วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 242 ตัดสินใจยาก


            พอคล้อยหลังชาวบ้านทุกคนไปแล้ว แม่เฒ่าหยางผู้หงุดหงิดฉุนเฉียวใจจึงหันมาต่อว่าทางพ่อตาแม่ยายรวมทั้งลูกสะใภ้แทน แต่พอโดนพ่อเฒ่าหยางเอ็ดใส่เสียหลายคำ  เลยจำต้องยอมหุบปากไปโดยปริยาย  ได้แต่นั่งฟังฝั่งบิดาลูกสะใภ้เล่าเรื่องราวความเป็นมาด้วยความเดือดดาล
            ในที่สุด ผู้เฒ่าสกุลฮวาก็ถอนหายใจแล้วเอื้อนเอ่ย “หมาป่าตัวใหญ่ปานนั้น  เขาก็ยกให้เป็นของทำขวัญแก่พวกเราทั้งหมด หวายชานเองก็ได้รับชื่อเสียงดีงาม เรื่องนี้ดูรูปการณ์แล้วแม้แต่ข้า ผู้เป็นพ่อตาจะเห็นแย้งอะไรได้เล่า?”
            แม่เฒ่าหยางเป็นพวกชอบเอาชนะคะคาน  และชอบคิดว่าปัญหาของคนอื่นเป็นปัญหาของตน พอเห็นว่าพ่อเฒ่าฮวาเอาแต่ถามความเห็นแต่ฝ่ายพ่อสามีเท่านั้น และไม่ถามความเห็นตนผู้เป็นแม่สามีบ้างเลย จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นทันใด  หญิงชราเอ่ยตำหนิด้วยใบหน้าเย็นชา “เพ้ย! เสียเปรียบขนาดนี้ได้อย่างไร! ลูกชายข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตนางแพศยาต่ำต้อยนั่น  แล้วนางโยนเงิน 10 ตำลึงมาให้แค่นี้เรอะ!”

            พ่อเฒ่าหยางทำหน้าบอกบุญไม่รับขึ้นมาทันที  ในน้ำเสียงแฝงความเย็นชาเพิ่มขึ้นสองส่วน “เมื่อคืนวานมีฝูงหมาป่าเข้ามาโจมตีหมู่บ้านพวกข้า  หากมิได้คนสกุลเหลียนเป็นตัวตั้งตัวตี  ก็ไม่รู้ว่าสัตว์ร้ายมันจะก่อความหายนะให้เมื่อใด! วันนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องคอยอกสั่นขวัญแขวนกับอะไรอีก! หมาป่า 12 ตัวเทียวนะ  ฟังแค่เสียงเห่าหอนของพวกมัน ก็พาให้ตัวสั่นงันงกไปตามๆกันแล้ว ยามนี้คนสกุลเหลียนกลายเป็นผู้มีพระคุณของคนทั้งหมู่บ้านไปแล้ว ที่จางหลี่เจิ้งกล่าวมาเมื่อครู่ก่อน พวกท่านก็ได้ยินไปแล้วนี่ ที่พูดมานี่ ยังต้องการอันใดอีกรึ?”
            น้องชายคนที่สามของสกุลฮวาอดรนทนไม่ไหว ก็พูดสวนเหล่าผู้อาวุโสขึ้นมา “ใช่แล้ว เมื่อวานนี้คนสกุลเหลียน ได้ช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้านเอาไว้  พอมาวันนี้สามีพี่สาวก็ช่วยชีวิต พี่สาวคนโตของสกุลเหลียน ทำไมจะไม่สมควรเล่า? พูดก็พูดเถอะ ภายหลังหากไม่ใช่เพราะพี่เจี่ยนมาทันเวลาพอดี เกรงว่าพี่เขยคงเหลือแต่ชื่อเสียแล้ว! ก็ถือว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีบุญคุณอะไรติดค้างกัน ทางฝ่ายเราก็ไม่เห็นว่าจะเสียเปรียบอันใดเสียหน่อย!”
            เด็กหนุ่มพูดยังไม่ทันจบประโยคดี ก็โดนทั้งมารดาและฮวาเสี่ยวฮวาผู้เป็นพี่สาวพร้อมใจกันถ่มน้ำลายใส่เข้าให้
            แม่เฒ่าหยางเดือดดาลจัด “เจ้าเด็กนี่...ไยถึงพูดไม่รู้จักคิดเยี่ยงนี้  ถึงกับพูดแช่งสามีพี่สาวเจ้าเชียวรึ!”
       “ก็ข้าพูดความจริงนี่  เรื่องแค่นี้พวกท่านคิดกันไม่ออกรึ?” บุตรชายคนที่สามของสกุลฮวารู้สึกไม่พอใจ จึงแค่นเสียงใส่ “พวกท่านสกุลหยางหาได้เป็นคนหมู่บ้านต้าฝางเสียหน่อย ไยบ้านเรายังต้องมาเกรงใจด้วยเล่า?..ฮึ่ม พูดไปก็ทำเสียงฮึดฮัดแล้วสาวเท้าเดินจากไป
            พ่อเฒ่าหยางรีบแย้มยิ้มเอ่ยคำปลอบโยน  แล้วจึงพูดเสริมอีกว่า “เจ้าลูกชายข้านั่น แม้จะพูดจาไม่น่าฟัง ทว่าที่พูดไปก็พอมีเหตุผลอยู่บ้างเหมือนกัน!   จะว่าไปสุดท้ายแล้วชีวิตของลูกเขยก็ถูกผู้อื่นช่วยเอาไว้เหมือนกัน  แล้วพวกเราจะไม่ไว้หน้าจางหลี่เจิ้งได้อย่างไร! ส่วนเงินและก็หมาป่าตัวนี้พวกท่านก็นำกลับไป เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นอันยุติ พวกท่าน..เห็นเป็นเช่นไร?”
            แม่เฒ่าหยางยังไม่ยอมรามืออยู่ดี ใครจะคิดเล่าว่าแม่เฒ่าฮวาเองก็ยังไม่ยอมปล่อยวางอีกคน
            เงินน่ะไม่เป็นไร  แต่หมาป่าตัวนี้ไม่สมควรทิ้งไว้ที่บ้านสกุลฮวารึ? ถึงไม่ทิ้งไว้ทั้งหมด ก็ควรทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งก็ยังดี?  ส่วนหนังหมาป่าตัวนั้นก็ควรแบ่งฝ่ายละเท่าๆกันด้วย?
            ด้วยเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้ใบหน้าของแม่เฒ่าฮวาเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงโดยพลัน นางต่อว่าที่หยางหวายชานหาเรื่องใส่ตัวด้วยความเดือดดาล กล่าวได้ว่าหากไม่เป็นเพราะเขา พวกนางคงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ทั้งหมดทั้งปวงต้องโทษตัวเขาที่เป็นต้นเหตุของหายนะ! ถึงกับยอมสละชีวิตเพื่อช่วยอดีตคู่หมั้นต่อหน้าต่อตาลูกสาวนาง ในใจเขาไม่เคยมีลูกสาวนางอยู่บ้างเลยหรือไร? แล้วอย่างนี้สกุลฮวานับเป็นตัวอะไรกัน!
            ถ้อยคำเหล่านี้กล่าวได้ตรงใจส่วนลึกของฮวาเสี่ยวฮวาที่สุด  มานึกดูอีกทีชีวิตหลังแต่งงาน หญิงสาวพบแต่ความผิดหวังซ้ำซาก  ใจของสามีไม่เคยอยู่ที่ตน หนำซ้ำแม่สามีก็แสนร้ายกาจคอยแต่หาเรื่องทำร้ายจิตใจ  พอทนอัดอั้นตันใจไม่ไหว หญิงสาวก็ร้องไห้โฮน้ำตานองหน้าอย่างระทมทุกข์
            สีหน้าบรรดาคนสกุลฮวาต่างย่ำแย่ถึงที่สุด ท่ามกลางนั้นก็มีพ่อเฒ่าฮวารวมอยู่ด้วย
            ไหนเลยแม่เฒ่าหยางจะยอมแพ้เล่า?  นางย่อมเถียงเอาชนะ  ทั้งโมโหทั้งตำหนิตัวของฮวาเสี่ยวฮวาที่ไม่มีความสามารถ ไม่สามารถมัดใจสามีได้ เรื่องราวทั้งหลายแหล่ยังต้องให้นางผู้เป็นแม่สามีต้องออกหน้าจัดการไปทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าตอนอยู่บ้านเดิม สั่งสอนอบรมกันมาอย่างไร!
            เวลานี้นับเป็นการอาไม้ไปแหย่รังแตนโดยแท้  ใบหน้าแม่เฒ่าฮวาฉายแววเดือดดาลประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว  ร่ำๆจะเปิดปากด่าแม่เฒ่าหยางเต็มแก่.....
            สุดท้ายเรื่องน่าขบขันนี่  ก็ตกลงรอมชอมและยุติกันได้ทั้งสองฝ่าย
            เรื่องจะคิดบัญชีกับเหลียนฟางโจว ก็ไม่มีใครพูดถึง
            ทว่ากลับสนใจเพียงการจัดการกับซากหมาป่านั่น ในที่สุดทั้งสองครอบครัวก็ตกลงแบ่งกันฝ่ายละครึ่ง
            ในใจแม่เฒ่าหยางรู้สึกเสียดายยิ่งนัก  นึกบ่นในใจว่าทีแรกทางบิดาลูกสะใภ้มิได้พูดหรอกหรือว่าหมาป่าเป็นของบ้านตนทั้งหมด? ทีนี้เลยแย่เลย บ้านนางได้มาเพียงครึ่งหนึ่ง!
            จะทำอย่างไรได้  ในเมื่อตาเฒ่าของตนใช้อำนาจบังคับ นางเลยไม่กล้าโต้แย้งอะไรอีก
            จะว่าไปแล้ว ลูกชายตนก็พอกัน  ถือว่าผิดจริงๆที่ไปทำอะไรหักหน้าคนทั้งบ้านลูกสะใภ้ ตอนนี้ยังอยู่ในบ้านสกุลฮวา นางย่อมไม่อาจวางอำนาจได้
            ทว่าสกุลเหลียนนี่สิ จะไม่ให้นางคิดแค้นได้อย่างไร!
            ด้วยอาการบาดเจ็บของหยางหวายชานยังไม่เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้าย ทั้งสองสกุลจึงปรึกษากันว่า ให้เขาพักฟื้นอยู่ที่บ้านสกุลฮวาสักหลายๆวันก่อน รอแผลสมานตัวดีแล้วจึงค่อยกลับไปอีกที
            แม่เฒ่าหยางรั้งอยู่ที่บ้านสกุลฮวาเป็นนานเพื่อให้หมอทำแผลเสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยกลับไป ก่อนจากก็ยังคอยกำชับลูกสะใภ้ไว้ล่วงหน้า “ดูแลสามีเจ้าให้ดี จำไว้เชิญท่านหมอมาเปลี่ยนยาตามกำหนด นี่เป็นเรื่องสำคัญมีผลไปทั้งชีวิตนะ อย่าได้สะเพร่าล่ะ! แล้วก็ทำอะไรอร่อยๆให้เขากิน หรือหากเขาอยากกินอะไร ก็ทำให้เขาเสีย!  และค่ารักษาสามีเจ้านี่  อย่าให้สกุลต่ำต้อยนั่นเบี้ยวเงินเสียล่ะ!”
            นางหันไปเอ่ยกับฮวาเสี่ยวฮวาด้วยความชิงชัง “หากใช้เงินเท่าไร ก็ให้ไปเรียกร้องกับนังยาโถวชั้นต่ำสกุลเหลียนนั่น!  เพราะเพื่อช่วยชีวิตนาง หวายชานถึงได้เสี่ยงชีวิตเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อว่านางจะยังกล้าไม่ให้เงินมา!”
            ใบหน้าฮวาเสี่ยวฮวาซีดขาว หญิงสาวอึดอัดในโพรงอกจนแทบหายใจไม่ออก  ประโยคที่ว่าเพราะเพื่อช่วยชีวิตนาง หวายชานถึงได้เสี่ยงชีวิตเช่นนี้ทำให้นางคลั่งแค้นไม่หยุด
            แม่เฒ่าหยางเห็นลูกสะใภ้หน้าเปลี่ยนสี ก็มิเอื้อนเอ่ยอันใด ได้แต่แค่นเสียงแล้วเดินจากไป
            ขณะเดินกลับ แม่เฒ่าหยางก็เผลอมองไปยังทิศที่ตั้งบ้านสกุลเหลียนโดยไม่รู้ตัว นางพึมพำเบาๆ “ไม่คิดเลยว่านังยาโถวชั้นต่ำนั่นจะมีฝีมือ แถมยังเป็นญาติกับพวกเศรษฐีอีก รู้อย่างนี้ ให้นางแต่งเข้ามาก็ดีหรอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกับบิดามารดานาง....”
            หัวคิ้วของพ่อเฒ่าหยางขมวดขึ้น เมื่อเห็นสายตาภรรยา และตัดสินใจว่าจะไม่ลงไปตักเตือนนาง
**
            เมื่อกลับถึงบ้าน อารมณ์ของเหลียนฟางโจวถึงค่อยดีขึ้นมานิดหนึ่ง ทว่าในใจก็ยังมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เหนืออื่นใด ในช่วงความเป็นความตายนั้น หยางหวายชานได้เอาตัวมาบังนางไว้! หากอาเจี่ยนมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เขาคงสิ้นชีพแน่...
            ความรู้สึกที่ได้ถูกช่วยชีวิตครั้งนี้  ถึงอย่างไรเหลียนฟางโจวคงมิอาจสลัดมันออกไปได้โดยง่าย
            อาเจี่ยนเห็นหญิงสาวเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่ใคร่สบายใจนัก  ชายหนุ่มอดหันกลับมามองมานางหลายๆครั้งไม่ได้  เมื่อเห็นนางเหม่อลอยครุ่นคิด  สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ครั้นแล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่ม “บาดแผลของหยางหวายชานนั่นลึกก็จริง แต่โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ ด้วยอากาศเช่นนี้ แผลคงอักเสบยาก เจ้าอย่าได้กลัดกลุ้มไปเลย พอเขาได้พักฟื้น ไม่นานก็ดีขึ้นเอง”
            เหลียนฟางโจวหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มพลางพยักหน้า “อาเจี่ยน  คนที่ข้าต้องขอบคุณที่สุดคือท่าน เคราะห์ดี เคราะห์ดีที่วันนี้ท่านไป หากไปช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ข้าจะทำยังไงกับชีวิตที่เหลือดี!”
            อาเจี่ยนรู้สึกโล่งอก ดวงตาชายหนุ่มทอประกาย  รอยยิ้มบนใบหน้าเพิ่มขึ้นสองส่วน “ฟางโจว เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว! เขาช่วยชีวิตเจ้า ข้าช่วยชีวิตเขา ก็ถือว่าเรากับเขาไม่มีหนี้บุญคุณต่อกัน เพราะฉะนั้น เจ้าเลิกรู้สึกผิดเถิด! จะว่าไปแล้วเหตุการณ์เมื่อคืนวาน ใครเล่าจะกล้ารับประกันว่าฝูงหมาป่าจะไม่เข้าไปทำร้ายคนบ้านสกุลฮวา? ดังนั้นพูดได้ว่า พวกเขาเป็นหนี้บุญคุณพวกเรามากกว่านะ!
            “หึๆ”เหลียนฟางโจวหลุดหัวเราะออกมา อารมณ์เธอพลอยปลอดโปร่งขึ้นมาก
       เธอหันไปเอ่ยกับอาเจี่ยนด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่สะดวกไปที่บ้านสกุลฮวา พวกอาเซ่อก็ไม่สะดวกไปด้วย คงต้องรบกวนท่านให้ช่วยไปเยี่ยมเยียนฝ่ายนั้นหน่อย อีกทั้งช่วยนำเงินไปมอบให้ได้หรือไม่!”
            อาเจี่ยนพยักหน้ารับปาก
            เหลียนฟางโจวเอานิ้วคลึงขมับ  อดถอนหายใจไม่ได้ “จะว่าไปแล้วมันก็แปลกอยู่นะ หมู่บ้านต้าฝางของพวกเราเนี่ย มิได้มีภูเขาสูงล้อมรอบเลย จะดึงดูดฝูงหมาป่าเข้ามาได้อย่างไร? ฝูงหมาป่านั่นหากหิวโซจริง  ไยถึงไม่ไปจับหมูจับวิวกิน อีกทั้งบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ชายขอบหมู่บ้าน พวกมันก็ไม่ไปหาด้วย ไฉนถึงเอาแต่จ้องเล่นงานบ้านสกุลหวางชีหลางอยู่บ้านเดียวเล่า?”

------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
ช่วงนี้งานยุ่ง ต้องขออภัยที่อัพช้าหน่อยนะคะ ^_^

8 ความคิดเห็น:

  1. ถึงช้าไม่เป็นไร ยังไงก็ติดตามอยู่ตลอด ขอบคุณที่สละเวลามาแปลเป็นสำนวนดีๆให้อ่าน รักษาสุขภาพด้วยค่ะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ ดีนะที่อาเจียนไปช่วยทันเรื่องจึงไม่ยืดยาวไป

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณนะ ชอบอ่านทุกตอนเลย

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณมากค่ะ
    ดูแลสุขภาพนะคะ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณมากๆครับ

    ตอบลบ
  6. เห็นด้วยกับฟางโจว ทำไมหมาป่าถึงมาที่นี่ได้ สงสัย?
    ขอบคุณนะคะไรท์

    ตอบลบ
  7. เหมือนนั่งมองสายน้ำไหลในป่าเลยคะ​
    ����

    ตอบลบ