ระยะเวลาในการฟักไข่ไก่และไข่เป็ดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ช่วงที่ทำค่างไก่นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะค่างไข่เป็ดสองสามฟองพร้อมกันไปด้วย เมื่อไข่ไก่ถูกฟักออกมาเป็นตัวแล้ว ก็ยังต้องทิ้งไข่เป็ดให้ฟักต่อไปอีกสักหลายวัน ก่อนที่ไข่เป็ดจะฟักออกมาเป็นตัวได้!
เมื่อไข่ไก่ถูกฟักออกเป็นตัวแล้ว ช่วงเวลาที่จับลูกเจี๊ยบออกไป แน่นอนอุณหภูมิย่อมต้องถูกกระทบ
เกิดความผันผวนขึ้น ๆ ลง ๆ ดังนั้นการฟักไข่เป็ดเหล่านั้นย่อมเข้าสู่จุดวิกฤติ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
ยังมีจะมีอะไรให้ดูอีกเล่า?
หากกล่าวว่าเขาเป็นผู้ชำนาญการค่างไข่เป็ด เขาก็ไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด
และไม่รู้ว่าอุณหภูมิที่ใช้จะเป็นแบบเดียวกับที่ทำค่างไข่ไก่หรือไม่ หากเหมือนกันก็ดีไป
ทว่าหากไม่เหมือนกัน ไข่ที่ทำการค่างจะถูกทำลายทั้งหมด
เลิกพูดถึงเรื่องทำเงินไปได้เลย เงินที่ลงทุนไปทั้งหมดก็จะสูญสิ้นประหนึ่งเอาไปโยนทิ้งน้ำ
แล้วเขาจะกล้าทดลองทำได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาสำหรับฟักไข่ไก่บนค่างคือ 23 วัน และหากวันนี้เริ่มทำค่าง
โดยปกติ การฟักไข่เป็ดโดยแม่เป็ดใช้เวลา 27 วัน อีกทั้งไม่รู้ว่าจะกำหนดวันทำค่างไข่อย่างไร
ควรเริ่มทำค่างวันใดจึงจะดีที่สุด หากจะสุ่มเลือกวันมาก็คงไม่ได้ การทำค่างไข่ก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป!
เมื่อเหลียนฟางโจวเห็นเหล่าหวางโถวกล่าวคำว่า “ไม่” นางก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ
หลังจากขบคิดอยู่พักหนึ่ง หญิงสาวก็เอ่ยกับเหล่าหวางโถวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะซื้อไข่เป็ดหนึ่งร้อยถึงสองร้อยฟองมาให้ท่านลองทำดูได้ไหม? หากทดลองแล้วได้ผล ข้าแน่ใจว่าจะมองหาลูกเป็ดที่ได้จากค่างเป็ดของท่าน!”
ดวงตาของเหล่าหวางเรืองวาบ เขาพยักหน้าด้วยความยินดี
และหัวเราะไม่หยุด “แบบนี้ย่อมดีนัก! ข้าจะทดลองดู! ทว่ามันอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยนะ!”
ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ก่อนอื่นท่านจัดการเรื่องค่างไก่ให้เสร็จก่อน
แล้วเราค่อยกลับมาหารือกันอีกที!”เหลียนฟางโจวหัวเราะ
ด้วยเหตุนั้นเหลียนฟางโจวจึงทิ้งเงินไว้ 5 ตำลึง สองตำลึงสำหรับค่าไข่เป็ด และอีกสามตำลึงสำหรับเงินมัดจำค่าค่างไก่ของเหล่าหวาง
เหล่าหวางรู้สึกเบิกบานใจนัก ชายชราขอบคุณอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้งสำหรับเงินที่ได้รับ
ครั้นแล้วเขากับลูกชาย จึงเดินไปส่งเหลียนฟางโจวกับพวกทั้ง 3 คน
ระหว่างเดินทางอยู่บนถนน เหลียนเจ๋ออดถามขึ้นมาไม่ได้
“พี่ใหญ่ ท่านยังจะซื้อลูกเป็ดด้วยรึ? ซื้อมาแล้วจะเอาไปไว้ที่ไหนเล่า? หากเลี้ยงอยู่แถวลำธารเล็ก ๆ
ที่อยู่ติดกับหมู่บ้านเรา คงรองรับไม่ได้มากแน่!”
กระทั่งอาเจี่ยนก็ยังอดแปลกใจไม่ได้
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “สามารถเลี้ยงในลำธารเล็ก
ๆ ที่อยู่ติดหมู่บ้านเรานั่นน่ะได้เท่าไรกัน? ถึงเราอยากเลี้ยง ก็คงให้สะใภ้หลี่ซื่อเลี้ยงได้เพียง
20 ถึง 30 ตัวเท่านั้นแหละ! ข้าเองก็ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
และคงจะไม่เลี้ยงในปีนี้หรอก บางทีเอาจเลี้ยงในปีหน้า!”
“ปีหน้า!”เหลียนเจ๋อทำตาโต และแทบไม่อยากจะเชื่อ
เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างปลง ๆ “พี่ใหญ่ แผนการของท่านช่างเป็นแผนระยะยาวจริง ๆ!”
เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนอดหัวเราะไม่ได้
อาเจี่ยนเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่เจ้าต้องมีแผนในใจแล้ว ไม่เป็นไรหรอก
เราก็ทำการเตรียมตัวให้เพียงพอไว้ล่วงหน้า และรอไปทำปีหน้า จะได้ลดงานที่ยุ่งๆลงไปด้วย!”
เหลียนเจ๋อมุมปากกระตุกไปสองครา เด็กหนุ่มเอ่ยพึมพำ “ไม่ว่าพี่ใหญ่จะวางแผนทำอันใด
พี่เจี่ยนล้วนเห็นดีเห็นงามตลอด...”
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำเล็กน้อย
เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนล้วนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
ที่จริงเหลียนฟางโจวคิดอยากเลี้ยงบางส่วนปีนี้
แต่น่าเสียดายที่เงินในมือ ไหนเลยจะเพียงพอ? ตอนนี้พูดได้ว่าเธอมีเงินเหลืออยู่สามพันตำลึง
ต้นทุนการจัดการหลังปลูกฝ้ายกลับไม่มาก แต่ในขั้นตอนต่อมา ต้องการเครื่องมือหลากหลายประเภท
เพื่อให้คนมาจัดการผลิตฝ้าย เช่นการปั่นฝ้ายเป็นเส้นด้าย การทอผ้าฝ้าย และอื่น ๆ ซ้ำเธอยังต้องการเปิดร้านขายผ้าฝ้ายของตนเองอีกด้วย!
แล้วมีส่วนไหนที่ไม่ต้องการเงินตำลึงบ้าง? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใดเลย
หากเธอต้องจ้างช่างทอผ้าที่ชำนาญการมาสักสองสามคน ค่าแรงนั้นไม่ใช่ถูกเลย
ไม่กี่วันต่อมา มีข่าวว่าเหลียนไห่และซุนหมิง
ทั้งสองคนสอบผ่านระดับอำเภอ และในเดือนสี่ ถ้าสอบผ่านการทดสอบรอบที่หนึ่งของภายในราชสำนักอีกครั้ง
ก็จะได้เป็นซิ่วไฉอย่างเป็นทางการ!
การกลายเป็นซิ่วไฉหมายความว่า
เมื่อเจอขุนนาง ก็ไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพ ครอบครัวไม่ต้องจ่ายภาษี ตนเองและภรรยาได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน
และยังสามารถติดต่อราชการระดับท้องถิ่นกับจือเซี่ยน(เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับอำเภอ)
และผู้หลักผู้ใหญ่ได้โดยตรง เพื่อนำเสนอความคิดเห็นและคำชี้แนะ ทุก ๆเดือน
ยังสามารถไปรับข้าว 5 ถังจากหยาเหมิน(เจ้าหน้าที่ทางการ)ซึ่งเป็นการให้ความอนุเคราะห์จากทางราชสำนัก
หากเดินหน้าต่อไปอีกก้าว
จะได้เป็นจวี่เหริน(สอบผ่านระดับมณฑล) ซึ่งเทียบเท่ากับได้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในวงการราชการแล้ว
ทว่าหากไปไกลกว่านี้ไม่ได้ ก็หาสำนักศึกษาไปสมัครเป็นครูดู นั่นก็ไม่เลวเลย!
สรุปสั้น ๆ ผลประโยชน์ที่ชนะการสอบได้เป็นซิ่วไฉนั้นเป็นของจริง
เหลียนไห่และซุนหมิงตอนนี้กำลังก้าวเข้าไปตรงธรณีประตูของซิ่วไฉแล้ว
เมื่อมีข่าวแพร่สะพัดเข้ามาในหมู่บ้าน
ทุก ๆ คนทั้งยินดีทั้งอิจฉา เหลียนลี่และเฉียวซื่อทั้งสองคน ต่างยึดอกวางท่าใหญ่โตยามที่เดินออกไปนอกบ้าน
ซ้ำยังพูดจาเสียงดังกว่าปกติอีกด้วย
ส่วนซุนฉางซิงและภรรยาก็ร่ำไห้ด้วยความดีใจ
พวกเขาทั้งสองต่างตื่นเต้นปนกังวล และคงหลังเดือนสี่ผ่านไปแล้ว
ทั้งสองถึงสามารถวางใจที่หนักอึ้งลงได้โดยสิ้นเชิง
ความตื่นเต้นของเฉียวซื่อแผ่ลามไปทั่วโพรงอก
นางเกิดอยากไปบ้านเหลียนฟางโจวเพื่อหาเรื่องอีกฝ่ายทันใด แต่ก็มาถูกเหลียนลี่สกัดเสียก่อน
เฉียวซื่อไม่พอใจเป็นอันมาก ฝ่ายเหลียนลี่เพียงเอ่ยอย่างเย็นชา
“อาไห่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นซิ่วไฉเสียหน่อย ไฉนเจ้าถึงได้ใจร้อนปานนี้? และเหตุใดหลายวันมานี้เจ้าถึงได้ใจร้อนนัก! หากเกิดชาวบ้านเห็นเรื่องน่าขันเข้า ภายหน้าเจ้าจะมีหน้าไปเจอผู้คนได้อีกรึ!”
เหลียนลี่หมายความว่าหากอาไห่สอบไม่ผ่านขึ้นมา
จะไม่น่าอับอายหรอกรึ? แค่พูดคำว่า “สอบตก” ออกมามันก็โชคร้ายเกินไปแล้ว
และทั้งคู่ก็ไม่เคยพูดออกมาเลย
เฉียวซื่อไม่เต็มใจยอมรับความผิด “อาไห่ของพวกเราเฉลียวฉลาดปานนี้
จะต้องบรรลุเป้าหมายเป็นแน่!
พวกเราไม่เหมือนครอบครัวสกุลซุน ที่ยากจนข้นแค้นเสียหน่อย ไหนเลยพวกเขาจะมีโชคใหญ่ปานนั้นได้!” ในที่สุดนางก็มีท่าทีอ่อนลง ซ้ำไม่มีโอกาสไปเที่ยวหาตัวเหลียนฟางโจวอีก
ส่วนคู่ของซุนฉางซิงไปแสดงความขอบคุณเหลียนฟางโจว
เหลียนฟางโจวรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย และการรับมือพวกเขาก็ออกจะยุ่งยากใจสักหน่อย
อากาศนับวันอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
พระอาทิตย์ฉายแสงจ้า เหลียนฟางโจวจึงตัดสินใจเตรียมการเพาะต้นกล้าของฝ้าย
สำหรับทุกงานที่เกี่ยข้องกับแปลงนาข้าวเนื้อที่
60 หมู่ ฉินเฟิงเป็นผู้รับหน้าที่ไป จึงทำให้หญิงสาวเบาใจขึ้นมากในส่วนนี้
ก่อนจะปลูกเมล็ดฝ้ายลงดิน ยังต้องผ่านขั้นตอนอย่างหนึ่งเสียก่อน
ส่วนสถานที่เพาะปลูกนั่นก็ต้องมีการจัดระเบียบอีกครา
หญิงสาวสั่งบ่าวไพร่ 6 คนภายใต้การนำของซูจื่อจี้ไปตระเตรียมพื้นดินสำหรับเพาะปลูก
ส่วนเหลียนฟางโจว อาเจี่ยน เหลียนเจ๋อ และครอบครัวของจางเสี่ยวจุนก็ยุ่งกับขั้นตอนการเตรียมเมล็ดฝ้ายเหล่านั้น
สถานที่เช่นที่บ้านคับแคบเกินไปที่จะเริ่มขั้นตอนนั่น
ดังนั้นเหลียนฟางโจวจึงขนย้ายเมล็ดฝ้ายทั้งหมดไปที่หมู่ตึกโดยรถเกวียนเทียมลา
เนื่องจากการปลูกฝ้ายต้องการผ่านขั้นตอนการเตรียมเมล็ดทุก
ๆ ปี จึงมีห้องหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่ตึก สำหรับขั้นตอนเตรียมเมล็ดฝ้าย
ห้องนี้มี 2 ชั้น ชั้นบนแห้งและสะอาดเอาไว้ใช้เก็บเมล็ดฝ้าย
แน่นอน เมล็ดฝ้ายที่ถูกขนย้ายมาในเวลานี้ต้องการผ่านขั้นตอนเตรียมเมล็ดทันที
ดังนั้นจึงไม่ต้องเอาเมล็ดขึ้นไปเก็บ
เมล็ดฝ้ายมีจำนวนรวมทั้งหมด 7-8 พันชั่ง
ประมาณกันว่าน่าจะใช้เวลานานที่จะดำเนินการขนและกองเมล็ดให้เสร็จสิ้นในเรือนว่างตรงโน้น
ครอบครัวจางเสี่ยวจุน และบ่าวอีก 3 คน
ช่วยกันขนของลงไปเก็บที่นั่น เหลียนฟางโจว อาเจี่ยน และเหลียนเจ๋อนำคน 3
คนมาขนของขึ้นเกวียน และอาเจี่ยนเป็นคนขับเกวียนที่บรรทุกของเอง
รถที่เข้ามาและออกไปจากหมู่ตึกทำให้ดูวุ่นวาย มีคนหนึ่งซึ่งเหลียนฟางโจวต้องเรียกว่าป้าหลิว
มายืนเมียงมองอยู่ตรงประตูทางเข้าสักครู่หนึ่งแล้ว เหลียนฟางโจวจึงร้องทัก นางจึงเข้ามาในลานด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
เหลียนฟางโจวฟังนางสนทนาโดยไม่มีคำใดเกี่ยวข้องกับตัวเธอเลย
นางดูคล้ายเหมือนไม่ยอมจากไปเสียที ทีแรกหญิงสาวก็ไม่ใส่ใจ แต่สักพักก็ตระหนักขึ้นมา
ดังนั้นเธอจึงหยุดและพาป้าหลิวมายืนแอบด้านข้าง พร้อมทั้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอันใดหรือเปล่าป้า? หากมีเรื่องอันใด ก็บอกข้ามาได้นะ!”
“ไม่สงสัยเลยว่าใครๆก็บอกว่าเหลียนฟางโจวเป็นคนกระตือรือร้น!”ป้าหลิวหัวเราะโดยพลันและพยักหน้า
“ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรนักหรอก!”
นางลดเสียงต่ำลงแล้วขยับเข้ามาหาเหลียนฟางโจวอีกนิด
พลางกระซิบถาม “ฟางโจว ป้ามีเรื่องบางเรื่องมาถามเจ้า ญาติห่าง ๆ ของเจ้าที่ชื่ออาเจี่ยนนะ
เขาเคยแต่งงานหรือยัง และเขายังไม่ได้ตัดสินใจแต่งงานใช่หรือไม่?”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น