วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 260 ติดตามผล

           น้องชายตนไม่เคยยั่วยุหาเรื่องใคร เหตุใดพวกเขาถึงกลั่นแกล้งรังแกเขาแบบนั้น? ในตอนนั้นหากตนเองรีบมาไม่ทัน  มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!

            เหลียนเช่อกล่าวช้า ๆ “คราวก่อนนั้นมีสี่คนที่ลงมือ ยามนี้สั่งสอนเพียงแค่คนสกุลหยางสองคน พวกเขาย่อมเกลียดหลินจิ้นกับหลินเฟยที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้ปลายเส้นผมแน่ ต่อไปภายหน้าพวกเขาจะขัดแย้งกันเอง และหันมาห้ำหั่นกันเอง เช่นนั้นแล้ว...ย่อมไม่มีกะจิตกะใจมาจัดการข้าได้  อีกทั้งเพื่อนร่วมชั้นหลายคน ก็จะพลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย”

  “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เหลียนเจ๋อพลันรู้แจ้ง ส่วนเหลียนฟางฉิงก็ร้อง อ๋อ” ออกมา

  เหลียนเจ๋ออดพรูลมหายใจมิได้ “นี่ อาเช่อ ไม่สงสัยเลยที่อาจารย์ของเจ้า ก็ชมเชยว่าเจ้าฉลาดเฉลียว  แผนการของเจ้านี่ พี่เจี่ยนเองก็บอกว่าดีด้วย แต่จนกระทั่งเจ้าเล่ามา ข้าถึงรู้ว่ามันดีที่ตรงไหน!”

            เหลียนเช่อดหลุดหัวเราะคิกไม่ได้ เขาเกาหัวอย่างลำบากใจ และกล่าวขึ้น ข้าไม่อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกัน พี่รอง”

       ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งจบ การที่ไม่ให้เหลียนเช่อเข้าไปลงมือด้วย ก็เป็นอาเจี่ยนที่บอกกล่าวไว้

            อาเจี่ยนบอกว่า ภายภาคหน้าเหลียนเช่อจะสอบเป็นซิ่วไฉ เพื่อเดินเข้าสู้เส้นทางการสอบเข้ารับราชการ  และตามคำกล่าวว่า สุภาพชนย่อมใช้ปาก ไม่ใช้กำปั้น ดังนั้นการที่เขายืนเฝ้าดูอยู่ข้าง ๆเฉย ๆ ย่อมถูกต้องแล้ว เขายังบอกด้วยว่าเนื่องจากพี่น้องสกุลหยางเป็นคนหยาบคายไร้เหตุผล และชอบข่มเหงผู้อื่น อีกทั้งไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใดมาก่อน  ในกรณีนั้น เมื่อลงมือสั่งสอนย่อมต้องลงมือโหดพอสมควร และต้องทำให้พวกเขาหลาบจำจริง ๆ จากนี้ไปเมื่อพวกเขาหวาดกลัวอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะเลิกคิดแก้แค้นตลอดไป!

            นอกจากนี้หลังเหลียนเจ๋อผู้เป็นพี่ชายและน้อง ๆจากไปแล้ว หลินเฟยและหลินจิ้นต่างมองหน้ากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า พวกเขาต่างวิ่งหนีไปอย่างว่องไวปานสายฟ้าแลบ โดยไม่บอกกล่าวหยางเหวินจงกับพี่ชายเลยสักคำ

       ขาก็วิ่งไป  ในใจแอบนึกยินดีที่หนีรอดมาได้

            อย่างไรก็ตาม ความหวาดกลัวในใจพวกเขาผู้ซึ่งมิได้ถูกซ้อม ก็มิได้ด้อยไปกว่าหยางเหวินจงกับพี่ชายเลย ภายหน้าหากเจอเหลียนเช่อ แน่นอนที่สุดพวกเขายิ่งไม่กล้าเข้าไปตอแยอีกต่อไป

  “เพ้ย!”หยางเหวินจงถุยน้ำลายไล่หลังคนทั้งสอง  พลางก่นด่า “เจ้าขี้ขลาดตาขาวสองตัวนั่น มันไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย! ฮึ่ม! น่าไม่อายจริง ๆ!”

  “เจ้าเด็กน่ารังเกียจสองคนนั่น ทำให้ข้าได้รู้เช่นเห็นชาติพวกมันแล้ว!” หยางเหวินเซี่ยวก็ก่นด่าอีกคน พอขยับตัวทีหนึ่ง ก็กระทบแผลขึ้นมานิดหนึ่ง เขาจึงอดครางเบา ๆ ไม่ได้

            “พรุ่งข้าจะไปตามตัวมาคิดบัญชีเอง!”หยางเหวินจงสบถด่าอีกครั้ง และรีบเข้าไปช่วยประคองหยางเหวินเซี่ยวอย่างรู้งาน “เหวินเซี่ยว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ลุกขึ้นไหวไหม? เราควรกลับได้แล้ว ไม่เช่นนั้น หากกลับไปสาย พวกราต้องถูกดุแน่!”

  เขาก้มมองชายแขนเสื้อที่ถูกฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ และยังมีรอยแผลบนใบหน้าอีก จึงเอ่ยอยางทุกข์ระทมใจ “จะทำอย่างไรกันดีล่ะ กลับไปต้องโดนดุแน่เลย เผลอ ๆ ยังอาจโดนตีด้วยซ้ำ!”

            เหลียนเช่อนั่นก็ชั่วร้ายด้วย!” แม้เสื้อผ้าที่หยางเหวินเซี่ยวสวมใส่มิได้ฉีกขาด ทว่าความเจ็บปวดที่เขาได้ประสบมามันหนักกว่าที่หยางเหวินจงได้รับไม่รู้กี่เท่า พอได้ยินวาจานี้เข้า เขาพลันสบถด่าผู้กระทำผิดตัวหลักทันใด

  

            ยางเหวินจงใบหน้าซีดเผือดทันที เขากวาดตามองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว และรีบดึงตัวอีกฝ่ายไว้ พลางทำเสียงขู่ฟ่อ “เหวินเซี่ยว เบาๆ หน่อย หยุดพูดได้แล้ว!”

  อะไร? เจ้ากลัวรึ?” หยางเหวินเซี่ยวเลิกคิ้ว พลางขึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างดุดัน

  “ข้า...” หยางเหวินจงหยุดพูดไปดื้อๆ  แล้วพยักหน้ายอมรับ  แล้วจึงก้มหน้าเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร

            “ขี้ขาดเสียจริง! ฮึ่ม!”หยางเหวินเซี่ยวก่นด่า แม้ดูมีพลัง ทว่าก็ยังไม่พออยู่ดี

  “พวกเราไม่ใช่คู่ปรับพวกเขา...” หยางเหวินจงพูดเสียงแผ่วเบา

  หยางเหวินเซี่ยวไม่สนใจ กล่าวเพียงว่า “ช่วยดึงข้าลุกขึ้นมาสิ กลับกันเถอะ! ก็บอกไปสิ บอกไปว่าพวกเราหกล้มบนถนน...”

  สองคนเดินกระโผลกกระเผลกกลับไปพลาง ขณะหารือเพื่อหาทางรับมือกับพวกผู้ใหญ่ไปพลาง

**

            เหลียนเจ๋อและน้องๆรวมสามคน กลับถึงบ้านด้วยรอยยิ้มชื่นบานสว่างสไว และยังมีความตื่นเต้นยากระงับได้ปรากฏให้เห็นตรงหว่างคิ้วนั่น เหลียนฟางโจวแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพียงทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่เห็นจนเจนตา

  อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องราวได้คลี่คลายลง เหลียนเจ๋อกับเหลียนเช่อรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดบังพี่สาวพวกเขาอีกต่อไป เหนืออื่นใด พี่สาวคือหัวหน้าครอบครัวนั่นเอง

       หลังมื้อเย็น เหลียนเจ๋อเล่าเรื่องเรื่องราวความเป็นไปของปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นจนคลี่คลายในตอนท้ายให้เหลียนฟางโจวฟังรวดเดียว

  เด็กหนุ่มพูดไปคล้ายอยากได้ความดีความชอบ “พี่ใหญ่ วางใจเถิด หลังจากนี้ข้าเชื่อว่าจะไม่มีใครกล้ารังแกอาเช่อแน่  และภายภาคหน้าเขาสามารถไปเรียนหนังสืออย่างปลอดภัยไร้กังวล!”

  อาหญิงสามพอได้ยินว่าเหลียนเช่อถูกรังแก นางก็ด่าทอคนฉโมงโฉงเฉงไปแล้ว พอได้มาฟังว่าพวกเขาแก้แค้นไปแล้วในวันนี้ ก็กลับมีอารมณ์เบิกบานอีกครั้ง แถมชมเชยพวกเขาเสียยกใหญ่

  เหลียนฟางโจวย่อมไม่ตำหนิน้อง ๆ ที่กระทำการไร้ความปราณี หญิงสาวพยักหน้าและพรูลมหายใจออกมา “ก็คล้ายคนที่ถูกเลี้ยงมาด้วยข้าวแบบเดียวกัน จะทนไม่ได้ที่เห็นผู้อื่นดี นี่คือเรื่องที่ไม่สามารถทำอะไรได้! พวกเจ้าพี่ชายน้องชายสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ พี่สาวคนนี้ก็รู้สึกวางใจขึ้นมาหน่อย เพียงแต่อยากให้จำให้ขึ้นใจ ต้องไม่หุนหันพลันแล่นในทุกสิ่ง พวกเจ้าต้องวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน  คิดให้รอบคอบก่อนลงมือทำ หากทำไม่ได้ ก็จงหยุดเสีย หากทำ ก็ต้องไม่ทิ้งอะไรที่จะมีผลกระทบต่อตนเองภายหลัง

            เหลียนเจ๋อและหลียนเช่อต่างรับคำ

  เหลียนฟางฉิงซึ่งอยู่ใกล้ ๆรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ได้มีแค่พวกพี่ชายนะ แต่ยังมีข้าอีกคน! แถมข้ายังช่วยไปตั้งเยอะด้วย!”

            พอพูดจบทุกๆคนต่างหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

  วันต่อมาเหลียนเช่อไปเรียนหนังสือตามปกติ พอหลินจิ้นกับหลินเฟยเห็นเข้า ต่างคอยหลบเลี่ยงด้วยกลัวความผิด แทบอยากล่องหนหายตัวไปต่อหน้าต่อตาเลยถ้าทำได้ สำหรับหยางเหวินจงและหยางเหวินเซี่ยว ผ่านไปจนกระทั่งสามวันให้หลัง ถึงได้กลับมาเข้าเรียน

   แม้ว่าทั้งสองคนจะชิงชังเหลียนเช่อ แต่พวกเขาต่างโดนเหลียนเจ๋อสั่งสอนไปหนักจริง ๆ พวกเขาเลยไม่กล้าคิดแก้แค้นเอาคืนอีก

  ตรงกันข้าม พวกเขาเอาความคับแค้นใจทั้งหมดไปลงที่หลินจิ้นกับหลินเฟยแทน ลงท้าย

ทั้งสี่คนก็คอยจ้องหาโอกาสเล่นงานกันเอง

  เหล่านักเรียนดื้อ จึงโดนคนเห็นและถูกเอาไปรายงานอาจารย์เมิ่งในที่สุด แต่ละคนโดนอาจารย์เมิ่งตีคนละ 10 ที และให้คัดตัวอักษร 300 ตัว ถึงจะหยุดได้

**

            ไม่ว่าจะเป็นการเพาะต้นกล้าข้าว หรือเพาะต้นอ่อนฝ้าย ในกลางเดือนสาม ตอนนี้ฉินเฟิงได้พาคนงาน 11 คนที่จัดสรรแบ่งงานกันแล้ว ไปทำงานในนารวมทั้งในไร่ด้วย เหลียนฟางโจว นับว่ามีเวลามากขึ้น เมื่อเทียบกับแต่ก่อน

  หลังจากลงแรงทำงานมา 5 ถึง 6 วัน เหลียนฟางโจวได้ทาบกิ่งที่สุขภาพดีซึ่งมาจากสวนผลไม้สกุหลินกับตอไม้ทั้งหมดซึ่งถูกขุดกลับมา

            ตอไม้แต่ละต้นจะทาบกับกิ่งสุขภาพดีสองถึงสามกิ่ง ทันทีที่ลมวสันต์พัดผ่านมา ดวงอาทิตย์ในฤดูวสันต์ (ฤดูใบไม้ผลิ)ส่องแสง กิ่งที่ทาบไว้ก็แตกยอดอ่อน ผ่านไปวันแล้ววันเล่า เพียง 3 ถึง 4 วัน เมื่อมองไป ก็เห็นสีเขียวสด เต็มพรืดไปหมด สีหยกเขียวอ่อนช้อย พาให้ใจแช่มชื่นเบิกบานนัก

            ยามนี้ หน่อไม้ผลที่ถูกย้ายมาปลูกในสวนผลไม้ ทั้งหมดแทงยอดอ่อน มีใบงออกมาเรื่อย ๆ  มีเพียงสิบต้นที่เฉาตาย  เหลียนฟางโจวเลยรีบแทนที่ด้วยหน่อใหม่ทันที

  กิ่งก้านและใบชุดใหม่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วนัก  เมื่อไปดูหลังจากนั้นสองหรือสามวัน ก็เห็นหย่อมสีเขียว พวกต้นท้อ ต้นสาลี่ ต้นแอปริคอท และต้นอื่น ๆ เหล่านั้น ไม่รู้ว่าแอบออกดอกตูมตั้งแต่เมื่อไร มันเกาะอยู่บนกิ่งก้านเป็นช่อหนาแน่นขนัดเต็มไปหมด พุ่มดอกไม้มีน้ำเกาะดูแพรวพราวเมื่อต้องแสงอาทิตย์ และกระทั่งครึ่งหนึ่งของดอกไม้ยังผลิบานแล้ว มีทั้งสีแดงดุจชาดและสีขาวประหนึ่งหิมะ  ซึ่งตัดกับพื้นหลังสีเขียว ช่างงดงามสว่างสไวดึงดูดใจผู้คนนัก

  เมื่อจินตนาการว่าอีกไม่นานจะเห็นดอกไม้ผลิบานเต็มพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลคล้ายทะเลดอกไม้  เหลียนฟางโจวและน้อง ๆ อดรู้สึกเคลิบเคลิ้มไม่ได้

  การอาศัยอยู่ในท่ามกลางภาพแวดล้อมสีเขียวสด  ทำให้ซุนซื่ออารมณ์ดีอย่างหาใดเปรียบ นางจึงให้คำมั่นสัญญากับเหลียนฟางโจวและคนอื่น ๆว่า หากนางเห็นดอกไม้ผลิบานเต็มพื้นที่กว้างใหญ่นี้เมื่อไร นางจะไปแจ้งทุกคนแน่นอน

            “เดิมทีข้าคิดว่าหน่อต้นไม้นี้ยังเล็กอยู่ คงไม่อาจแผ่ร่มเงาครึ้มได้ ในฤดูร้อนที่นี่คงร้อนจัดน่าดู  ปีหน้าค่อยเอาไก่มาเลี้ยงก็ยังไม่สาย แต่เมื่อเห็นแบบนี้ในยามนี้แล้ว ก็สามารถเลี้ยงไก่ในปีนี้ได้เลย!”เหลียนฟางโจวเอ่ยกับอาเจี่ยนด้วยรอยยิ้มชื่นบานเต็มวงหน้า

  อาเจี่ยนพยักหน้าน้อย ๆ แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าอยากเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนหรือไม่เล่า?”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น