วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 259 แตกตื่นตกใจ

             “หยุด หยุดนะ !  หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”  หยางเหวินเซี่ยวตกใจ จึงบันดาลโทสะ ร้องตวาดก้อง

            “หุบปากไปเลย!” เหลียนฟางฉิงตวาดกลับ แล้วหันไปหวดหยางเหวินจงต่อ อย่างไม่แยแส โดยมือก็ฟาด ปากก็ก่นด่าไปด้วย

            หยางเหวินเซี่ยวผู้ที่เพลิงโทสะในอกจวนเจียนจะระเบิดอยู่แล้ว สุดท้ายทนไม่ไหว จึงปรี่เข้าไปหมายทำร้ายเหลียนเจ๋อ “ปล่อยเหวินจงเดี๋ยวนี้นะ!”

            เหลียนเจ๋อคอยท่าอยู่แล้ว เด็กหนุ่มยิ้มเย็น  สองเท้ายังตรึงมั่นอยู่ที่เดิม แต่กายกลับพลิกแพลงเบี่ยงหลบหมัดของหยางเหวินเซี่ยว ตามมาด้วย สองมือที่ว่องไวปานสายฟ้าแลบ จับตัวอีกฝ่ายเคลื่อนไปข้างหน้า แล้วยกเท้าเตะวาดผ่านข้อพับเข่า จนคู่ต่อสู้ทรุดฮวบลง

            หยางเหวินเซี่ยวแผดร้องเสียงหลง เข่าของเขาทรุดฮวบนพื้นเสียงดัง “ปั้ก!”  ขณะที่เท้าของเหลียนเจ๋อหดกลับมาเหยียบหลังของหยางเหวินจงอย่างมั่นคง

            เหลียนฟางฉิงหยุดมือไปพักหนึ่งระหว่างนั้น  รอจนเท้าของเหลียนเจ๋อกลับคืนมาอยู่บนหลังอีกครั้ง นางจึงหวดหยางเหวินจง พลางก่นด่าไปด้วย

            หยางเหวินเซี่ยวไหล่ข้างหนึ่งหลุด และข้อเท้าข้างหนึ่งหลุด หลังจากที่ล้มลงบนพื้น จึงไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ แม้ว่าเขาไม่ได้ร้องตะโกนหรือ แผดเสียงด้วยความเจ็บปวด  ทว่ายามนี้อวัยวะบางส่วนกลับเป็นอัมพาต และกายสั่นระริกไม่หยุด ใบหน้านั่นรึก็บิดเบี้ยว ริมฝีปากถูกกัดจนซีดขาว ซ้ำมีเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาบนหน้าผาก เผยให้เห็นว่าเขาเจ็บปวดนัก

            ดวงตาของหลินจิ้น กับหลินเฟยเบิกกว้างจนแทบถลน ทั้งสแงมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความอกสั่นขวัญแขวน จนเข่าอ่อนแทบทรุด

            พวกเขาต่างรู้แจ้งในใจว่าหยางเหวินเซี่ยวคือใคร  แต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เพื่อนเขาจะประสบความพ่ายแพ้ยับเยินปานนี้  เห็นแค่นี้ก็รู้ชัดแล้วว่าพี่ชายคนรองของเหลียนเซ่อเก่งกาจเพียงใด...

            หากเป็นไปได้ พวกเขาสองคนอยากออกไปจากที่นี่ทันที ทว่าพวกเขาไม่กล้า มิใช่ว่าไม่อยาก เพียงแต่ไม่กล้า

            ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เหลียนเช่อยืนอยู่ข้างเขาตลอด พร้อมปากที่เม้มแน่น และไม่เอ่ยอันใด

            หลังจากนั้นพักใหญ่ เหลียนเจ่อจึงเอ่ยเสียงเบา “ฉิงเอ๋อร์ พอได้แล้ว เหลียนฟางฉิงจึงหยุดมือ

ครั้นแล้วหยางเหวินจง ก็แผดเสียงร้องลั่นทันที น้ำเสียงคล้ายจะบาดแหลมเป็นพิเศษ

“หุบปาก เหลียนเจ๋อซึ่งยืนตระหง่านอย่างองอาจ เอ่ยเสียงเย็น แต่หยางเหวินจงก็ยังไม่เลิกคราง เขาจึงแค่นเสียงเย็น “ไม่ยอมหุบปาก  อยากเจอดีรึ!”

            เหลียนฟางฉิงยกมือที่ถือกิ่งไม้ขึ้น ดวงตาเรืองวาบทันที

            หยางเหวินจงสะดุ้งตกใจ และเสียงครางฮือในลำคอพลันหยุดเงียบไปดื้อ ๆ

            เหลียนเจ๋อกวาดตามองเขาและหยางเหวินเซี่ยว แล้วเอ่ยเสียงเนิบ ไม่เร็วไม่ช้า “ข้าคือพี่ชายคนรองของเช่อเอ๋อร์ พวกเจ้าคงเห็นกันเต็มสองตาแล้ว  คราวหน้าคราวหลัง หากใครกล้ารังแกเขาอีก ฮึ่ม จะไม่เจอบทเรียนเบาะ ๆ อย่างในวันนี้แน่!”

  น้ำเสียงเหลียนเจ๋อทุ้มนุ่ม ทว่าถ้อยคำในประโยคช่างเย็นเยือกจนอธิบายไม่ได้ หยางเหวินจงกับพี่ชาย หลินจิ้น และหลินเฟยทั้งสองต่างนิ่งงันไป นี่เรียกว่าบทเรียนเบาะ ๆ แล้วหากไม่เบาะๆ มันจะเป็นแบบไหนกัน....

  “ไม่ได้ยินรึ!” เหลียนเจ๋อพลันตวาดขึ้น จับจ้องหยางเหวินจงด้วยสายตาเย็นชา

            “ได้ยิน ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้วขอรับ!”หยางเหวินจงตัวสั่น หน้าซีด

            เหลียนเจ๋อเบนสายตาไปที่หยางเหวินเซี่ยวอีกคน “แล้วเจ้าเล่า? ได้ยินหรือเปล่า?”

            หยางเหวินเซี่ยวเจ็บปวดเสียจนกระทั่งริมฝีปากที่ถูกกัดอยู่ มีเลือดออก  ในใจรู้สึกชิงชังและหวาดกลัวเหลียนเจ๋อ เมื่อได้ยินคำถาม เขาไม่ตอบ พลางครางเบา ๆ

            “เฮอะ” เหลียนฟางฉิงแค่นเสียง แล้วเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “ปากแข็งนักนะ!” พอกล่าวจบก็หักกิ่งไม้แล้วทบให้ใหญ่ขึ้น และเดินย่างสามขุมตรงมาหาหยางเหวินเซี่ยวซึ่งหมดทางสู้! เพียงอึดใจเดียว เขาก็โดนฟาดที่ใบหน้า

  ตัวหยางเหวินจงเองก็ยังอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเหลียนเจ๋อ พอเห็นหยางเหวินเซี่ยวหมดท่า เขาจึงตวาดอย่างหวั่นวิตก “หยุดนะ!”เมื่อเห็นว่าเหลียนฟางฉิงไม่แยแสเขาเลย เขาจึงร้องตะโกนด้วยความร้อนใจ “ไม่ยุติธรรม! นี่มันไม่ยุติธรรมเลย ใช่แล้ว! ไม่ใช่มีเพียงแค่พวกเราที่รังแกเหลียนเช่อเสียหน่อย เหตุใดถึงเอาแต่แก้แค้นพวกเราพี่น้องเล่า! ไม่ยุติธรรม! ไม่ยุติธรรมเลย!”    

            ใบหน้าของหลินเฟย กับหลินจิ้นซีดขาว ทั้งสองต่างขึงตาใส่หยางหวินจงดด้วยความชิงชัง และนึกก่นด่าเขาในใจเป็นร้อยรอบ    

            เคราะห์ดีที่เหล่าพี่น้องสกุลเหลียนทั้งสามคนดูคล้ายไม่ได้ยินคำพูดนั้น และไม่ได้โต้ตอบอันใดเลย หลินเฟยกับหลินจิ้นจึงพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก 

            ถึงแม้นหยางเหวินเซี่ยวยังเยาว์ เขามักหยาบคายไร้เหตุผล ชอบข่มเหงผู้คน โดนตามใจจนเคยตัว ไหนเลยเขาจะยอมพ่ายแพ้ง่าย ๆ เล่า? ทว่ายามนี้ เขารู้ตัวดีว่า หากไม่ยอมรับความปราชัย ก็มีแต่ตายลูกเดียว เพราะดันไปเตะโดนกระทะเหล็กร้อนเข้า!

            เหลียนฟางฉิงยกมือที่ถือกิ่งไม้สำหรับใช้เฆี่ยนตีออก โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ชัดเจนนักว่าหากเขาไม่ยอมรับ นางก็คงไม่หยุด ความเจ็บปวดที่แผ่ลามไปทั่วกายเขานั้น มันเกินจะทนรับได้จริง ๆ เขาเลยต้องร้องออกมา “ได้ยินแล้ว เข้าใจแล้วขอรับ!                                                                                                                                                                           

  “เพ้ย” เหลียนฟางฉิงถ่มน้ำลาย และด่าทอ “ข้านึกว่าเจ้าจะยังปากแข็งไม่ยอมรับผิด  ไม่ว่าเจ้าจะปากแข็งเพียงไหน ข้าก็ไม่กลัวหรอก!”

  เหลียนเจ๋อแค่นเสียง “พวกเจ้าจำเอาไว้ให้แม่น! หากกล้าคิดแก้แค้น ก็อย่าหาว่าข้าหยาบคาย! น้องชายข้า พวกเจ้ารังแกไม่ได้เด็ดขาด!” กล่าวจบก็เตะเข้าที่สีข้างหยางเหวินจงทีหนึ่ง

  หยางเหวินจงดิ้นทุรนทุรายบนพื้นดิน สองสามรอบ พร้อมด้วยเสียงร้องโอดโอย ก่อนจะกระเสือกกระสนลุกขึ้นนั่ง พร้อมเสียงร้องคราง

            “เหวินเวี่ยว ! เหวินเซี่ยว!” ทันทีที่หยางเหวินจงนั่งได้ เขารีบคลานไปหาหยางเหวินเวี่ยว แล้วดึงตัวเขามาอย่างเป็นกังวล “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

            หยางเหวินจงถูกถอดข้อต่อกระดูก ที่แขนข้างหนึ่ง และที่ข้อเท้าข้างหนึ่ง ผู้เป็นพี่ชายที่โดนหยางเหวินจงดึงตัวไป ส่ายหน้า พลางกัดฟันด้วยความเจ็บปวดทันที เขาหอบหายใจเหนื่อยอ่อน “มือข้า ข้า เท้าข้า...”

            หยางเหวินจงผงะถอยหลัง และเมื่อมองดูใกล้ๆ ก็พบว่าแขนพี่ชายห้อยต่องแต่ง “เหวินเซี่ยว เหวินเซี่ยว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า! อย่าทำให้ข้าตกใจสิ!”

  “โง่งม!”เหลียนฟางฉิงแค่นเสียงขึ้นจมูก และเอ่ยอย่างดูแคลน “

            “ขี้ขลาด!ก็แค่โดนพี่ชายข้าถอดกระดูกข้อต่อแค่นี้เอง!”

  หยางเหวินจงอดมองเหลียนเจ๋ออีกไม่ได้

  พอเห็นว่าเขาโง่งมจริง ๆ เหลียนเจ๋อจึงเตือนอย่างใจดี “ขอร้องข้าสิ ข้าจะช่วยเขาเอง ไม่เช่นนั้นแขนข้างนี้และเท้านี่จะใช้การไม่ได้นะ!”

  หยางเหวินจงไม่มีความลังเลสักนิด เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ เขาจึงร้องขึ้น “ข้าขอร้องท่าน! ข้าขอร้องท่านช่วยชีวิตเหวินเซี่ยวด้วยเถิด!”

            เหลียนเจ๋อแค่นเสียงเย็น “เช่นนั้น...ก็จำไว้ให้ดี! ภายภาคหน้า หากพวกเจ้ากล้ารังแกและวางแผนเล่นงานน้องชายข้าอีก พวกเจ้าจะไม่ได้ออกจากบ้านไปตลอดชีวิตแน่!

            พอกล่าวจบ ก็สาวเท้ามาข้างหน้าแล้วคุกเข่าลง เขาดึงแขนหยางเหวินเซี่ยวอย่างคล่องแคล่ว ทุกคนได้ยินเสียงดังกึก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องปานฟ้าถล่มของหยางเหวินเซี่ยว เหลียนเจ๋อจ้องหน้าเขาเขม็ง “ร้องตะโกนอะไรกัน ? ลองเคลื่อนไหวดูสิว่าหายหรือยัง!

            หลินเฟยขาอ่อนแรงขึ้นมาทันที เขาทรุดฮวบกับพื้นดังผลั่ก แล้วรีบลุกขึ้นยืนอีกครา

            ต่อมาเหลียนเจ๋อดึงยืดข้อเท้าเขาในแบบเดียวกัน ครั้นแล้วก็คำราม “ฮึ่ม จำไว้นะ หากมีคราวหน้าอีกละก็ มันจะไม่ได้ทรมานเล็กน้อยแค่นี้แน่!”

            พอกล่าวจบ ก็พาเหลียนเช่อกับเหลียนฟางฉิงสะบัดแขนเสื้อสาวเท้าจากไป

  รถเกวียนเทียมลาถูกแอบไว้หลังพุ่มไม้ จากนั้นทั้งสามคนก็พากันขึ้นรถและขับกลับบ้านอย่างชื่นมื่น

            เหลียนฟางฉิงคล้ายจะอารมณ์ดีที่สุด นางยิ้มหยันใส่หยางเหวินจง กับหยางเหวินเซี่ยว แล้วหันไปขยิบตาให้เหลียนเช่อด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “พี่สาม พี่สาม ภายหน้ามีเรื่องสนุก ๆเช่นนี้อีกละก็ พวกท่านห้ามปิดเงียบนะ ต้องบอกข้านะ! นับข้าเข้าไปด้วย!”

            “เจ้านี่จริง ๆเลย...” เหลียนเช่อหัวเราะ “ข้าไม่ปรารถนาจะเจอเรื่องทำนองนี้อีกแล้ว!”

            “ใช่แลย! น้องสี่เจ้าเป็นแบบนี้ ไหนเลยจะแต่งงานออกเรือนได้!”เหลียนเจ๋อผู้ซึ่งบังคับรถอยู่ ก็อดหันมาค้อนใส่น้องสาวไม่ได้ แล้วจึงหันกลับไปขับรถต่อ ผ่านไปสักพักเขาก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “เช่อเอ๋อร์ เจ้าทำอันใดของเจ้า ถึงได้ให้เราปล่อยเจ้าเด็กสองคนนั่นไป? คราวก่อนไม่ได้บอกว่าพวกเขาก็เล่นงานเจ้ารึ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น