วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 244 รับเลี้ยงลูกหมาป่าน้อย


          อาเจียนยกยิ้ม พลางพยักหน้าให้หญิงสาว “ข้าคิดว่า คงไม่น่ามีปัญหาอันใดหรอก?”
            “จริงๆนะ?
            “อื้ม !”
            “เช่นนั้นก็เยี่ยมเลย!” เหลียนฟางโจวปรบมือยิ้มพราย แล้วกวักมือเรียกน้องๆ “พวกเจ้าสามคนนั่งลงสิ เรามีเรื่องต้องคุยกัน!”
            เหลียนเซ่อและน้องๆอีกสองคนต่างรู้สึกงุนงงง   อาสามเองก็ทำตาปริบๆ เกิดอะไรขึ้นกับยาโถนางนี้กันนะ?

        แต่ยามที่ได้ยินเหลียนฟางโจวประกาศว่าเจ้าตัวที่ดูเหมือนลูกสุนัขขนปุกปุยอ้วนท้วนนี้ ที่แท้คือลูกหมาป่า อาสามถึงกับหวีดร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก จนแทบจะหล่นจากเก้าอี้
            ส่วนเหลียนเซ่อก็เผยสีหน้าทำนอง นั่นไง ข้าว่าแล้ว ทำไมมันถึงได้ดูแปลกๆพิกล’! ส่วนเหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อเบิกตากว้างเป็นประกาย  ทวีความสนใจขึ้นอีกอย่างเห็นได้ชัด
  พอได้ยินว่าหญิงสาวต้องการเลี้ยงเจ้าลูกหมาป่าตัวน้อยนี้ไว้ในบ้าน อาสามย่อมคัดค้านหัวชนฝา  อะไรกัน เราสามารถเลี้ยงหมาป่าได้ด้วยหรือ?  ต่อไปโตขึ้นมันจะได้กินคนน่ะสิ! นางอายุปูนนี้แล้ว จะให้มาคอยหวาดกลัวหัวหดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คงไม่ไหวแน่!
            ซ้ำยังพูดอีกว่า ตอนนี้พวกเจ้าเห็นมันดูเผินๆคล้ายสุนัขไร้พิษสง แต่หมาป่าก็คือหมาป่าวันยังค่ำ จะเลี้ยงดูมันให้ตายอย่างไร มันก็เปลี่ยนไปเป็นสุนัขมิได้หรอก! ความหมายของนางก็คือ จับมันใส่กระสอบแล้วตีให้ตายซะ!
            พอนางหลุดวาจานี้ออกมา  เหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อ ก็หน้าตาตื่นมองนางทันที
            ส่วนเหลียนเซ่อยังไงก็ได้แล้วแต่มติที่ประชุม
  ท้ายที่สุดบรรดาคนที่เหลือก็เห็นพ้องจะเก็บลูกหมาป่าตัวน้อยไว้อยู่ดี  อาสามจึงขอให้อาเจี่ยนยืนยันรับรองความปลอดภัยเสียหลายหนก่อน  จึงยอมล่าถอยอย่างเสียไม่ได้
            อันที่จริง สิ่งที่ส่งผลต่อจิตใจอาสามที่สุด เห็นจะเป็นคำพูดของเหลียนเช่อ “พอหมาป่าน้อยโตขึ้น ก็ให้มันเฝ้าบ้านเราเหมือนสุนัขทั่วไป น่าทึ่งดีจะตาย! พวกเราเลี้ยงมันอย่างสุนัข มันก็ย่อมเชื่อง แล้วมันก็ยังเล็กนัก  เราเลี้ยงดูใกล้ชิดแบบนี้ ต่อไปภายหน้ามันคงไม่ทำอันตรายเราหรอก!
            ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เจ้าลูกหมาป่าน้อยจึงได้กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านอย่างเต็มภาคภูมิ
            เหลียนฟางฉิง เหลียนเช่อพากันตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น รีบกุลีกุจอจะไปทำที่นอนให้มัน ทั้งยังจะไปทำอาหารให้มันกินอีกด้วย
            พอถึงตอนนี้เหลียนฟางโจวจึงกระแอมไอออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหน่อยๆ ครั้นแล้วหญิงสาวจึงพูดขึ้น “อย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องหนึ่ง...อยากจะเล่าให้พวกเจ้าฟัง เป็นเรื่องที่พวกเจ้ายังไม่รู้...”
  เรื่องที่หญิงสาวเล่า  ย่อมเป็นเรื่องที่หยางหวายชานช่วยชีวิตเธอนั่นเอง
            มันดูไร้เหตุผลที่คนภายนอกต่างรู้เรื่องนี้  ในขณะที่คนในครอบครัวกลับไม่รู้ หากออกไปเดินท่อมๆข้างนอก แล้วมีใครถามถึงเรื่องนั้นขึ้นมา แต่ตนเองกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร เห็นทีคงไม่ดีแน่
            คนทั้งเห็นสีหน้าหญิงสาวดูไม่คล้ายว่าพูดเล่น เหลียนเซ่อและอาสามต่างทำหน้างุนงงไม่แน่ใจ ส่วนเด็กน้อยสองคนต่างก็ทำหน้าแปลกใจนิดหนึ่ง  ครั้นแล้วทุกคนต่างพยักหน้ารับคำและนั่งลงแต่โดยดี
            พอคำพูดมาถึงปาก เหลียนฟางโจวให้รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะเล่าอธิบายอย่างไรดี พอจัดระเบียบความคิดในหัวอยู่ครู่หนึ่ง  ในที่สุดหญิงสาวจึงเล่าอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
            ใบหน้าของคนฟังชั่วขณะนั้น กล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงและโล่งใจในเวลาเดียวกัน  ทุกๆคนทอดมองใบหน้าเหลียนฟางโจวราวกับเป็นสิ่งของล้ำค่า
            แค่เพียงคิดว่าต่อไปอาจจะไม่ได้เห็นใบหน้าพี่สาวคนนี้อีกแล้ว หัวใจของพี่น้องทั้งสามคนต่างเต้นกระหน่ำแทบหลุดจากโพรงอก ยิ่งเหลียนฟางฉิงด้วยแล้ว ถึงกับโผเข้าซุกไซร้อ้อมอกของหญิงสาวเบาๆ
            ส่วนอาสามถึงกับเปล่งเสียงสวดมนต์ขอพรพระพุทธองค์ “ในที่สุดคนสกุลหยางก็ยังนับว่ามีสำนึกผิดชอบอยู่บ้าง! ยังรู้จักช่วยชีวิตเจ้า! ไม่เป็นไร  เช่นนี้กลับกลายเป็นว่าทั้งสองตระกูลไม่มีหนี้บุญคุณติดค้างต่อกันแล้ว ต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่เกลียดชังเขาแล้ว!”
            เหลียนฟางโจว “....”
            เหลียนเซ่อนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าก็ไม่เกลียดเขาด้วยเหมือนกัน มิคิดเลยว่าเขาจะเป็นคนที่กล้าหาญคนหนึ่ง  หากไม่นับ.....”  ความน่ารำคาญคือคำพูดที่เหลียนเซ่ออยากโพล่งออกมานัก
            เหลียนฟางโจวกล่าวขึ้น “เรื่องนี้ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรับทราบกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจึงมาเล่าความจริงให้พวกเจ้ารับรู้ด้วย หากมีใครมาเอ่ยถึงเรื่องนี้กับพวกเจ้า ก็จงบอกไปว่าครอบครัวเรารู้สึกซาบซึ้งใจมากก็พอ แล้วไม่ต้องพูดอะไรอื่นอีก! อีกทั้ง ภายหน้าหากได้พบคนสกุลฮวา หรือสกุลหยางเข้า ก็ให้คอยระวังตัวไว้!”
            “เจ้าหมายความว่า....” ดวงตาอาสามพลันเรืองวาบ
            เหลียนฟางโจวเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่ต้องคิดก็เข้าใจได้ คนสกุลฮวาและสกุลหยางชิงชังข้าอย่างกับอะไรดี แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงออกต่อหน้า เพราะอาเจี่ยนเพิ่งช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้านไป อีกทั้งท่านลุงลี่เจิ้งได้ช่วยพูดเจรจาให้ข้าไปแล้ว!  อย่างไรพวกเขาคงไม่กล้า โชคดีหน่อยที่สกุลหยางอยู่ห่างไกลพวกเรา แต่สกุลฮวานั้นอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับเรา! สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าลับหลัง พวกเขานินทาอะไรข้าบ้าง โดยเฉพาะสองแม่และลูกสกุลฮวานั่น!”
            อาเจี่ยนพยักหน้าอีกคน “ที่พี่สาวเจ้าเตือนนั่นถูกต้องแล้ว  คนเราต้องไม่ละวางการป้องกัน คนสกุลฮวา คิดว่าฮวาเสี่ยวฮวาไม่ได้รับความเป็นธรรรม ซ้ำแม่เฒ่าฮวายังเป็นสตรีอารมณ์ร้ายคนหนึ่ง แถมยังดื้อดึงเจรจายากนัก!”
            เรื่องนี้มีเค้าว่าเป็นไปได้ เหลียนเซ่อและคนอื่นๆจึงตกลงรับปากทันที
**
            แม้จะยังไม่ถึงเทศกาลหยวนเซียว (เทศกาลโคมไฟ) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 เดือนหนึ่งของปีนี้ ทว่าบรรดาครอบครัวชาวไร่ชาวนายังมิได้มีเวลามานั่งเล่นเอ้อระเหยอย่างจริงจังจนถึงตอนนี้
            โดยทั่วไปเมื่อผ่านพ้นวันที่ 5 เดือนแรกของปี วันที่ 6 -7 เป็นวันเริ่มต้นดีที่สุด  ที่บรรดาญาติสนิทมิตรสหายจะไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนกัน และบางทีก็ถือโอกาสพักผ่อนหย่อนใจให้เพียงพอ ก่อนจะเริ่มยุ่งวุ่นวายกับงานจริงๆ
            งานหลักของการเพาะปลูกคือการตัดไม้ผ่าฟืน หากรอจนฝนของฤดูใบไม้ผลิตกลงมาชุกขึ้น จะไม่เป็นการสะดวกในการทำงาน ส่วนอีกงานหนึ่งคือการเตรียมผืนดินเพื่อการไถหว่านตามฤดูกาล
       วันนี้คือวันที่ 8 บรรดาประตูและหน้าต่างที่สั่งทำให้กับหมู่ตึกตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน  รวมไปถึงเครื่องเรือนทุกประเภท และเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ได้ถูกทำเสร็จแล้วทั้งหมด วันนี้ร้านรับทำงานไม้จึงส่งคนงานชุดหนึ่งมาทำการประกอบติดตั้งสินค้าตามที่สั่ง
            การมีฉินเฟิงและซูจื่อจี้คอยอยู่ช่วยเหลือ ทำให้ทุ่นแรงเหลียนฟางโจวไปได้มาก ไม่จำเป็นที่เธอและอาเจี่ยนต้องคอยอยู่เฝ้ากำกับหน้างานที่นั่นทั้งวัน
            ในขณะเดียวกัน เหลียนฟางโจวได้ขอให้ลุงหลี่ หลี่ซานเหอ ช่างไม้จางรวมทั้งคนอื่นๆช่วยเป็นธุระ สร้างเรือนพักชั่วคราวชั้นเดียว บนเขาฮวากัวซานน้อยด้วย เรือนหลังนี้สร้างไว้ให้ซุนฉางซิงและครอบครัวพักอาศัย
            สำหรับบนยอดเขาฮวากัวซานน้อย  เป็นบริเวณที่เหลียนฟางโจวตั้งใจปล่อยโล่งไว้ เพราะภายหน้าหญิงสาววาดแผนจะสร้างบ้านพักตากอากาศหลังน้อยบนนั้น  การก่อสร้างเรือนในตอนนี้จึงทำเพื่ออยู่อาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีการใช้อิฐ  วัสดุก่อสร้างทุกอย่างล้วนประกอบด้วยท่อนไม้และแผ่นกระดาน  ส่วนหลังคามุงด้วยเปลือกสน
            เรือนไม้หลังน้อยนี้ถูกออกแบบให้รองรับเนื้อที่ห้อง 3 ห้อง ภายในใช้ไม้กระดานกั้นแบ่งเป็นห้อง โดยมีห้องหนึ่งเป็นห้องปีกข้างซึ่งเล็กกว่าห้องอื่นๆ  เพื่อเก็บไว้ให้ซุนหมิงพำนักอาศัยระหว่างกลับมาจากสำนักศึกษา
            โครงสร้างและคานรับน้ำหนักก่อด้วยเสาไม้กลม  ตีไม้กระดานอย่างหนาประกอบขึ้นเป็นผนังห้องสี่ด้าน โดยมีการเจาะหน้าต่างรับลมห้องละ 2 บาน
            เพื่อป้องกันลมพัดลอดเข้ามา จึงมีการปูผ้าเคลือบน้ำมันที่หนาทนทานบนผนังและตอกยึดไว้อีกชั้นหนึ่ง ซ้ำยังเพิ่มสีสันบนผนังด้วยการแปะกระดาษสีเหลืองลายดอกพุดแบบเรียบๆ ส่วนเครื่องเรือนจำพวก เตียง ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ ล้วนทำขึ้นใหม่ทั้งสิ้น ถึงแม้จะก่อสร้างด้วยไม้ธรรมดาแบบเรียบง่าย ทว่าก็สร้างอย่างพิถีพิถันมาก
  อีกทั้งยังก่ออิฐสร้างเป็นเตาเล็กๆ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยปรุงอาหารได้เองตามต้องการ  จะได้ไม่ต้องถ่อไปกินอาหารที่ห้องอาหารของหมู่ตึกนั่น หากอยากปรุงอาหารเอง ก็ไปเอาวัตถุดิบจำพวก ข้าว ธัญญพืช และผักต่างๆจากโรงครัวได้
            พื้นเรือนนั้นยกสูงจากพื้นราวครึ่งหมี่ (ครึ่งเมตร) มีบันไดไม้ไว้สำหรับขึ้นลง เพื่อป้องกันโคลนดินชื้นแฉะ หรือสัตว์เลื้อยคลานจำพวกตะขาบ รวมถึงแมลง จำพวกมดและยุง
            ซ้ำเหลียนฟางโจวได้กล่าวกับซุนชื่อว่า รอให้ถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ก็สามารถหว่านเมล็ดดอกเฟิ่งเซียน(ดอกเทียน) ต้นโป้เฮอ(สะระแหน่) ต้นไอ้เยี่ย และต้นไม้อื่นๆรอบๆเรือนไม้ ดอกเฟิ่งเซียนสามารถกันงูได้ ต้นสะระแหน่และต้นไอ้เยี่ยนั้นสามารถไล่ยุงได้
ดอกเฟิ่งเซียน

ต้นไอ้เยี่ย
            ใช้แรงงานมีฝีมือ และเวลาแค่ไม่ถึง 3 วัน การก่อสร้างก็สำเร็จลุล่วง ซุนฉางซิงและนางซุนชื่อก็เข้ามาช่วยด้วย เมื่อเห็นเรือนใหม่เอี่ยมที่สร้างขึ้นอย่างประณีต สะอาดสดใสเป็นระเบียบเรียบร้อย เทียบกันแล้วดีกว่ากระท่อมหลังเก่าโกโรโกโส ผุๆพังๆของพวกตนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า  ก็บังเกิดความปิติยินดีท่วมท้นไปทั้งใจ นึกในใจว่า โชคดีนักที่ตอนนั้นเลือกตัดสินใจเช่นนี้! หาไม่แล้วหากต้องไปอาศัยอยู่ในกระท่อมที่พักนั่นของตนไม่รู้จะเป็นอย่างไร!
            ยามนี้สถานที่นี้ ยังไม่จำเป็นต้องมีคนคอยเฝ้า มิต้องสงสัยเลยว่า ซุนฉางซิงและนางซุนชื่อถือว่าที่นี่คือบ้านของพวกตน แล้วพูดกับเหลียนฟางโจวว่า รอให้พ้นวันที่ 15 ที่ซุนหมิงกลับไปสำนักศึกษาก่อน พวกเขาสามีภรรยาถึงจะย้ายเข้ามา
            เหลียนฟางโจวจึงบอกว่าเอาตามที่พวกเขาต้องการ
**
            อีกไม่นานก็ใกล้จะสิ้นเดือนหนึ่งแล้ว เหลียนฟางโจวจึงพาเหลียนเช่อเดินทางไปยังหมู่บ้านสกุลหลิน
            ที่หมู่บ้านต้าฝางไม่มีสถานศึกษา ทุกวันนี้มีเพียงหมู่บ้านสกุลหลินเท่านั้นที่มี ดังนั้นเหลียนเช่อจะไปเข้าเรียนหนังสือที่ไหนได้เล่า
            โดยทั่วไปสถานศึกษาจะเปิดเทอมวันที่ 15 เดือนแรกของทุกปี  ดังนั้นตอนนี้ก็ควรถึงเวลาไปสมัครเข้าเรียนได้แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
ลมหนาวมาแล้ว รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ^_^

8 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากค่ะ
    ดูแลสุขภาพนะคะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ รอติดตามนะค่ะดูแลสุขภาพด้วยนะ

    ตอบลบ
  3. ดีใจที่ได้อ่านต่อ ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  4. เอ๋.. เพิ่งรู้ว่าต้นเทียนกันงูได้ด้วย​ เจ้างูไม่ชอบดอกเทียนนี่เอง​ เดี๋ยวต้องหามาปลูกแล้ว​ละ ขอบคุณกับ

    ตอบลบ
  5. ต้องหาต้นเทียนมาปลูกละ เพิ่งรู้นะว่ากังูได้ อ่านเรื่องนี้แล้วได้รู้ประโยชน์ของต้นไ้เยอะขึ้น
    ปีใหม่มาละ ตื่นเต้นไปกับนิยายเรื่องนี้ว่าต่อไปจะดำเนินเรื่องอย่างไร จะมีอะไรมาให้ครอบครัวฟางโจวและคนอ่านได้เรียนรู้อีกบ้าง
    ขอบคุณค่ะไรท์

    ตอบลบ