วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 258 ให้บทเรียน

             พอกล่าวประโยคสุดท้ายจบ เขาก็ถลึงตาใส่เหลียนเช่อ         

            เหลียนเช่อจำต้องปิดปากปิดปากเงียบไปโดยปริยาย

            “พวกเจ้านึกทบทวนดูสิ จริงอย่างที่ข้าบอกไว้หรือไม่?”หยางเหวินเซี่ยวพูดด้วยท่าทีนิ่งสุขุม

            หลินเฟยกับหลินจิ้นต่างอึ้งงันกันไป  หลังจากขบคิดอย่างละเอียด ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงด้วย!

            ในการชกต่อยกับหยางเหวินจง แต่ละคนต่างมีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ไม่มีใครแพ้ไม่มีใครเป็นผู้ชนะด้วย ทุกคนล้วนบาดเจ็บสะบักสะบอมกันถ้วนหน้า  ทั้งแขนขา ลำตัว ใบหน้า และมือของทั้งคู่ล้วนมีบาดแผลเต็มไปหมด และอาภรณ์ที่สวมใส่ก็ฉีกขาดหลายแห่ง พอคิดว่ากลับไปต้องถูกผู้ใหญ่ที่บ้านดุแน่ พวกเขาก็เลยคิดว่า ที่เป็นแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะเหลียนเช่อ ดวงตาที่จับจ้องเหลียนเช่อค่อย ๆแปรเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทีละน้อย


            “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!”เหลียนเช่อเบนสายตาไปที่หลินจิ้น กับหลินนเฟยปราดหนึ่ง แล้วจึงจ้องหยางเหวินเซี่ยวเขม็ง พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “หยางเหวินเซี่ยว เจ้ามักโลภมาก ไม่เคยพอ  ย่อมเจ้าเล่ห์ ประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น  เจ้าเลิกสาดโคลนใส่ข้าได้แล้ว! หากน้องเจ้าไม่ไปก่นด่าผู้อื่นก่อน หลินจิ้น เหลินเฟย ก็คงไม่เกิดโทสะ แล้วไยถึงเอาแต่ให้ร้ายข้า เลิกคิดว่าข้าเป็นพวกขี้แกล้งได้แล้ว!”

            หลินเฟยได้ยินเหลียนเช่อผู้ซึ่งอ่อนแอกว่าผอมกว่าหยางเหวินเซี่ยวอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยด้วยท่าทีแข็งกร้าว  “เลิกคิดว่าข้าเป็นพวกขี้แกล้งได้แล้ว!”เขาจึงหลุดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้

            หลินจิ้นไม่หลุดเสียงหัวเราะออกมา แต่กัดริมฝีปาก ดวงตาพราวระยับด้วยรอยยิ้ม

  วาจานี้  ไฉนฟังดูแล้วรู้สึกสะใจเป็นบ้า!

            “เจ้าว่าอะไรนะ!ไหนพูดอีกทีสิ!”หยางเหวินจงโทสะที่มีพุ่งขึ้นจนล้นอก น้ำเสียงห้วนกระด้าง ถลึงตาใส่เหลียนเช่อ หยางเหวินเซี่ยวก็ชะงักอึ้งไป ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

            “ข้าพูดว่าพวกเจ้าเลิกเชื่อว่าข้าเป็นพวกขี้แกล้งเสียที เพราะพวกเจ้าเองต่างก็แข็งแกร่งไม่น้อย ดังนั้น จงเลิกใส่ร้ายป้ายสีข้าได้แล้ว!”เหลียนเช่อถอยหลังไปสองสามก้าว แต่กระนั้นก็เชิดหน้าเหยียดหลังตรง เด็กชายขึงตาใส่พวกเขาทั้งสอง สิ่งใดที่ควรพูด เขาก็พูดจนกระจ่าง ไร้ความคลุมเครือแม้แต่นิด

  ณ เวลานี้ เหลียนเฟยท้าวสะเอวระเบิดหัวเราะลั่นจนท้องคัดท้องแข็ง หลินจิ้นก็อดเหยียดยิ้มไม่ได้

  “เกิดอะไรขึ้นที่พวกเราพวกเรากลั่นแกล้งเจ้า!”เมื่อถูกหลินเฟย และหลินจิ้นหัวเราะยั่ว หยางเหวินจงที่ชิงชังเหลียนเช่ออยู่แล้ว ก็โมโหใส่คนแซ่หลินทั้งสอง แล้วแผดเสียงใส่เหลียนเช่อด้วยโทสะ

  “คล้ายว่าข้ายังไม่ได้ให้บทเรียนเจ้า คงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำสินะ! ตัวผอมเล็กจ้อยอย่างกับลูกเจี๊ยบอย่างเจ้า ยังกล้าลีลาไม่ยอมรับผิดรึ! อีกเดี๋ยวจะให้คุกเข่าร้องขอชีวิตกันเลยเชียว!” หยางเหวินเซี่ยวก็เดือดดาลเหมือนกัน  นีกก่นด่าหลินจิ้น กับหลินเฟยที่กำลังชมดูเรื่องน่าขันอยู่ข้าง ๆในใจ

            หยางเหวินจงและหยางเหวินเซี่ยวสาวเท้าตรงไปหาเหลียนเช่ออย่างเดือดดาล อยากจะกระทืบเขาให้จมบาทานัก  ทว่าไม่รู้ว่าหินขนาดหัวแม่โป้งมาจากไหน จู่ ๆก็พุ่งใส่คนทั้งสองทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง ก้อนหนึ่งโดนที่หลัง อีกก้อนโดนกลางเข่า เจ็บจนคนทั้งคู่ตะลึงงันไป พลาครางเสียงต่ำ “โอ้ย!”

            “ใครน่ะ! ไสหัวออกมาสิ!”หยางเหวินจงตะโกนลั่นด้วยโทสะ

            พอสิ้นเสียงพูด ทางเบื้องหลังเหลียนเช่อมีเด็กสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่งเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ไม่ไกล

            เด็กหญิงรูปร่างสูงพอ ๆ กับเหลียนเช่อ นางสวมเสื้อกั๊กและกระโปรงแดงอมชมพู เกล้าผมทรงซาละเปาสองข้าง ประดับด้วยดอกไม้ผ้าไหมสีแดง นางมีขาวผิวเนียนละเอียด รูปโฉมอ่อนหวานน่ารัก ดวงตาฉ่ำน้ำทอประกายแวววาว ใสกระจ่างประหนึ่งน้ำพุใสภายใต้แสงอาทิตย์

            ทว่าเด็กชายเรียกได้ว่าเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว สวมเสื้อคลุมตัวสั้นกลางเก่ากลางใหม่ สีน้ำตาล ตัวสูงกว่าเหลียนเช่อ ดูแข็งแกร่งกว่ามาก เขามีคิ้วหน้าเข้ม ตาโต ริมฝีปากบางเม้มแน่น ท่าทางองอาจ ดวงตาคู่นั้นสาดประกายเย็นชา ยามทอดมองมา ทำเอาหยางเหวินจงกับหยางเหวินเซี่ยวที่กำลังพุ่งไปจัดการเป้าหมายอย่างเดือดดาล อดใจเต้นรัว ด้วยความหวาดหวั่นไม่ได้

            ฝ่ายหลินจิ้นและหลินเฟย ในใจรู้สึกบีบรัด  ต่างเบิกตากว้าง แทบหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว

            ส่วนเหลียนเช่อหันหน้าไปโบกมือให้ เหลียนเจ๋อและเหลียนฟางฉิงซึ่งกำลังเดินตรงมาหาเขา เด็กชายร้องเรียกอย่างดีใจ “พี่รอง น้องสี่!”

            พี่สาม นี่มันเจ้าตาถั่วสองคนที่มากลั่นแกล้งท่านในวันฝนตกวันนั้นนี่!”เหลียนฟางฉิงปรายตามอง หยางเหวินจงและหยางเหวินเซี่ยวอย่างดูแคลน พลางแค่นเสียงใส่อย่างเหยียดหยาม

            เหลียนเจ๋อและเหลียนเช่อไม่ได้มีแผนจะเล่าให้เรื่องนี้ให้เหลียนฟางฉิงฟัง ทว่าเหลียนฟางฉิงบังเอิญได้ยินพวกเขาพอดี ตามที่เจ้าตัวบอกว่านางไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่พอได้ยินเข้า ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และร่ำร้องขอตามมาด้วย ทั้งสองคนไม่อาจเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ ก็เลยจำใจตกลง

            หยางเหวินจงเห็นอีกฝ่ายเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง ไม่นึกว่าจะกล้ามาพูดจากับตนเองแบบนี้  มิหนำซ้ำยังพูดจาทำนองหลินจิ้นกับหลินเฟย ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วเผชิญหน้าแค่พวกตนพี่น้องเท่านั้น  แน่นอนว่าพวกเขาไม่กลัว เพียงแต่คิดว่าไม่ยุติธรรมเลย! ดังนั้นเขาจึงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวทันใด “นังเด็กน่าตาย เจ้าพูดอันใดของเจ้า! ไม่ใช่แค่พวกเราสองคนนะ ยังมีพวกเขา! ฮึ่ม ต่อให้ข้าแกล้งพี่ชายเจ้าอีกครั้ง แล้วอย่างไรเล่า!”

  หลินจิ้นกับหลินเฟยเห็นหยางเหวินจง มักไม่ลืมลากพวกตนลงน้ำไปด้วย สีหน้าก็พลันบูดบึ้งดำทะมึนไปทันที

            ต่างกับหยางเหวินจงที่โง่เขลาและสับสน หยางเหวินเซี่ยวเข้าใจอะไรได้ไวกว่านัก เขารั้งตัวหยางเหวินจงไว้ แล้วขึงตาใส่พวกเขา พลางแค่นเสียง “พูดมาขนาดนี้ พวกเจ้ามาเพราะเรื่องในวันนั้นรึ? ฮ่า ๆ  ต้องการมาแก้แค้นละสินะ!”

  ระหว่างที่พูดอยู่ หยางเหวินจงก็แผดเสียงร้องลั่น “อ๊า” หยางเหวินเซี่ยวตกใจจนสะดุ้งโหยง สายตามองเลยไปโดยไม่รู้ตัว ที่แท้เหลียนฟางฉิงเอาหนังสติ๊กยิงก้อนหินใส่หยางเหวินจง และโดนเข้าที่หน้าอกพอดี

            เหลียนฟางฉิงหัวเราะในลำคอ พลางปรบมือเยาะเย้ย “โง่เง่า!”

            หลินจิ้นกับเหลินเฟย เห็นเขาย่ำแย่ก็หัวเราะ สายตาวูบไหวพร้อม ๆกับลอบยินดีในคราวเคราะห์และหายนะของผู้อื่น

            “นังเด็กน่าตาย ! อยากรนหาที่ตายรึ!”หยางเหวินจงโกรธเกรี้ยวที่โดนลูบคม หยางเหวินเซี่ยวก็โกรธทันทีเหมือนกัน พอเห็นหยางเหวินจงกำลังเดินเข้าไปเล่นงานเหลียนฟางฉิง  จึงหันไปพูดกับหลินจิ้นกับหลินเฟย “เจ้าเด็กเหลียนเช่อมันชั่วร้ายนัก  พวกเจ้าเข้ามาช่วยข้า หากภายหน้ายังอยากเล่นกับพวกข้าอยู่!”

            หลินเฟยชะงักไป และค่อนข้างลังเล พวกเขาทั้งสี่คนเล่นกันเข้าขาที่สุดในสำนักศึกษา  อีกทั้งสองพี่น้องสกุลหยาง มักเล่นกับพวกเขาไม่ดีนัก ทว่าคำพูดของหยางเหวินเซี่ยวก็ยังคงมีน้ำหนักทีเดียว

            หลินจิ้นกลอกตาไปมา แต่ก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “จริงรึ? อย่างพวกเขา  ไหนเลยจะเป็นคู่ปรับเจ้าได้? พวกเจ้าออกหน้าไปก่อน พวกข้าจะคอยช่วยกันไม่ให้พวกเขาหนีเอง!”

            หลินเฟยพยักหน้าแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ ๆ ๆ ๆ! พวกเจ้ากลัวพวกเขารึ? กระทั่งคนสามคนเช่นนี้ ก็เอาชนะไม่ได้หรือไร?”

  หยางเหวินเซี่ยวขุ่นเคืองนัก  แค่นเสียงใส่ แล้วเดินเข้าไปหา

            ใครจะรู้เล่าว่า เขายังไม่ทันเดินเข้าไป ก็มีเสียงแผดร้องมาให้ได้ยิน หยางเหวินจงถูกซัดจนหมอบอยู่บนพื้น และพี่รองของเหลียนเช่อ เหยียบบนหลังเขา ด้วยใบหน้าเฉยเมย หยางเหวินจงผู้ซึ่งโดนเหยียบจนไม่สามารถขยับขเยื้อนได้ รู้สึกอับอายสุดแสน

  ยามนี้ หยางเหวินเซี่ยวและพวกรวมสามคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

  แม้ว่าหยางเหวินจงจะโง่เขลาเล็กน้อยและเจ้าอารมณ์ เขาโต้ตอบช้ากว่าผู้อื่นสองเท่า และบ่อยครั้งที่ไม่หันกลับเมื่อได้ยินถ้อยคำ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขาก็มากมิใช่น้อย และเป็นไปไม่ได้ที่จะลงเอยอย่างย่ำแย่สุดๆ เพียงแค่ยกแรก

  โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายมีรูปร่างพอ ๆกัน

  เหลียนฟางฉิงปรบมือและหัวเราะอีกครั้ง นางหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้าง ๆ แล้วหวดหยางเหวินจงคนที่ถูกเหยียบอยู่บนพื้นอย่างโง่งม เด็กหญิงหวดอีกฝ่าย พลางก่นด่า “ใครบอกให้รังแกพี่สามข้า อย่าได้กล้ารังแกพี่สามข้าอีก! อย่าได้บังอาจก่อเรื่องอีก! อย่าได้ไถเงินอีกต่อไป!”

  ขณะก่นด่าไปนั้น มือก็ไม่หยุดหวดเลย ฝ่ายหยางเหวินจงก็แผดเสียงร้องอย่างกับหมูถูกเชือด

  หยางเหวินเซี่ยวและหลินเฟย ต่างตกตะลึงตาค้างตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

  อันที่จริง สถานการณ์นี้มันดูประหลาดเกินไปแล้ว!

            แม่นางน้อยที่ดูอ่อนหวานน่ารักปานนี้ มิคาดว่าจะลงมืออยู่ฝ่ายเดียว และไม่ยอมผ่อนแรงลงเลย นี่มันช่างโหดเหี้ยมทารุณนัก!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น