบหิ้วอ่างเหล็ก ถังเหล็ก และสิ่งของอื่นๆ ย่องเงียบมาบ้านป้าจาง
พอถึงนอกรั้วบ้านก็เคาะประตูเรียก
ค่ำคืนนี้ไม่มีผู้ใดในบ้าน
ที่ยังไม่ตื่น ซ้ำยังไม่มีผู้ใดในบ้านไหนที่ตื่นแล้ว แล้วยังไม่ลุกจากที่นอนมาอยู่รวมกลุ่มกัน
เสียงเคาะประตูและเสียงร้องเรียกเบาๆของเหลียนฟางโจวกับพวกดังขึ้น
ป้าจางพร้อมคนในครอบครัวได้ยินแล้วบังเกิดความหวาดกลัวแทบจะทันที
ภายหลังฟังแล้วว่าเป็นเหลียนฟางโจวแน่ๆ ลุงหลี่ ป้าจาง และหลี่ซานเหอ รีบสาวเท้าไปเปิดประตูรั้วด้วยกัน
รีบดึงพวกเหลียนฟางโจวเข้ามายังว่องไว
“ไฉนพวกเจ้าถึงมากันล่ะ?” ป้าจางถาม
ยังไม่ทันที่เหลียนฟางโจวจะเอ่ยตอบ นางก็รีบถามต่อ “แล้วอาเจี่ยนกับอาเซ่อเล่า? ไอ้หยา
ไม่ใช่ว่า ไม่ใช่ว่าไปช่วยชีวิตคนที่บ้านหวางชีหลางหรอกนะ? ไอ้หยา
พวกเขาช่างไม่รักตัวกลัวตายกันเลย! ต่อให้เก่งกาจยังไง
มันก็มิใช่ของง่ายปานนั้น ไม่ควรเอาตัวไปเสี่ยงซ้ำสองอีก!”
“อาเจี่ยนกับอาเซ่อมิใช่คนที่ไม่รู้หนักเบา
เจ้าหยุดเร่งเร้าก่อนเถิด ฟังเหลียนฟางโจวเล่าความเสียก่อน! “
ลุงหลี่ถอนหายใจหนึ่งครา เขาสบตาป้าจาง แล้วรีบเอ่ยขึ้น
วาจาของป้าจางย่อมสะท้อนว่านางเป็นห่วงครอบครัวเหลียนฟางโจวเพียงไร
อันที่จริงก็ไม่ผิดอันใด ทว่าวาจานี้กลับเป็นภัยต่อครอบครัวหวางชีหลางนัก
หากพวกเขาล่วงรู้ขึ้นมา ลงท้ายคงไม่ดีแน่
ป้าจางก็เพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกัน
สีหน้าพลันปรากฏรอยกระอักกระอ่วน แล้วรีบเอ่ยขึ้น “ข้ามัวแต่เป็นห่วงฟางโจวน่ะ
เฮ่อ!”
“ข้าเข้าใจ!” เหลียนฟางโจวผงกศรีษะโดยพลัน
แล้วสั่งห้ามไม่ให้อาสามและน้องน้อยทั้งสองเอาเรื่องที่ป้าจางเพิ่งเอ่ยออกไปเมื่อครู่
เอาไปพูดข้างนอกแม้แต่ครึ่งคำ จากนั้นหญิงสาวจึงรีบเอาเรื่องการเตรียมการของอาเจี่ยนมาเล่าให้ฟังในคราเดียว
เมื่อลุงหลี่
ป้าจาง และหลี่ซานเหอได้ยินว่า มีหมาป่าอย่างน้อยราวๆ 7-8 ตัว แข้งขาของคนทั้งสามพลันอ่อนแรงอย่างฉุดไม่อยู่
หัวใจเต้นกระตุก ตัวสั่นระริกด้วยความพรั่นพรึงต่อมหันตภัยครั้งนี้
รู้ๆกันอยู่
ลำพังแค่หมาป่าตัวเดียว ที่ยังลอยนวลอยู่ ก็พอจะก่อความวุ่นวายทำลายความสงบสุขของคนทั้งหมู่บ้านได้แล้ว
!
ป้าจางตบอกผางอ้าปากค้าง
“มิต้องสงสัยเลย คนพวกนั้นถึงได้ร้องตะโกนโหยหวนออกปานนั้น...”
“เลิกพิรี้พิไรได้แล้ว
เราทุกคนเชื่อฟังที่อาเจี่ยนบอก รีบไปเตรียมตัวกันเถิด!” ลุงหลี่กระทืบเท้า
ถอนหายใจพร้อมใบหน้าหนักอึ้ง “อาเจี่ยนพูดถูกแล้ว หากหมาป่าเหล่านี้ไม่ถูกกำจัด คงจะเกิดหายนะไม่น้อย
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ว่าค่ำคืนพรุ่งนี้ ผู้ใดจะเป็นรายต่อไป!”
ทุกๆคนล้วนเห็นด้วย
แล้วจึงแยกย้ายกันไปเตรียมการ
ป้าจาง
เหลียนฟางโจว อาสาม จ้าวชื่อและคนอื่นๆไปจัดเตรียมข้าวของ
ส่วนลุงหลี่และหลี่ซานเหอในมือทั้งสองถือท่อนไม้ เฝ้าระวังอยู่หลังประตูรั้ว รอเพื่อนบ้านที่มาถึงเคาะประตู
แล้วจึงเปิดให้คนเหล่านั้นเข้ามา
เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็กๆไม่
ตราบใดที่ไม่ใช่คนปัญญาอ่อน ย่อมรู้ว่าฝูงหมาป่าจะไม่กำจัดใครที่ไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามใกล้
พอเห็นมีคนออกหน้าเป็นโต้โผเรื่องนี้ ทุกๆคนจึงค่อยหายใจคล่องขึ้น รู้สึกมีเสาหลักให้พึ่ง
เรื่องที่ให้เหลียนเซ่อไปแจ้งข่าวแก่สมาชิกของแต่ละครอบครัวนั้น แทบไม่มีใครปฏิเสธเลย
มีแต่จะยิ่งดึงลากกันมาที่บ้านป้าจาง แค่พริบตาเดียว ในลานกว้างบ้านป้าจาง
เต็มไปด้วยฝูงชนแน่นขนัด
ถึงมีฝูงชนเต็มลานบ้าน
ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงดังหนวกหู แม้มีเสียงพูดคุยหารือเป็นครั้งคราว
ก็เป็นเพียงเสียงกระซิบกระซาบเท่านั้น คล้ายกลัวว่าหากเกิดเสียงดัง จะชักนำฝูงหมาป่าเข้ามา
ส่วนพวกเด็กเล็กซึ่งเดิมทีร้องไห้กระจองอแงด้วยความหวาดกลัว
แต่เพราะมีคนเป็นอันมาก ความกล้าจึงเพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย
เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ซึ่งคอยพูดจาปลุกปลอบ
ต่อมาจึงค่อยๆหยุดร้องไห้ไปเอง เด็กบางคนที่เก่งหน่อย
ก็เบิ่งตาสอดส่ายไปทั่วด้วยความอยากรู้
ทุกๆคนมิได้หวาดกลัวหัวหดอย่างแต่ก่อนแล้ว แต่บรรยากาศก็ยังดูอึมครึมและหนักหน่วงอยู่ดี
-----------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^
ขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบยิ่งอ่านยิ่งสนุกมากมายค่ะ รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อค่ะ
ขอบคุณค่า
ตอบลบลุ้นมากกกกกกก ขอบคุณนะคะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณคะ ลุ้นๆเหตุการณ์ต่อไปที่ป้าจางพูดมาแสดงว่ามีครอบครัวเคราะห์ร้ายเกิดขึ้นแล้วสิ
ตอบลบโอ้ย ตื่นเต้น
ตอบลบลุ้นอ่ะ
ตอบลบลุ้นไปด้วยเลย
ตอบลบ