อาเจี่ยนพลันอึ้งงันไป แล้วรีบพูดขึ้น
“พวกเรารีบไปบ้านหวางชีหลางกันเถิด! เดิมทีข้าคิดจะไปถามอยู่เหมือนกัน ภายหลังดันลืมเสียได้!”
เหลียนฟางโจวชะงักไป
เธอรู้สึกว่าท่าทีของอาเจี่ยนดูจะจริงจังเกินไปนิด
ขณะเดินร่วมทางไปกับชายหนุ่ม หญิงสาวจึงรีบเอ่ยถาม “ท่านคิดอะไรออกงั้นหรือ?”
อาเจี่ยนพยักหน้า
“ไว้ไปถึงบ้านหวางชีหลางแล้ว เจ้าจะเข้าใจเอง!”
“อ้อ”
เหลียนฟางโจวเปล่งเสียงในลำคอ แล้วเลิกซักไซร้ต่อ
เมื่อสองหนุ่มสาวบรรลุถึงบ้านหวางชีหลาง คนทั้งบ้านหวางชีหลางต่างเข้ามาต้อนรับขับสู้ให้เข้าบ้านอย่างกระตือรือร้น
ทั้งยังกล่าวขอบคุณสรรเสริญเสียยกใหญ่
ยามนี้กระดาษกรุหน้าต่างยังคงปรากฏรอยฉีกขาดให้เห็น
และบนประตูปรากฏรอยข่วนลึกอยู่จำนวนหนึ่ง ลำพังแค่เห็นเพียงร่องรอยต่างๆที่หมาป่าฝูงนี้ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
ก็พาลให้แข้งขาอ่อนแรงเสียแล้ว
พวกเขาไม่กล้าย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานนั้นอีกเลย
ไม่กล้าจินตนาการว่า หากรอยเล็บแหลมคมปานนี้ กรีดลงบนร่างตนแล้วจะเป็นเช่นไร
หลังจากสนทนาปราศรัยกันพอหอมปากหอมคอ ในที่สุดอาเจี่ยนก็เล่าถึงเป้าประสงค์ที่มาในวันนี้
“พวกท่านทำอันใดหรือไม่? เหตุใดหมาป่าฝูงนี้ถึงมุ่งมาที่บ้านของพวกท่าน?”
พออาเจี่ยนถามคำถามจบลง บรรดาคนบ้านหวางชีหลางต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
แต่ละคนต่างนิ่งคิดดูสักพัก
ครั้นแล้วก็ส่ายหน้าไปตามๆกัน
หวางชีหลางเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “จะว่าไปเรื่องนี้
พวกเราก็รู้สึกว่ามันแปลกมากจริงๆ! ผีห่าซาตานตนใดกันนะ ที่มาดลใจหมาป่าฝูงนั้น
เหตุใดพวกมันถึงได้พากันบุกมาบ้านพวกข้ากัน!”
ขณะพูดไป
ดวงตาก็จับจ้องอาเจี่ยนอย่างนึกอยากรู้
แล้วรีบเอ่ยถามขึ้น “น้องเจี่ยน ท่านช่วยพวกข้าคิดดูที ว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่! เฮ่อ..ข้าไม่กลัวพวกท่านหัวเราะเยาะหรอก
คนมากมายในหมู่บ้านต่างก็มาสอบถามเรื่องนี้เอากับข้ากันทั้งนั้น ที่ออกความเห็นมา แบบไม่น่าฟังเลย ก็มีอยู่หลายคน!”
เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนสบตากันแวบหนึ่ง
ทั้งคู่ย่อมคิดในใจว่า จะมีบ้านใครบ้างล่ะที่อยู่แทบจะใจกลางหมู่บ้าน แล้วโดนฝูงหมาป่าล้อมเอาไว้
หากบอกว่าไม่มีสาเหตุใดเป็นพิเศษ ใครเล่าจะเชื่อ? หากแม้แต่ตัวพวกท่านเองก็ยังหาสาเหตุไม่ได้
สงสัยคงเป็นเพราะสวรรค์กริ้วโกรธ หรือไม่ก็อาจเป็นอย่างที่เขาเรียกกันว่า”เคราะห์กรรม
“
หากผู้คนเชื่อเช่นนั้น แล้วจะให้พูดแต่คำดีๆ ก็ประหลาดคนแล้ว!
อาเจี่ยนพูดขึ้น
“พวกท่านลองนึกดูดีๆอีกครั้งเถิดนะ มันต้องมีสาเหตุแน่ๆ พวกท่านมีไปพบเจอเรื่องอะไรที่แปลกไปจากปกติหรือไม่? มีไปทำเรื่องอะไรที่ผิดไปจากธรรมดาหรือไม่?”
บรรดาสมาชิกบ้านหวางชีหลางต่างพาก้มหน้าครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง
คนทั้งบ้านช่วยกันเค้นสมองตรึกตรองอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน
พวกเขาไม่พบอะไรที่ผิดปกติเลยจริงๆ!
“บ้านพวกข้าก็เป็นเพียงครอบครัวชาวบ้านธรรมดาซื่อๆ
จะไปมีเรื่องอะไรกับเขาที่ไหนกัน?
นี่ก็เพิ่งจะผ่านพ้นสิ้นปีมาไม่นาน
แม้แต่ที่ดินที่นาทั้งหลาย ก็ยังมิได้ไปดูเลย หลายปีล่วงมา ก็ไม่เคยทำการเพาะปลูกใดๆทั้งสิ้น
ไม่มีสิ่งใดผิดแปลกเลยจริงๆนะ !” หวางชีหลางพยายามฝืนปั้นรอยยิ้ม
พอพูดถึงตอนนี้ อาเจี่ยนก็ชักรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
ชายหนุ่มนิ่งคิดสักครู่
แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เช่นนั้น เอาอย่างนี้ พวกท่านก็นึกไปพลางๆก่อน ส่วนพวกข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน รอพวกท่านนึกออกเมื่อไร ค่อยมาบอกข้าอีกที! ข้าเชื่อว่า
ฝูงหมาป่านั่นไม่มีทางมาโดยไม่มีเหตุผลเป็นแน่!”
คนทั้งบ้านหวางชีหลางเองต่างก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มองยังไงก็แปลก
แล้วจึงพยักหน้ารับคำด้วยความยินดี
เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนกำลังจะกล่าวขอตัวจากไป
ปรากฏว่าในตระกร้าฟางที่วางอยู่ตรงมุมกำแพงมีหัวเล็กๆซึ่งมีขนปุกปุนโผล่ออกมา
มันร้องครางหงิงๆเบาๆ
หวางชีหลางเห็นสายตาเหลียนฟางโจวจับจ้องไปตรงนั้น
จึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “สองวันก่อนหน้า ข้าเก็บเจ้าลูกสุนัขตัวนี้ได้ระหว่างทางกลับบ้าน....”
เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ
เหลียนฟางโจวก็หน้าเปลี่ยนสีไปนิดหนึ่ง หญิงสาวชี้นิ้วไปที่ลูกสุนัขขนปุยนั่น
พลางเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “อาเจี่ยน..ท่านเห็นไหม
นั่นมันคล้ายลูกหมาป่าใช่หรือไม่!”
“ลูกหมาป่า!” คนทั้งบ้านหวางชีหลางต่างตกตะลึงไปตามๆกัน
อาเจี่ยนรู้สึกหนาวเยือกในใจ
ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปอุ้มลูกสุนัขของหวางชีหลาง
เขาสะกดกลั้นประกายในดวงตา พร้อมเผยรอยยิ้มจืดเจื่อน ครั้นแล้วจึงพรูลมหายใจ
“ข้าขอบอกว่า พวกท่านช่างขวัญกล้าอะไรเช่นนี้!
ลูกสุนัขอะไรกัน ที่จริงเป็นลูกหมาป่าต่างหาก!
ไม่สงสัยแล้วว่าไฉนฝูงหมาป่าถึงได้อยากมารุมล้อมบ้านพวกท่านกันนัก!”
อาเจี่ยนยังจำได้ดี
ท่ามกลางฝูงหมาป่า ที่จริงแล้วมีแม่หมาป่าที่อยู่ในช่วงให้นมลูกอยู่ตัวหนึ่ง
จนถึงบัดนี้ เขามิคิดเตือนให้พวกหวางชีหลางนึกถึงประเด็นนี้เลย
เคราะห์ดีที่ฟางโจวมาเห็นเข้า!
คนทั้งบ้านหวางชีหลางต่างหน้าซีดขาว
ร้องออกมาอย่างแตกตื่น
ต่างคนต่างขยับถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว พวกเขาจ้องลูกหมาป่าตัวน้อยที่กำลังครางหงิงๆแทบตาถลน เหงื่อบางๆผุดปรากฏขึ้นบนหน้าผาก
“ที่แท้
ที่แท้ ก็เพราะเจ้าตัวนี้เอง!”
หวางชีหลางเอ่ยพึมพำ
อาเจี่ยนเขย่าขา
พลิกดูทั้งตัวและแขนขาของลูกหมาป่าที่กำลังร้องครางหงิงๆไปมา เสร็จแล้วจึงหันไปเอ่ยกับหวางชีหลาง
“พวกท่านคิดว่าจะจัดการกับลูกหมาป่านี่ยังไง?”
หวางชีหลางรีบก้าวถอยหลัง
โบกไม้โบกมือปฏิเสธให้วุ่น “พวกข้าไม่ ไม่เอาแล้ว! น้องเจี่ยนเอ๋ย
ท่านอยากจะจัดการมันอย่างไร ก็ตามแต่ใจ หรือจะเอาไปทิ้งที่ไหนก็ไปเถิด!”
ภรรยาหวางชีหลางก็รีบเอ่ยขึ้นมาอีกคน
“นั่นล่ะใช่แล้ว พวกท่านช่วยรีบเอามันไปไกลๆด้วยเถิด! ยิ่งมองมัน
แข้งขาข้าพาลจะอ่อนแรงหมดแล้ว! ไอ้หยา
เวรกรรมจริงๆ หากรู้ว่ามันเป็นลูกหมาป่าตั้งแต่แรกแล้วละก็ ข้าคงโยนทิ้งไปนานแล้ว!”
อาเจี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรับเอาไปก็แล้วกัน!”
“เอาไปเลย
เอาไปเลย!” ทุกๆคนในบ้านหวางชีหลางพากันถอนหายใจโล่งอก
อาเจี่ยนระบายยิ้ม
แล้วจึงกล่าวอำลาขอตัวไปพร้อมกับเหลียนฟางโจว
เหลียนฟางโจวไม่รู้สึกกลัวสักนิด
ตรงกันข้ามหญิงสาวกลับคอยเมียงมองดูลูกสุนัขขนปุกปุยตัวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หน้าตาไร้เดียงสา ดวงตาของมันฉ่ำน้ำเป็นประกายสดใสหาใดเทียม ดูแล้วช่างน่ารักยิ่งนัก
ทว่า
เสียงเห่าหอนของหมาป่าเมื่อคืนวาน ไม่มีทางจะดูน่ารักเลยสักนิด!
“ท่านตั้งใจจะจัดการมันอย่างไร?”เหลียนฟางโจวอดถามขึ้นมาไม่ได้
“แล้วเจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”อาเจี่ยนถามกลับพร้อมรอยยิ้ม
ดูเหมือนว่าตัวเขาเผลอไปบีบตัวลูกสุนัขแรงไปหน่อย เจ้าลูกหมาป่าถึงกับบิดตัวอันนุ่มนิ่ม
ขนปุยของมันตั้งลุกชันทันใด พลางร้องครางหงิงๆเป็นการประท้วง
ดวงตาราวกับจะคั้นน้ำได้ จ้องมองอาเจี่ยนอย่างตัดพ้อ
ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้
! เหลียนฟางโจวอดเอื้อมมือไปลูบไล้มันไม่ได้
นุ่มมือดีอีกต่างหาก
อ๊ะ
อย่าบอกนะว่าจะฆ่ามันทิ้ง?
พอคิดได้ดังนี้
เหลียนฟางโจวก็รู้สึกทนไม่ได้ในทันที
เมื่อกลับถึงบ้าน
เหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อ เหลียนเซ่อ รวมทั้งอาสามต่างตื่นนอนกันหมดแล้ว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงปากทางเข้าหมู่บ้านเมื่อตอนเที่ยงนั้น
พวกเขายังไม่ทราบเรื่องนั้นเลย
พอเห็นลูกหมาป่าตัวน้อยในอุ้งมือของอาเจี่ยน
ดวงตาของพวกเขาต่างปรากฏประกายวาบขึ้นมาโดยพร้อมเพียงกัน
“อ๋า..”
เหลียนฟางฉิงร้องขึ้น เด็กน้อยถลาเข้ามาหาด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ นางค่อยๆเอื้อมมือมาลูบหัวลูกหมาป่าอย่างระมัดระวัง
แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดี “ลูกหมาเยี่ยมยอดไปเลย พี่ใหญ่
ต่อไปให้ข้าเลี้ยงมันได้หรือไม่เจ้าคะ?
เหลียนฟางโจวชะงักนิ่งไป
เหลียนเช่อเองก็ทนไม่ไหว
เอื้อมมือมาลูบตัวมันด้วยอีกคน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลูกหมาน่ารักจังเลย พี่ใหญ่
พี่เจี่ยน พวกท่านไปเอามาจากไหนกันขอรับ? พี่ใหญ่
ให้ข้ากับฉิงเอ๋อร์เลี้ยงมันด้วยกันเถิดนะ!”
อาสามทำปากคว่ำ
“ตัวเล็กกระจิ๋วริ๋วปานนี้ เลี้ยงไว้จะมีประโยชน์อันใด! ให้เฝ้าบ้านก็ไม่ได้!
เฮ่ย.. อากาศหนาวยะเยือกขนาดนี้ ไม่น่าจะเลี้ยงรอดหรอกกระมัง? พวกเจ้าควรรอให้อากาศอุ่นขึ้นกว่านี้อีกหน่อย
แล้วค่อยไปซื้อมาเลี้ยงดีกว่านะ!”
มีเพียงเหลียนเซ่อคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็นความผิดปกติของลูกสุนัขตัวนี้
เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาอย่างละเอียดละออ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก พลางเอ่ยอย่างสนเท่ห์ “พี่ใหญ่
พี่เจี่ยน ข้ารู้สึกว่าลูกสุนัขตัวนี้มันดูแปลกๆยังไงพิกล!”
เหลียนฟางฉิงรีบเอ่ยขึ้น
“ก็เพราะมันน่ารักกว่าลูกหมาทั่วไปไง มันถึงได้หน้าตาน่ารักมีเสน่ห์อย่างนี้!”
ลูกสุนัขของนาง ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว
“อื้ม”
พอพูดถึงตรงนี้ เหลียนเช่อเองก็พยักเห็นด้วยอีกคน
เหลียนฟางโจวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ทว่าหัวใจหญิงสาววูบไหว อดรู้สึกอยากลองเลี้ยงขึ้นมาไม่ได้ เธอจึงหันไปมองอาเจี่ยนด้วยดวงตาเป็นประกาย
ขยับปากถามโดยไร้เสียง ทำนองว่าลองเลี้ยงดูได้ไหม?
...
--------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
ช่วงนี้ยุ่งมากค่ะ ต้องขออภัยที่ลงช้านะคะ
พอคิดดูแล้วก็สงสารหมาป่าฝูงนี้จัง ตายทั้งฝูง ลูกก็กำพร้าแม่ โชคร้ายจริงๆ แต่จากนี้ไป ลูกหมาตัวนี้ ก็จะมาเป็นสมาชิกคนใหม่ และช่วยเฝ้าไร่ฝ้ายให้บ้านสกุลเหลียนค่ะ ^_^
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบดีจังที่ลูกหมาป่าไม่ถูกฆ่า
ตอบลบขอบคุณค่ะ เลี้ยงไว้สิมันไม่มีครอบครัวแล้วนะ
ตอบลบตอนนี้สั้นไปนิ๊ดนึงยังไม่หายคิดถึงเลยค่ะ555ขอบคุณไรท์นะคะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบดูแลสุขภาพนะคะ
ขอบคุณที่สละเวลาค่ะ
ตอบลบอ้าว เพราะลูกหมาป่านี่เอง ทำไงล่ะทีนี้
ตอบลบจริงๆฝูงหมาป่านี่โชคร้ายนะเนี่ย
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
มาแหล่วว คอยสอดส่องเหมือนชาวไร่เลยคะ
ตอบลบรักนะคะ
รอน้องฝ้ายเป็นปุยสวยๆ
ตอบลบ