วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 264 ซี่เชวี่ยมาอีกแล้ว

        บ่าวทั้งสามต่างอึ้งงัน หนึ่งในพวกเขารีบพยักหน้าอย่างไว “ใช่แล้ว ใช่แล้วขอรับ! แน่นอน ระดับภรรยานายท่านเจี่ยนต้องไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดาสามัญอยู่แล้ว!”มิหนำซ้ำอีกสองคนพอเห็นดังนั้น ก็รีบพยักหน้าเออออบอกว่าใช่เหมือนกันทันที

       เหลียนฟางโจวโกรธมากจนใบหน้าขึ้นสีแดงสลับขาว หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอาย จึงดุใส่ “เหลียนเจ๋อ!”เขาอายุตั้งเท่าไรแล้ว และหมายความว่ายังไงที่ว่า “ซี้ซั้วแต่งกับผู้หญิง?”

     “ข้าไม่ได้ว่ามันไม่ดีเสียหน่อย!”เหลียนเจ๋อหดหัว รีบไปยืนอยู่ข้างอาเจี่ยน พลางดึงแขนเสื้อชายหนุ่มเพื่อหาตัวช่วย ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่เจี่ยน อย่าโกรธข้าเลยนะ ที่ข้าพูดล้วนเป็นเรื่องจริง สาว ๆในหมู่บ้านมีค่าคู่ควรกับท่านรึ! พวกแม่สื่อน่ะขี้โม้จะตาย ยิ่งบอกว่าดี ก็ยิ่งมดเท็จ พี่เจี่ยนอย่าได้หลงกลเชียวนา!”

        อาเจี่ยนเหลือบตามองเหลียนฟางโจวโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงเอ่ยกับเหลียนเจ๋อด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก เดิมทีข้าเองก็ไม่มีความคิดเรื่องหาภรรยาอยู่แล้ว”

       “นั่นและใช่เลย ถูกแล้ว!” ท่านมามองคนธรรมดาไม่ได้หรอก!”เหลียนเจ๋อโล่งใจโดยพลัน แล้วยิ้มด้วยใบหน้าประจบประแจง

  เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินวาจานี้ ในคราแรกก็รู้สึกคลายใจ ภายหลังให้รู้สึกเสียใจ เขาบอกมาแล้วว่าไม่มีความคิดหาภรรยามาตั้งแต่แรก..

    “พอแล้ว อาเจ๋อ เจ้าเลิกพูดเถิด รีบไปทำงานได้แล้ว!”เหลียนฟางโจวหงดุหงิดใส่น้องชาย พยายามทำเป็นมองข้ามคำพูดของอาเจี่ยน ซึ่งนำพาความอึดอัดคับข้องใจมาให้ตนเอง

  “พี่เจี่ยน! ท่าน ท่านพูดอย่างนั้นได้อย่างไร?ท่านไม่ใช่หนุ่มน้อยแล้วนะ ควรใคร่ครวญเรื่องนี้ได้แล้ว!”ด้วยน้ำเสียงน่ารักมีเสน่ห์แสนเย้ายวนที่ดังขึ้นมา เหลียนฟางโจว เหลียนเจ๋อและอาเจี่ยนรู้สึกถึงความเหม็นเบื่อขึ้นมาทันใด

  ไม่ต้องหันกลับไปมอง ทั้งสามคนก็รู้ว่าแม่เทพธิดาซี่เซวี่ยมาอีกแล้ว!

        เหลียนฟางโจวนิ่วหน้าด้วยความหมั่นไส้ วันนี้ท้องฟ้าไม่แจ่มใส แสงอาทิตย์ไม่เจิดจ้าใช่หรือไม่? ไฉนพวกภูติผีปีศาจถึงได้ดาหน้าแวะเวียนเข้ามาไม่เลิกเสียที?

  ฝ่ายอาเจี่ยนจะไม่รีบกระโดดขึ้นรถเกวียนได้รึ ชายหนุ่มยกแส้ฟาดแล้วขับรถเกวียนเทียมลาออกไปอย่างไว

       “พี่เจียน! ท่านจะไปไหน! นี่ข้าเองนะ ซี่เชวี่ยไง! ข้าเพิ่งมาหาท่านนะ!”พอเห็นแบบนี้ ซี่เชวี่ยรีบปราดออกไปทันที

       “แม่นางซี่เชวี่ย!”เหลียนฟางโจวรั้งด้านหลังอีกฝ่ายไว้ ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า รอยยิ้มนั้นสุภาพและห่างเหิน “เจ้ามาด้วยเรื่องอันใดรึ?”

  คงไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกนะ!

       ซี่เชวี่ยตวัดสายตาใส่ แล้วหันกลับไปจับจ้องอาเจี่ยนซึ่งขับรถออกไปด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม แล้วรีบพูดขึ้น “ข้าไม่ได้มาหาเจ้า!”นางสะบัดมือ เพื่อให้หลุดจากเหลียนฟางโจว หมายไล่ตามอาเจี่ยน

       ไหนเลยเหลียนฟางโจวจะให้นางสมหวังเล่า? หญิงสาวคว้ามืออีกฝ่าย พลางหัวเราะ แล้วเอ่ยด้วยความฉงน “ที่แท้เจ้าไม่ได้มาหาข้าหรอกรึ? เจ้าไม่มาหาข้า แล้ววิ่งมาทำอะไรที่บ้านข้าเล่า? น่าประหลาดจริง!”

        พอสนทนากันแค่สองสามประโยค อาเจี่ยนก็ขับรถเกวียนไปไกลลิบเสียแล้ว

        เจ้า!”ซี่เชวี่ยหันกลับไปกราดเกรี้ยวใส่เหลียนฟางโจว “ข้ามานี่เพื่อพบพี่เจี่ยน!”

  เหลียนฟางโจวสะกดกลั้นไฟโทสะที่ไม่มีที่มาไว้ในโพรงอก  วาจานี้ของซี่เชวี่ยคือคำตอบของภาพที่เห็น นางอดทำหน้าเย็นชาไม่ได้ “อาเจี่ยนไม่มี น้องสาวเช่นเจ้า เลิกเรียกอาเจี่ยนว่าพี่เจี่ยนอีก เขาไม่ได้สนิทกับเจ้า!”

        ซี่เชวี่ยเชิดหน้าและแค่นเสียงเบา ๆ “ฮึ่มโดยไม่นำพากับสีหน้าของเหลียนฟางโจว ตรงกันข้ามกลับเอ่ยอย่างดูแคลน “พี่เจี่ยนไม่เคยพูดว่าไม่สนิทกับข้าเลย แล้วไยเจ้าต้องมาพูดแทนเขาด้วยเล่า! พี่เจี่ยนไม่เคยพูดว่าห้ามข้าเรียกเขาเช่นนี้  แล้วเจ้าเดือดร้อนอะไรด้วย!

  โทสะเหลียนฟางโจวยิ่งพุ่งทะยานสูงขึ้น เธอโกรธเสียจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ!

        คนที่มีความรู้สึกหลงตัวเอง หลงว่าตัวเองดีพอ แบบนี้เขาเรียกว่าไร้ยางอาย เป็นครั้งแรกที่เหลียนฟางโจวได้เห็น

       พอเห็นว่าอีกฝ่ายไร้คำพูด ซี่เชวี่ยจึงยิ่งภูมิใจในตัวเองเข้าไปใหญ่ จึงกระทำการหนักข้อขึ้นไปอีก นางแค่นเสียงใส่  “ข้าไม่รู้สึกอยากสนทนากับเจ้าแล้ว !  รอพี่เจี่ยนกับมาเมื่อไร ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา!”

เหลียนฟางโจวแค่นเสียงรอดไรฟัน “ในเมื่อเจ้าวิ่งแจ้นมาประจบเอาใจอาเจี่ยนเสียปานนี้ เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถิด! แค่นี้ข้าก็ยุ่งกับงานที่บ้านจะแย่อยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบข้า เช่นนั้นก็เชิญออกไปคอยที่ประตูโน่น! หวางเอ้อร์ หวางซาน หวางซื่อ เชิญตัวแม่นางซี่เชวี่ยออกไปเสีย!”

        “เจ้ากล้าขับข้ารึ!” ซี่เชวี่ยตวาดแว้ดใส่เหลียนฟางโจว

  “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดข้าหรือไร? พวกเรากำลังงานยุ่ง หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็เดินออกไปเสีย ไม่เช่นนั้น หากบังเอิญเจ้าเกิดโดนชนกระทบกระแทกขึ้นมา ก็อย่ามาพูดว่าพวกเรารังแกเจ้าก็แล้วกัน!”เหลียนฟางโจวเลิกคิ้วนิด ๆ เอ่ยขึ้น

       หวางเอ้อร์ หวางซาน และหวางซื่อวางของในมือลง และตรงเข้ามาหา คนทั้งสามโอบล้อมเข้ามาใกล้จนกระทั่งเกือบถึงตัวซี่เชวี่ย “แม่นางซี่เชวี่ย เชิญ!”

        ซี่เชวี่ยจับจ้องคนทั้งสามด้วยสายตารังเกียจ หัวคิ้วนางขมวดมุ่น แล้วแค่นเสียงใส่อย่างชิงชัง จากนั้นก็หันไปบ่นอุบอิบ “ในเมื่อข้าเป็นผู้ประเสริฐคนหนึ่ง ! แม่นางผู้นี้ไม่อยากลดตัวไปเสวนากับคนชั้นต่ำดั่งเช่นพวกเจ้าอยู่แล้ว!”

        “ที่อยู่ในกระสอบนี้ มันคืออันใดกัน? เอ๋ เป็นเมล็ดพืชชนิดไหนกัน!”จ้าวซานผู้ซึ่งขับรถพาซี่เชวี่ยมา ไม่รู้ว่าแอบย่องตามหลังมาตั้งเมื่อไร เขาเอามือตบและลูบกระสอบซึ่งถูกขนย้ายมาจากห้องใต้หลังคาที่บ้าน และตอนนี้กองอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน ครั้นแล้วก็ร้องขึ้นมาทันใด “อ๊า! ข้ารู้แล้ว! นี่ไม่ใช่เมล็ดฝ้ายหรอกรึ? แม่นางเหลียน ท่านเตรียมตัวปลูกฝ้ายแล้วรึนี่?”

        จ้าวซานพูดพลาง ก็ตบกระสอบแรง ๆ พลางเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะหึ ๆ เขาจ้องมองเหลียนฟางโจวด้วยท่าทางเหนื่อยหอบเล็กน้อย

       ยกเว้นหวางซาน ผู้ซึ่งซื้อเข้ามาเติมในภายหลัง หวางเอ้อร์และหวางซื่อตระหนักดีถึงความบาดหมางระหว่างจ้าวซานและคุณหนูของพวกเขา พอเห็นจ้าวซานหยาบคาย พวกเขาก็อดนิ่วหน้านิด ๆ ไม่ได้ และบังเกิดความชิงชังขึ้นมาในหัวใจ

       เหลียนฟางโจวเคยสั่งสอนจ้าวซานอย่างป่าเถื่อนไป 1 ยก และขายเขาออกไปทันที เมื่อทุก ๆ คนเกิดความหวาดกลัว ก็แอบวิจารณ์นางเงียบ ๆ และมักรู้สึกว่านายหญิงโหดเหี้ยมเกินไป

       แต่พอเห็นสีหน้าจ้าวซานในเวลานี้ พวกเขารู้สึกว่า ณ ตอนนั้นจริง ๆแล้วเหลียนฟางโจวสั่งสอนอีกฝ่ายด้วยบทเรียนที่น้อยนิดเกินไป

  “เมล็ดฝ้ายรึ?”ดวงตาซี่เชวี่ยเรืองวาบ และก่อนที่เหลียนฟางโจวจะทันหยุดนาง นางก็วิ่งไปเข้าไปตบและบีบกระสอบแล้ว ครั้นแล้วจึงเอ่ยแย้มยิ้ม “เป็นเมล็ดฝ้ายจริง ๆ เสียด้วย! นี่ ถึงเวลาหว่านเมล็ดฝ้ายแล้วรึ?”

  เดิมทีเหลียนฟางโจวอยากสั่งให้คนของตนหยุดพวกเขาไว้ ทว่า ณ เวลานี้นางเปลี่ยนใจแล้วและยืนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ขยับตัวไปไหน

       หญิงสาวจับจ้องซี่เชวี่ยและฝืนพูดเสียงเรียบนิ่ง “พวกเจ้าไม่มีสมองคิดด้วยตัวเองหรือไร?  ไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างรึว่ายามนี้มันฤดูอะไร!”

       หากเหลียนฟางโจวพูดด้วยน้ำเสียงแช่มชื่นเบิกบาน ซี่เชวี่ยอาจจะสงสัย ทว่าสีหน้าและน้ำเสียงของเหลียนฟางโจวชัดเจนว่า เป็นเพราะโดนนางพบเข้าโดยบังเอิญ  ก็เลยต้องพูดออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ดูท่าแล้วน่าจะพูดจริง ซี่เชวี่ยเชื่ออย่างไม่ติดใจสงสัย ในใจพลันรู้สึกตื่นเต้น แล้วพูดว่า “ก่อนอื่นต้องเอาเมล็ดไปเพาะในแปลงอนุบาลต้นกล้าก่อนใช่หรือไม่?”

        เหลียนฟางโจวแค่นเสียงอย่างอึดอัด โดยไม่ตอบคำถามอันใด หญิงสาวอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก “เชิญออกไปได้แล้ว พวกเรายังมีงานต้องทำอยู่!”

  เธอจับจ้องพวกเขาอย่างเย็นชา แล้วเลิกคิ้วพลางแค่นเสียงใส่ “อ้อ,,คนในจวนตระกูลจ้าวหน้าหนาปานนี้เชียวรึ? นี่มันตระกูลแบบใดกัน? สั่งสอนบ่าวไพรยังไง ถึงได้ไม่รู้จักธรรมเนียมมรรยาทแม้แต่นิดเดียวเช่นนี้!”

        เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน!”สีหน้าของซี่เชวี่ยและจ้าวซานเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง  ทั้งสองต่างบ่นพึมพำไปสองสามคำ แล้วเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ

       ทุก ๆอย่างที่มีผลกระทบถึงจวนตระกูลจ้าว ไม่ใช่สิ่งที่คนทั้งสองจะรับไหว หากชื่อเสียงของจวนตระกูลจ้าวเสียหายเพราะพวกเขาขึ้นมา นายหญิงจ้าวหรูจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไว้แน่

       เมื่อเเดินไปที่ประตู ซี่เชวี่ยอดหันไปมองเหลียนฟางโจวด้วยความชิงชังไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่ของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

1 ความคิดเห็น: