วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 257 ยุยงปลุกปั่น

            เหลียนเช่อดูคล้ายจะขลาดกลัวอยู่หน่อย ๆ เขาดึงมือกลับอย่างระมัดระวัง  พลางเอ่ยเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกผิดหน่อย ๆ “หรือว่า พวกเจ้าปรึกษากันสักครั้งหนึ่งก่อน ดูว่าจะแบ่งเงินกันอย่างไรดี! พอพวกเจ้าหารือกันเสร็จ ข้าค่อยให้อีกที ตกลงไหม?”

            “ตกลงไหม?” ยามที่ถามสองคนนี้ เหลียนเช่อก็หันไปมองหลินจิ้นและหลินเฟย น้ำเสียงที่พูดดูนอบน้อมอย่างที่สุด และหางตามิได้เอนไปทางสองพี่น้องสกุลหยางเลย

            หลินจิ้นกับหลินเฟยพลันรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาทันใด หยางเหวินจงกับหยางเหวินเซี่ยวสีหน้าฉายแววผิดหวัง เร่งให้เขาค้อนตาใส่อีกฝ่าย พลางแค่นเสียงดัง

            เหลียนเช่อดูคล้ายโดนเสียงคำรามทำให้หวาดกลัวไปจริง ๆ แล้ว เด็กน้อยมีสีหน้าตื่นตระหนก พลางเม้มปากแน่น เขารีบตวัดสายตาไปยังหลินจิ้นกับหลินเฟยด้วยความตื่นตระหนก อย่างขอความช่วยเหลือ ครั้นแล้วก็รีบหรุบตาหลบโดยไว


            หลินจิ้นกับหลินเฟยอดเกิดรู้สึกดูแคลนหยางเหวินจงกับพี่ชายในใจมิได้ หลินเฟยทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น “พวกเจ้าสองคนทำไมถึงได้ดุร้ายปานนี้? พวกเราไม่ควรหารือกันให้เสร็จก่อนหรือไร?”

  แน่นอนไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก!

  สองพี่น้องสกุลหยางได้ยินวาจานี้เข้าก็ไม่พอใจและขัดเคืองนัก มิหนำซ้ำจะให้เขาอธิบายเรื่องนี้อย่างไรหรือ?

            ยามนี้เหลียนเช่อเฝ้ามองคนทั้งสี่ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วอย่างขออภัย “เหวินจง เหวินเซี่ยว อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าต้องถามพวกเจ้าก่อนแน่ ข้าเรียกคนอื่นมาเพิ่มอีกไม่ได้หรือ...”

  “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว!” หยางเหวินจง ผู้ซึ่งเดือดดาลเต็มอก แค่นเสียงอีกครั้ง แถมค้อนตาใส่อีกวงใหญ่

            เจ้าหมายความว่าอะไร!”

            “อ๋อ ! เดิมเจ้าคิดจะฮุบไปกินคนเดียวจริง ๆ ด้วย!”

            หลินจิ้น หลินเฟย โกรธนัก ถลึงตาใส่หยางเหวินจงด้วยความขุ่นเคือง

            หยางเหวินจงร้องขึ้นอย่างเดือดดาล “หมายความว่าอะไรที่ว่าเราฮุบไปกินคนเดียว! พวกเจ้านั่นแหละ ที่ไม่มีความละอาย ไม่มีเหตุผล อยากได้ส่วนแบ่ง!”

            เงิน 9 อีแปะ เขาไม่กล้าบอกว่าจะแบ่งคนละครึ่งกับหยางเหวินเซี่ยว หยางเหวินเซี่ยวย่อมแบ่งให้เขา 4 อีแปะแน่ ตอนนี้เสร็จกัน ดันมีคนมาเพิ่มสองคน  ที่เขาสามารถจบกันที่สองคนได้ถือว่าดีแล้ว! นี่กลายเป็นส่วนแบ่งหายไปอีกตั้งครึ่ง!

            มิหนำซ้ำ สีหน้าของสองพี่น้องคู่นี้ฉายแววชิงชังเป็นพิเศษ มิคาดว่า ทำให้เจ้าเด็กเหลียนเช่อหวาดกลัวพวกเขา ซึ่งหวาดกลัวมากกว่ากลัวพี่น้องของตน  เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

            “เจ้าว่าใครไม่มีความละอาย!”เป็นธรรมดามิใช่หรือ ที่เด็ก ๆ มักวู่วามเลยมีเรื่องกันง่าย  ยิ่งไปกว่านั้น เด็กทั้งสี่คนล้วนเป็นปรมาจารย์ด้านการข่มเหงรังแกผู้คนอีกด้วย?

            พอโดนหยางเหวินจงด่าทอว่าไร้ความละอาย ต่อหน้า และก็เป็นข้อหาฉกรรจ์นัก หลินจิ้นกับหลินเฟยล้วนพ่นลมหายใจฮึดฮัดด้วยโทสะ ขึงตาจ้องหยางเหวินจงด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ

            เดิมทีหยางเหวินจงคับแค้นพวกเขานัก ที่ดันสอดมือเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดไร้เหตุผล  พอเห็นพวกเขามาตั้งคำถามกับตนเองต่อหน้า เขาก็อดจะเกิดโทสะขุมใหญ่ไม่ได้ เขาเกือบจะกระโจนเช้าใส่ด้วยความโมโห เลยสบถด่า “พวกเจ้าสิน่าละอาย! ข้าจะด่าพวกเจ้าว่าพวกไร้ความละอาย มีอะไรไหม!”

            “เหวินจง!”หยางเหวินเซี่ยวเห็นท่าไม่ดี คิดเข้าขวางทันที เพียงแต่จะมีเวลาพอทำอะไรได้ที่ไหน?

            “เจ้าน่าตายหยางเหวินจง เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่! เจ้ากล้าด่าข้าว่าไร้ความละอายรึ ข้าจะฆ่าเจ้า!”หลินเฟยกระโจนเข้ามาด้วยโทสะ เขาชูกำปั้นและปรี่เข้าไปหมายชกหยางเหวินจง

            “เข้ามาเลย ใครกลัวเจ้ากันเล่า! ใครจะฆ่าใคร ก็ยังไม่แน่นักหรอก!”หยางเหวินจงไม่แสดงความอ่อนข้อให้เห็นสักกะผีก

            “เจ้าไก่อ่อนเอ้ย!”หลินเฟยร้องลั่น พลางโจนเข้าใส่  กว่าหยางเหวินเซี่ยว กับหลินจิ้นจะทันตอบโต้ ทั้งสองก็ร้องตวาดใส่กันและลงมือชกกันแล้ว

            เหลียนเช่อถอยกลับไปยืนดูอยู่เงียบ ๆ เด็กน้อยฉีกยิ้มอ่อน เขาคิดดูแล้วให้นึกเสียใจนัก จริง ๆเลย ข้ายังมีลูกเล่นอีกมากนักที่ยังไม่ได้เอามาใช้เลยเนี่ย พวกเจ้าไยถึงได้รีบห้ำหั่นกันเร็วปานนี้....

            หยางเหวินจงเกิดมาตัวสูงใหญ่กว่าหลินเฟย ความแข็งแกร่งก็มากกว่านัก ถึงหลินเฟยจะอาศัยความใจกล้าบ้าบิ่นและกัดไม่ปล่อย ทว่าก็ยังพ่ายแพ้ในเวลาอันสั้น เมื่อเจอเข้ากับหมัดของหยางเหวินจงไปสองครั้งสองครา จนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า

            เขาโดนหนัก อย่างไรก็ย่อมร้องเสียงดัง “หลินจิ้น! เจ้ารีบมาช่วยข้าเร็วเข้า! อ๊า! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”

  “หยางเหวินจง เจ้าหยุดมือเดี๋ยวนี้!”หลินจิ้นเห็นแล้วก็รีบปรี่เข้าไปร่วมต่อสู้ เข้าไปดึงตัวหยางเหวินจง

            เจอสองรุมหนึ่งแบบนี้ เขาจะไม่พ่ายแพ้ยับเยินรึ? หยางเหวินจงวิตกในใจ จึงรีบหันไปตะโกนขอความช่วยเหลือหยางเหวินเซี่ยวดังลั่น

            หลินจิ้นกับหลินเฟยได้ยินอีกฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือก็ยิ่งรีบลงมือเร็วขึ้น

            หยางเหวินจงจึงเปลี่ยนจากผู้ได้เปรียบกลายเป็นเป็นผู้เพรี่ยงพร้ำโดยพลัน

            พวกเจ้าทั้งหมดหยุดมือเดี๋ยวนี้!ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้!”หยางเหวินเซี่ยวกัดปาก ไม่ได้ก้าวเข้าไปช่วย แต่ตะคอกใส่คนทั้งสามที่กำลังซัดกันนัวเนีย

            หลินจิ้น กับหลินเฟยไหนเลยจะสนใจเขา? ส่วนหยางเหวินจงกลับหยุดเคลื่อนไหว และเพียงเพราะการหยุดนิ่งอย่างฉับพลันนี้ เลยโดนเข้าไปอีกหลายหมัด เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ก็เลยสวนหมัดกลับอย่างว่องไว ท่าทางคล้ายสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง แม้จะะโดนชกเข้าไปร่างตนหลายต่อหลายหมัดด้วยกัน ทว่าเขากลับมีชัย จากได้ประเคนหมัดใส่หลินจิ้นกับหลินเฟยอย่างรุนแรงไปหลายที สองคนนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

            เพียงพริบตาเดียว สามคนนั้น ต่างคนต่างซัดกันใหม่

            ส่วนหยางเวินเซี่ยวก็จังคงร้องตะโกนให้หยุดมือใครเล่ายังจะมีแก่ใจสนใจเขา?

            เหลียนเช่อทอดมองดูคนทั้งสี่  พลางยกยิ้ม ภายหลังทนกลั้นยิ้มไม่ไหวเลยก้มหน้าลง เสื้อผ้าของสามคนนี้ ฉีกชาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีเลือดออกจมูก ใบหน้าบวมปูด ช่างน่าเวทนาเสียจริง

            หยางเหวินเซี่ยวทั้งโมโหทั้งร้อนใจ จึงกระทืบเท้าอย่างแรง พลางตะวาดเสียงลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้! ทุกคนหยุด! หยางเหงินจง  เจ้าหยุดมือเลยนะ! ไม่ได้ยินรึ หยางเหวินจง ข้าบอกให้หยุด!หยุดเดี๋ยวนี้! ”

            หยางเหวินเซี่ยวพลันร้องตวาดลั่นปานฟ้าถล่ม เจือความโกรธเกรี้ยวชนิดที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ทั้งสามคนตกใจจนสะดุ้งโหยงกันทั้งหมด มือที่กำลังเคลื่อนไหวจึงหยุดนิ่งชะงักด้วย

            หยางเหวินจงอาศัยโอกาสนี้พุ่งเข้ามา พอได้จังหวะ ก็ดึงตัวหยางเหวินจงสุดแรงเกิด คำรามลั่น “ข้าร้องตะโกนให้พวกเจ้าหยุด ไม่ได้ยินกันรึ!”

            หยางเหวินจงใบหน้าขึ้นสีแดง ดวงตาก็แดงก่ำด้วย  พลาเอ่ยอย่างแค้นเคือง “พวกเขารังแกข้า เจ้าไม่ช่วยข้าเลย เจ้ายังมีหน้ามาด่าข้าอีก! หากเจ้าช่วยข้า พวกเขาไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเรา!”

            หลินเฟยที่กำลังเช็ดเลือดตรงมุมปากอยู่ พอได้ยินเข้า จึงหันไปถ่มน้ำลายลงพื้น เพ้ยแล้วตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “จริงรึ? เช่นนั้นก็ลองดูไหมเล่า?”

            “ทุกคนต่างเป็นพี่น้อง เจ้าพูดอันใดกัน!”หยางเหวินเซี่ยวเหลือกตาใส่หยางเหวินจงคราหนึ่ง  ครั้นแล้วก็กวาดสายตามองคนทั้งสามช้า ๆขณะพูด “พวกเราทั้งหมดต่างเป็นพี่น้องกัน มิใช่เพราะทะเลาะกันหรอกรึ เลยทำให้ผู้อื่นต้องมาเห็นเรื่องน่าขันเช่นนี้?”

            ขณะพูดไป เขาไปหยุดยืนข้างเหลียนเช่อ พลางขึงตาใส่ด้วยความชิงชัง

  หยางเหวินจง หลินจิ้น และหลินเฟย มิได้โง่ พอได้ยินถ้อยคำนี้ จึงนึกสั่นสะท้านด้วยความตระหนก พวกเขาหันไปมองเหลียนเช่อพร้อมกันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

  หยางเหวินจงยังชี้นิ้วใส่เหลียนเช่อแล้วร้องลั่นออกมา “ใช่แล้ว เจ้าเด็กนี่มันมีลับลมคมในทีเดียว! เจ้าเด็กน้อยแกมายุยงปลุกปลั่นใช่หรือไม่!”

  หลินจิ้น หลินเฟยหน้าเปลี่ยนสียิ่งขึ้น

  “ข้าเปล่านะ!”เหลียนเช่อทำหน้าเจ็บช้ำมาก และรีบพูดเสียงแผ่ว “ข้าแค่ถามพวกเจ้าว่าจะแบ่งกันอย่างไร....เป็นเพราะเจ้าด่าทอใส่กัน พวกเจ้าเลยชกกัน แล้วไฉนถึงมาตำหนิข้าเล่า?”

  “ใช่แล้ว เจ้าด่าใครว่าไร้ควมละอายเล่า?” เหลียนเช่อเตือนความจำ เหลียนเฟยพลันนึกได้อีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถลึงตาใส่หยางเหวินจงด้วยความแค้นเคืองยิ่งนัก

  “ทุกคนหยุดพูด!”         หยางเหวินเวี่ยวเห็นคนทั้งคู่เริ่มมีแนวโน้มว่าจะวางมวยกันอีกครา จึงดึงตัวหยางเหวินจงไว้ทันใด แล้วหันไปตวาดใส่เหลียนเช่อเป็นอย่างแรก “เจ้าหุบปากเสีย!”

            แล้วจึงเดินเข้าไปพูดกับหลินเฟย หลินจิ้น “เจ้าเด็กนั้นมันเจ้าเล่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย มีแผนชั่วร้ายเต็มท้อง! ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ดูเอาสิ เดิมทีพวกเราก็สงบนิ่งกันแล้ว ทว่าเมื่อครู่เขาเกือบจะทำให้พวกเราเริ่มซัดกันอีก! เขายังมีหน้ามาพูดว่าเขาโดนใส่ร้าย ฮึ่ม! พวกเจ้านึกดูให้ดีว่าเหตุผลนี้ใช่หรือไม่? มาคุยกันเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย หากไม่ใช่เขา พวกเราจะมาตีกันเองรึ? เจ้าเด็กสกุลเหลียนนี่  มันคือปีศาจเจ้าเล่ห์ ชั่วร้ายสุด ๆ! เจ้าหุบปากเสีย เจ้ากล้าเปิดปากละก็ ข้าจะตีเจ้าจนต้องมองหาฟันไปทั่วพื้นเลยเชียวล่ะ!”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น