วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 263 ทำตัวเป็นแม่สื่อ

            อะไรนะ? รอยยิ้มบนริมฝีปากของเหลียนฟางโจวแข็งค้างไปชั่วขณะ  ลมหายใจสะดุดโดยไม่ทราบสาเหตุ ลำคอตีบตันขึ้นมาดื้อ ๆ

       “ที่ป้าพูดมาคือ...” เหลียนฟางโจวไม่ได้ตระหนักว่าน้ำเสียงตนเองตะกุกตะกักแค่ไหน

  “ตามนั้นแหละ!: ป้าหลิวกระตือรือร้นขึ้นมาอีกนิดและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บ้านข้ามีหลานสาวคนหนึ่ง ปีนี้อายุ 16 หนาวแล้ว นางชอบดอกไม้และมีนิสัยอ่อนโยน นางมีเมตตาต่อผู้อื่น เก่งงานบ้านงานเรือน เรื่องเย็บปักถักร้อยก็เก่งด้วยนะ! ทางฝั่งเราน่ะ คนที่มาสู่ขอแทบไม่ได้ผ่านประตูเข้ามาเลย! ทว่าพี่ชายข้าและพี่สะใภ้มีลูกสาวแค่คนเดียว ฮ่า ๆ พูดแบบไม่ปิดบังนะ พวกเขาปรึกษากันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่าอยากหาลูกเขยเข้าบ้าน! ข้าจึงเห็นว่าอาเจี่ยนเหมาะสมดีทีเดียว!”

        สีหน้าเหลียนฟางโจวยังคงไม่เปลี่ยน ทว่าบึ้งขึ้น ป้าหลิวคล้ายรู้ตัว เลยรีบเอ่ย “อย่าได้วิตก อาเจี่ยนจะไม่เจ็บช้ำน้ำใจเมื่อแต่งเข้ามาในบ้าน! เพียงให้เด็กที่เกิดมาคนแรกใช้แซ่ของสกุล หลังจากนั้น ข้าจะให้ใช้แซ่ตามเขา! ฐานะครอบครัวของพี่ชายกับพี่สะใภ้ข้าดีมาก มีที่ดินอุดมสมบูรณ์หลายสิบหมู่ พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านก่อด้วยอิฐ จะไปหาเงื่อนไขดี ๆเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน? ภายภาคหน้าหลังรุ่นพ่อแม้สิ้นไป ทุกอย่างทั้งหมดนี้จะไม่เป็นของอาเจี่ยนรึ? หากพลาดหมู่บ้านนี้ไป ก็อย่าได้หวังเจอโรงเตี๊ยมเลย[1]!”

  เหลียนฟางโจวในใจรู้สึกหงุดหงิดขุ่นเคืองโดยไม่มีสาเหตุ

       อันที่จริง เธอรู้จักอาเจี่ยนมาตั้งแต่แรกเริ่มก่อนที่เขาจะไปยิงเสือ และตามมาด้วยยิงหมาป่าเสียอีก หลังจากชื่อเสียงเขาแพร่สะพัดออกไป มีหลายคนเข้ามาสอบถามว่าชายหนุ่มแต่งงานหรือยัง ทว่าคนเหล่านั้นก็สอบถามเอากับอาหญิงสามและไม่เคยมาถามเธอเลย

  เหตุผลทั้งมวลก็คือ ตัวเธอเองยังเป็นเพียงเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ซ้ำยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย ดังนั้นมาถามเธอเรื่องนี้ นับว่าไม่ดีแน่!

    ส่วนอาหญิงสามเองก็ไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของคนที่มาถามเป็นแบบไหนคืออะไร ทว่าเมื่อมีคนมาถาม นางก็บอกว่าอาเจี่ยนมีคู่หมายแล้ว ดังนั้นถ้อยคำที่เหลือของคนที่มาถาม จึงถูกกลืนลงไป แล้วพากันแอบเสียดายอยู่ลับ ๆ!

  เหลียนฟางโจวเองจะไม่รู้หรือว่าจุดประสงค์คืออะไร ด้วยอาหญิงสามรับมือกับคำถามในรูปแบบนี้ หญิงสาวเลยทำเป็นตาบอด แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้ว่าป้าหลิวผู้นี้คิดใคร่ครวญมาแบบใด ถึงมาถามเธอด้วยตัวเอง!

       มิหนำซ้ำ ยังทำให้อาเจี่ยนกลายเป็นคนไร้รากไปจริง ๆ

       ในยุคนี้ที่ ๆการจุดธูปบูชาบรรพบุรุษเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะข้อบังคับทุกรูปแบบ พร้อมเหตุผลรองรับนานาประการ ใครมันจะอยากให้ลูกชายของพวกเขาไปเป็นลูกชายของผู้อื่น? มีผู้ชายคนใดบ้างที่เต็มใจแต่งเป็นเขยเข้าบ้าน?

        อาเจี่ยนได้ชื่อว่าเก่งกาจสมฉายาวีรบุรุษไร้พ่าย แล้วป้าหลิวก็ดันพูดเรื่องทำนองนี่ออกมา การกระทำเยี่ยงนี้ถือเป็นการดูถูกอาเจี่ยนชัดๆ!

  ดูคล้ายว่าหญิงสาวได้พบช่องทางระบายโทสะเข้าแล้ว เหลียนฟางโจวรู้สึกหงุดหงิดเป็นพิเศษ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ในเมื่อเป็นการแต่งงานที่ดีงามเช่นนั้น เหตุใดป้าไม่ไปเจรจากับเจ้าตัวเองเล่า? ด้วยเพราะหงุดหงิดรำคาญใจเป็นทุนเดิม เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกจะเรียบนิ่งเย็นชาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด

  สีหน้าป้าหลิวพลันเปลี่ยนไปทันทีที่หญิงสาวพูดวาจานี้ออกมา นางอดขึ้นเสียงไม่ได้ “เจ้าพูดอันใดของเจ้ากัน?”

        พอเห็นท่าทางอีกฝ่าย เหลียนฟางโจวจึงแย้มยิ้มยั่วโทสะ “นี่คืออันใดรึ? ที่แท้ป้าหลิวก็คิดเหมือนกันว่าคำพูดทำนองนี้ ใครได้ฟังก็คงไม่ชอบใจแน่! ในเมื่อท่านคิดว่ามันไม่ดี แล้วไยถึงมาเล่าให้ข้าฟังอีกเล่า?”

       หญิงสาวไม่ใยดีป้าหลิวที่มีสีหน้าบื้อใบ้ไปแล้ว พลางเอ่ยเสียงเย็น “ญาติข้าไม่เต็มใจแต่งเป็นเขยเข้าบ้านผู้อื่นหรอก  หากไม่มีเรื่องใดแล้ว เชิญป้าหลิวกลับไปเถิด!”

       ป้าหลิวรู้สึกฉุนขึ้นมานิดหนึ่ง นางนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ย ”เจ้าไม่ลองถามเขาดูล่ะ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่เต็มใจ? ฮึ่ม..ไม่เคยพบไม่เคยเห็น เปี่ยวเม่ย(ญาติหญิงผู้น้อง)ที่ทำแบบนี้ ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเปี่ยวเกอ(ญาติชายผู้พี่)!”

       เหลียนฟางโจวส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ไปถามเขาด้วยตัวเองดูแล้วกัน!”

       เหลียนฟางโจวรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจโดยไม่มีเหตุผล แม้จะรู้ว่าอาเจี่ยน แปดในสิบส่วน จะไม่ตกลงแน่ ทว่านางไม่อาจรับรองได้ว่าเมื่อเขาได้ฟังว่ามีแม่นางบ้านอื่นที่ดูสดใสมีชีวิตชีวาดุจดอกไม้แรกแย้ม แถมยังอ่อนโยนเป็นกุลสตรี เก่งกาจงานบ้านงานเรือนอีก จิตใจจะไม่รู้สึกปรารถนาขึ้นมารึ!

        ในกรณีที่เขาเกิดมีจิตปรารถนาขึ้นมา---

ใจก็คงจะหมกมุ่นแต่ความปรารถนา! ในเมื่อเขาปรารถนาจะไปแล้ว เธอจะยังบังคับเขาให้อยู่ต่อ โดยไม่ให้ไปได้รึ? เพราะเดิมทีเขาเองก็มิใช่คนในครอบครัวเธอ!

        เหลียนฟางโจวกัดริมฝีปาก แล้วหันหลังกลับ พลางพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด

       “ข้าจะไปถามเขาเอง!” ป้าหลิวทั้งโกรธทั้งอับอายที่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้ หลังจากหลุดประโยคเช่นนั้นออกมา ครั้นแล้วก็กระทืบเท้าเดินตรงไปหาอาเจี่ยน

       อาเจี่ยนกำลังขนเมล็ดฝ้ายขึ้นรถพร้อมกับบ่าวไพร่ สามคน ชายหนุ่มแปลกใจเล็กน้อยที่พบว่าป้าหลิวมาหา

       เหลียนฟางโจวรีบหันหน้าไปอีกทาง ขณะที่สายตาเหลือบมองไปที่นั่น ไม่รู้ว่าป้าหลิวที่ทำหน้ายิ้มแป้นคุยอะไรกับอาเจี่ยน และสองคนนั้นดันไปยืนคุยแอบ ๆอยู่ด้านข้างด้วย

  เหลียนฟางโจวรู้สึกลมหายใจมีแต่ติดขัด หญิงสาวกัดฟันคำรามฮึดฮัด ครั้นแล้วจึงหันหลังให้พวกเขา แล้วไปกำกับคนงานให้ขนของใส่รถ ทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น

       หลังจากนั้นสักพัก ป้าหลิวก็จากไปอย่างหัวเสีย ทว่าอาเจี่ยนยังคงไปขนกระสอบเมล็ดฝ้ายต่อ

       อย่างไรก็ตาม สายตาของชายหนุ่มเมียงมองมาที่เหลียนฟางโจวสองสามหน  ด้วยสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

  เมื่อรู้ว่าเขากำลังมา เหลียนฟางโจวอยากเห็นสีหน้าเขา ทว่าใจรู้สึกกระอักกระอ่วนนิด ๆ ดังนั้นเธอจึงแสร้งทำเป็นผ่อนคลายสบายๆ เป็นธรรมชาติ  และเอียงคอน้อย ๆ พลางคอยเหลือบมองผ่านหางตา

       เมื่อมองอย่างเป็นกลาง ชั่วขณะที่สายตาอาเจี่ยนมองมาเวลานี้ หนุ่มสาวทั้งสองเกิดประสานสายตากันพอดี เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกเหมือนแอบทำเรื่องไม่ดีลับหลังแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา หัวใจหญิงสาวเต้นกระตุกทันใด ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเก้อเขิน

       เธอขัดเขินมากเสียจนไม่รู้ว่าจะแสร้งทำเป็นบังเอิญหรืออะไรเทือกนั้นได้อีกหรือไม่ ส่วนอาเจี่ยนส่งยิ้มมาให้หญิงสาวเป็นทัพหน้า

รอยยิ้มนี้ทำให้เหลียนฟางโจวทั้งเขินอายและโมโห

พอหญิงสาวอ้าปากกำลังจะพูด อาเจี่ยนก็สาวเท้าเข้ามาหาสองสามก้าว แล้วกระซิบใส่เธอ “เอ้อ ป้าหลิวเล่าเรื่องหลานสาวนาง  ข้าปฏิเสธไปแล้ว”

       เหลียนฟางโจวทำตาโต จ้องอาเจี่ยนเขม็ง

       เขาพูดเรื่องนี้กับเธอโดยไม่มีหัวไม่มีหาง โดยไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบาย นี่มันอันใด!

        เสียง “ตึ้ง” ดังขึ้นหนึ่งที ใบหน้าของหญิงสาวพลันร้อนผ่าวขึ้นทันใด ความร้อนแผ่ลามขึ้นเป็นริ้วๆ จนใบหน้าแทบไหม้

ยิ่งมาเผชิญกับดวงตาสีนิลล้ำลึกสุดหยั่งของเขาแล้ว เหลียนฟางโจวยิ่งแตกตื่นเข้าไปใหญ่

หญิงสาวรีบหรุบตา รู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปนิดหนึ่ง พลางเอ่ยละล่ำละลัก “ท่าน ท่านมาบอกข้า มาบอกทำไมกัน!”

        เธอเกิดร้อนตัวขึ้นมา จึงหลุดปากไปว่า มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?

  อาเจี่ยนอึ้งไปชั่วขณะ ใช่ เขาบอกนางเรื่องนี้ทำไม? เกี่ยวอันใดกับนางรึ? แต่เขาก็โพล่งออกไปแล้วโดยไม่คิดให้ดีก่อน

  ชายหนุ่มพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่หน่อย ๆ เขาเผยรอยยิ้มหยันและมีทีท่าลังเล “เอ้อ เป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไร ข้าก็อาศัยอยู่บ้านเจ้า ซึ่ง...”

       “อะไรนะ!” เหลียนเจ๋อได้ยินคำพูดเข้า แทบจะกระโจนมาจากอีกด้านหนึ่ง  พลางพูดเสียงดัง “ป้าหลิวมาทาบทามพี่เจี่ยนเรื่องแต่งงาน! แล้วงานที่นี่จะทำอย่างไรเล่า!”

       เหลียนเจ๋อตะโกนเสียงดัง พาให้บ่าวสามคนตกใจจนสะดุ้งโหยง อดมองมาทางเด็กหนุ่มไม่ได้

       เหลียนฟางโจวรู้สึกโมโหและรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ เธอจ้องหน้าเหลียนเจ๋อและว่ากล่าว “อาเจ๋อ หุบปากเลย! เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรอย่างนี้!”

       เหลียนเจ๋อก็พลันรู้สึกตัวว่าสิ่งที่เขาพูดดูเหมือนไม่มีเหตุผล น้ำเสียงจึงค่อยเบาลง พลางพึมพำ “แบบนี้ไม่ดีแน่! พี่เจี่ยนออกจะเป็นถึงวีรบุรุษขนาดนี้ เขาจะแต่งกับผู้หญิงง่าย ๆได้อย่างไรกัน?”

  เขาพร่ำบ่น แล้วหันไปพูดกับบ่าวทั้งสาม “พวกเจ้าว่าไหม?”

**

[1]หมายถึงเมื่อเจอโอกาสดีก็ให้คว้าไว้เลย เพราะโอกาสข้างหน้าอาจไม่มี

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น