วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 262 ฟักไข่ไก่

             ระยะเวลาในการฟักไข่ไก่และไข่เป็ดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ช่วงที่ทำค่างไก่นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะค่างไข่เป็ดสองสามฟองพร้อมกันไปด้วย เมื่อไข่ไก่ถูกฟักออกมาเป็นตัวแล้ว ก็ยังต้องทิ้งไข่เป็ดให้ฟักต่อไปอีกสักหลายวัน ก่อนที่ไข่เป็ดจะฟักออกมาเป็นตัวได้!

        เมื่อไข่ไก่ถูกฟักออกเป็นตัวแล้ว ช่วงเวลาที่จับลูกเจี๊ยบออกไป แน่นอนอุณหภูมิย่อมต้องถูกกระทบ เกิดความผันผวนขึ้น ๆ ลง ๆ ดังนั้นการฟักไข่เป็ดเหล่านั้นย่อมเข้าสู่จุดวิกฤติ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ยังมีจะมีอะไรให้ดูอีกเล่า?

        หากกล่าวว่าเขาเป็นผู้ชำนาญการค่างไข่เป็ด เขาก็ไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด และไม่รู้ว่าอุณหภูมิที่ใช้จะเป็นแบบเดียวกับที่ทำค่างไข่ไก่หรือไม่ หากเหมือนกันก็ดีไป  ทว่าหากไม่เหมือนกัน ไข่ที่ทำการค่างจะถูกทำลายทั้งหมด เลิกพูดถึงเรื่องทำเงินไปได้เลย เงินที่ลงทุนไปทั้งหมดก็จะสูญสิ้นประหนึ่งเอาไปโยนทิ้งน้ำ แล้วเขาจะกล้าทดลองทำได้อย่างไร?

        ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาสำหรับฟักไข่ไก่บนค่างคือ 23 วัน และหากวันนี้เริ่มทำค่าง โดยปกติ การฟักไข่เป็ดโดยแม่เป็ดใช้เวลา 27 วัน อีกทั้งไม่รู้ว่าจะกำหนดวันทำค่างไข่อย่างไร ควรเริ่มทำค่างวันใดจึงจะดีที่สุด หากจะสุ่มเลือกวันมาก็คงไม่ได้  การทำค่างไข่ก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป!

        เมื่อเหลียนฟางโจวเห็นเหล่าหวางโถวกล่าวคำว่า “ไม่” นางก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ หลังจากขบคิดอยู่พักหนึ่ง หญิงสาวก็เอ่ยกับเหล่าหวางโถวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะซื้อไข่เป็ดหนึ่งร้อยถึงสองร้อยฟองมาให้ท่านลองทำดูได้ไหม? หากทดลองแล้วได้ผล ข้าแน่ใจว่าจะมองหาลูกเป็ดที่ได้จากค่างเป็ดของท่าน!”

  ดวงตาของเหล่าหวางเรืองวาบ เขาพยักหน้าด้วยความยินดี และหัวเราะไม่หยุด “แบบนี้ย่อมดีนัก! ข้าจะทดลองดู! ทว่ามันอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยนะ!”

       ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ก่อนอื่นท่านจัดการเรื่องค่างไก่ให้เสร็จก่อน แล้วเราค่อยกลับมาหารือกันอีกที!”เหลียนฟางโจวหัวเราะ

ด้วยเหตุนั้นเหลียนฟางโจวจึงทิ้งเงินไว้ 5 ตำลึง สองตำลึงสำหรับค่าไข่เป็ด และอีกสามตำลึงสำหรับเงินมัดจำค่าค่างไก่ของเหล่าหวาง

       เหล่าหวางรู้สึกเบิกบานใจนัก ชายชราขอบคุณอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้งสำหรับเงินที่ได้รับ ครั้นแล้วเขากับลูกชาย จึงเดินไปส่งเหลียนฟางโจวกับพวกทั้ง 3 คน

  ระหว่างเดินทางอยู่บนถนน เหลียนเจ๋ออดถามขึ้นมาไม่ได้ “พี่ใหญ่ ท่านยังจะซื้อลูกเป็ดด้วยรึ? ซื้อมาแล้วจะเอาไปไว้ที่ไหนเล่า? หากเลี้ยงอยู่แถวลำธารเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับหมู่บ้านเรา คงรองรับไม่ได้มากแน่!”

  กระทั่งอาเจี่ยนก็ยังอดแปลกใจไม่ได้

       เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “สามารถเลี้ยงในลำธารเล็ก ๆ ที่อยู่ติดหมู่บ้านเรานั่นน่ะได้เท่าไรกัน? ถึงเราอยากเลี้ยง ก็คงให้สะใภ้หลี่ซื่อเลี้ยงได้เพียง 20 ถึง 30 ตัวเท่านั้นแหละ! ข้าเองก็ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว และคงจะไม่เลี้ยงในปีนี้หรอก บางทีเอาจเลี้ยงในปีหน้า!”

  “ปีหน้า!”เหลียนเจ๋อทำตาโต และแทบไม่อยากจะเชื่อ เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างปลง ๆ “พี่ใหญ่ แผนการของท่านช่างเป็นแผนระยะยาวจริง ๆ!”

  เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ อาเจี่ยนเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่เจ้าต้องมีแผนในใจแล้ว ไม่เป็นไรหรอก เราก็ทำการเตรียมตัวให้เพียงพอไว้ล่วงหน้า และรอไปทำปีหน้า จะได้ลดงานที่ยุ่งๆลงไปด้วย!”

        เหลียนเจ๋อมุมปากกระตุกไปสองครา เด็กหนุ่มเอ่ยพึมพำ “ไม่ว่าพี่ใหญ่จะวางแผนทำอันใด พี่เจี่ยนล้วนเห็นดีเห็นงามตลอด...”

       เด็กหนุ่มบ่นพึมพำเล็กน้อย เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนล้วนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

       ที่จริงเหลียนฟางโจวคิดอยากเลี้ยงบางส่วนปีนี้ แต่น่าเสียดายที่เงินในมือ ไหนเลยจะเพียงพอ? ตอนนี้พูดได้ว่าเธอมีเงินเหลืออยู่สามพันตำลึง ต้นทุนการจัดการหลังปลูกฝ้ายกลับไม่มาก แต่ในขั้นตอนต่อมา ต้องการเครื่องมือหลากหลายประเภท เพื่อให้คนมาจัดการผลิตฝ้าย เช่นการปั่นฝ้ายเป็นเส้นด้าย การทอผ้าฝ้าย และอื่น ๆ  ซ้ำเธอยังต้องการเปิดร้านขายผ้าฝ้ายของตนเองอีกด้วย!

        แล้วมีส่วนไหนที่ไม่ต้องการเงินตำลึงบ้าง? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใดเลย หากเธอต้องจ้างช่างทอผ้าที่ชำนาญการมาสักสองสามคน ค่าแรงนั้นไม่ใช่ถูกเลย

  ไม่กี่วันต่อมา มีข่าวว่าเหลียนไห่และซุนหมิง ทั้งสองคนสอบผ่านระดับอำเภอ และในเดือนสี่ ถ้าสอบผ่านการทดสอบรอบที่หนึ่งของภายในราชสำนักอีกครั้ง ก็จะได้เป็นซิ่วไฉอย่างเป็นทางการ!

  การกลายเป็นซิ่วไฉหมายความว่า เมื่อเจอขุนนาง ก็ไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพ  ครอบครัวไม่ต้องจ่ายภาษี ตนเองและภรรยาได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน และยังสามารถติดต่อราชการระดับท้องถิ่นกับจือเซี่ยน(เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับอำเภอ) และผู้หลักผู้ใหญ่ได้โดยตรง เพื่อนำเสนอความคิดเห็นและคำชี้แนะ ทุก ๆเดือน ยังสามารถไปรับข้าว 5 ถังจากหยาเหมิน(เจ้าหน้าที่ทางการ)ซึ่งเป็นการให้ความอนุเคราะห์จากทางราชสำนัก

  หากเดินหน้าต่อไปอีกก้าว จะได้เป็นจวี่เหริน(สอบผ่านระดับมณฑล) ซึ่งเทียบเท่ากับได้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในวงการราชการแล้ว ทว่าหากไปไกลกว่านี้ไม่ได้ ก็หาสำนักศึกษาไปสมัครเป็นครูดู นั่นก็ไม่เลวเลย!

        สรุปสั้น ๆ ผลประโยชน์ที่ชนะการสอบได้เป็นซิ่วไฉนั้นเป็นของจริง

  เหลียนไห่และซุนหมิงตอนนี้กำลังก้าวเข้าไปตรงธรณีประตูของซิ่วไฉแล้ว

    เมื่อมีข่าวแพร่สะพัดเข้ามาในหมู่บ้าน ทุก ๆ คนทั้งยินดีทั้งอิจฉา เหลียนลี่และเฉียวซื่อทั้งสองคน ต่างยึดอกวางท่าใหญ่โตยามที่เดินออกไปนอกบ้าน ซ้ำยังพูดจาเสียงดังกว่าปกติอีกด้วย

       ส่วนซุนฉางซิงและภรรยาก็ร่ำไห้ด้วยความดีใจ พวกเขาทั้งสองต่างตื่นเต้นปนกังวล และคงหลังเดือนสี่ผ่านไปแล้ว ทั้งสองถึงสามารถวางใจที่หนักอึ้งลงได้โดยสิ้นเชิง

  ความตื่นเต้นของเฉียวซื่อแผ่ลามไปทั่วโพรงอก นางเกิดอยากไปบ้านเหลียนฟางโจวเพื่อหาเรื่องอีกฝ่ายทันใด แต่ก็มาถูกเหลียนลี่สกัดเสียก่อน

       เฉียวซื่อไม่พอใจเป็นอันมาก ฝ่ายเหลียนลี่เพียงเอ่ยอย่างเย็นชา “อาไห่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นซิ่วไฉเสียหน่อย ไฉนเจ้าถึงได้ใจร้อนปานนี้? และเหตุใดหลายวันมานี้เจ้าถึงได้ใจร้อนนัก! หากเกิดชาวบ้านเห็นเรื่องน่าขันเข้า  ภายหน้าเจ้าจะมีหน้าไปเจอผู้คนได้อีกรึ!”

  เหลียนลี่หมายความว่าหากอาไห่สอบไม่ผ่านขึ้นมา จะไม่น่าอับอายหรอกรึ? แค่พูดคำว่า “สอบตก” ออกมามันก็โชคร้ายเกินไปแล้ว และทั้งคู่ก็ไม่เคยพูดออกมาเลย

       เฉียวซื่อไม่เต็มใจยอมรับความผิด “อาไห่ของพวกเราเฉลียวฉลาดปานนี้ จะต้องบรรลุเป้าหมายเป็นแน่! พวกเราไม่เหมือนครอบครัวสกุลซุน ที่ยากจนข้นแค้นเสียหน่อย ไหนเลยพวกเขาจะมีโชคใหญ่ปานนั้นได้!” ในที่สุดนางก็มีท่าทีอ่อนลง ซ้ำไม่มีโอกาสไปเที่ยวหาตัวเหลียนฟางโจวอีก

  ส่วนคู่ของซุนฉางซิงไปแสดงความขอบคุณเหลียนฟางโจว เหลียนฟางโจวรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย และการรับมือพวกเขาก็ออกจะยุ่งยากใจสักหน่อย

  อากาศนับวันอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ พระอาทิตย์ฉายแสงจ้า เหลียนฟางโจวจึงตัดสินใจเตรียมการเพาะต้นกล้าของฝ้าย

       สำหรับทุกงานที่เกี่ยข้องกับแปลงนาข้าวเนื้อที่ 60 หมู่ ฉินเฟิงเป็นผู้รับหน้าที่ไป จึงทำให้หญิงสาวเบาใจขึ้นมากในส่วนนี้

       ก่อนจะปลูกเมล็ดฝ้ายลงดิน ยังต้องผ่านขั้นตอนอย่างหนึ่งเสียก่อน ส่วนสถานที่เพาะปลูกนั่นก็ต้องมีการจัดระเบียบอีกครา

       หญิงสาวสั่งบ่าวไพร่ 6 คนภายใต้การนำของซูจื่อจี้ไปตระเตรียมพื้นดินสำหรับเพาะปลูก ส่วนเหลียนฟางโจว อาเจี่ยน เหลียนเจ๋อ และครอบครัวของจางเสี่ยวจุนก็ยุ่งกับขั้นตอนการเตรียมเมล็ดฝ้ายเหล่านั้น

       สถานที่เช่นที่บ้านคับแคบเกินไปที่จะเริ่มขั้นตอนนั่น ดังนั้นเหลียนฟางโจวจึงขนย้ายเมล็ดฝ้ายทั้งหมดไปที่หมู่ตึกโดยรถเกวียนเทียมลา

       เนื่องจากการปลูกฝ้ายต้องการผ่านขั้นตอนการเตรียมเมล็ดทุก ๆ ปี จึงมีห้องหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่ตึก สำหรับขั้นตอนเตรียมเมล็ดฝ้าย ห้องนี้มี 2 ชั้น ชั้นบนแห้งและสะอาดเอาไว้ใช้เก็บเมล็ดฝ้าย

  แน่นอน เมล็ดฝ้ายที่ถูกขนย้ายมาในเวลานี้ต้องการผ่านขั้นตอนเตรียมเมล็ดทันที ดังนั้นจึงไม่ต้องเอาเมล็ดขึ้นไปเก็บ

       เมล็ดฝ้ายมีจำนวนรวมทั้งหมด 7-8 พันชั่ง ประมาณกันว่าน่าจะใช้เวลานานที่จะดำเนินการขนและกองเมล็ดให้เสร็จสิ้นในเรือนว่างตรงโน้น

       ครอบครัวจางเสี่ยวจุน และบ่าวอีก 3 คน ช่วยกันขนของลงไปเก็บที่นั่น เหลียนฟางโจว อาเจี่ยน และเหลียนเจ๋อนำคน 3 คนมาขนของขึ้นเกวียน และอาเจี่ยนเป็นคนขับเกวียนที่บรรทุกของเอง

รถที่เข้ามาและออกไปจากหมู่ตึกทำให้ดูวุ่นวาย มีคนหนึ่งซึ่งเหลียนฟางโจวต้องเรียกว่าป้าหลิว มายืนเมียงมองอยู่ตรงประตูทางเข้าสักครู่หนึ่งแล้ว เหลียนฟางโจวจึงร้องทัก นางจึงเข้ามาในลานด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

       เหลียนฟางโจวฟังนางสนทนาโดยไม่มีคำใดเกี่ยวข้องกับตัวเธอเลย นางดูคล้ายเหมือนไม่ยอมจากไปเสียที ทีแรกหญิงสาวก็ไม่ใส่ใจ แต่สักพักก็ตระหนักขึ้นมา ดังนั้นเธอจึงหยุดและพาป้าหลิวมายืนแอบด้านข้าง พร้อมทั้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอันใดหรือเปล่าป้า? หากมีเรื่องอันใด ก็บอกข้ามาได้นะ!”

  “ไม่สงสัยเลยว่าใครๆก็บอกว่าเหลียนฟางโจวเป็นคนกระตือรือร้น!”ป้าหลิวหัวเราะโดยพลันและพยักหน้า “ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรนักหรอก!”

  นางลดเสียงต่ำลงแล้วขยับเข้ามาหาเหลียนฟางโจวอีกนิด พลางกระซิบถาม “ฟางโจว ป้ามีเรื่องบางเรื่องมาถามเจ้า ญาติห่าง ๆ ของเจ้าที่ชื่ออาเจี่ยนนะ เขาเคยแต่งงานหรือยัง และเขายังไม่ได้ตัดสินใจแต่งงานใช่หรือไม่?”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น