บ่าวทั้งสามต่างอึ้งงัน หนึ่งในพวกเขารีบพยักหน้าอย่างไว “ใช่แล้ว ใช่แล้วขอรับ! แน่นอน ระดับภรรยานายท่านเจี่ยนต้องไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดาสามัญอยู่แล้ว!”มิหนำซ้ำอีกสองคนพอเห็นดังนั้น ก็รีบพยักหน้าเออออบอกว่าใช่เหมือนกันทันที
เหลียนฟางโจวโกรธมากจนใบหน้าขึ้นสีแดงสลับขาว
หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอาย จึงดุใส่ “เหลียนเจ๋อ!”เขาอายุตั้งเท่าไรแล้ว และหมายความว่ายังไงที่ว่า
“ซี้ซั้วแต่งกับผู้หญิง?”
“ข้าไม่ได้ว่ามันไม่ดีเสียหน่อย!”เหลียนเจ๋อหดหัว รีบไปยืนอยู่ข้างอาเจี่ยน
พลางดึงแขนเสื้อชายหนุ่มเพื่อหาตัวช่วย ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่เจี่ยน
อย่าโกรธข้าเลยนะ ที่ข้าพูดล้วนเป็นเรื่องจริง สาว ๆในหมู่บ้านมีค่าคู่ควรกับท่านรึ! พวกแม่สื่อน่ะขี้โม้จะตาย
ยิ่งบอกว่าดี ก็ยิ่งมดเท็จ พี่เจี่ยนอย่าได้หลงกลเชียวนา!”
อาเจี่ยนเหลือบตามองเหลียนฟางโจวโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงเอ่ยกับเหลียนเจ๋อด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก เดิมทีข้าเองก็ไม่มีความคิดเรื่องหาภรรยาอยู่แล้ว”
“นั่นและใช่เลย ถูกแล้ว!” ท่านมามองคนธรรมดาไม่ได้หรอก!”เหลียนเจ๋อโล่งใจโดยพลัน แล้วยิ้มด้วยใบหน้าประจบประแจง
เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินวาจานี้ ในคราแรกก็รู้สึกคลายใจ
ภายหลังให้รู้สึกเสียใจ เขาบอกมาแล้วว่าไม่มีความคิดหาภรรยามาตั้งแต่แรก..
“พอแล้ว
อาเจ๋อ เจ้าเลิกพูดเถิด รีบไปทำงานได้แล้ว!”เหลียนฟางโจวหงดุหงิดใส่น้องชาย
พยายามทำเป็นมองข้ามคำพูดของอาเจี่ยน ซึ่งนำพาความอึดอัดคับข้องใจมาให้ตนเอง
“พี่เจี่ยน! ท่าน ท่านพูดอย่างนั้นได้อย่างไร?ท่านไม่ใช่หนุ่มน้อยแล้วนะ ควรใคร่ครวญเรื่องนี้ได้แล้ว!”ด้วยน้ำเสียงน่ารักมีเสน่ห์แสนเย้ายวนที่ดังขึ้นมา
เหลียนฟางโจว เหลียนเจ๋อและอาเจี่ยนรู้สึกถึงความเหม็นเบื่อขึ้นมาทันใด
ไม่ต้องหันกลับไปมอง ทั้งสามคนก็รู้ว่าแม่เทพธิดาซี่เซวี่ยมาอีกแล้ว!
เหลียนฟางโจวนิ่วหน้าด้วยความหมั่นไส้ วันนี้ท้องฟ้าไม่แจ่มใส แสงอาทิตย์ไม่เจิดจ้าใช่หรือไม่? ไฉนพวกภูติผีปีศาจถึงได้ดาหน้าแวะเวียนเข้ามาไม่เลิกเสียที?
ฝ่ายอาเจี่ยนจะไม่รีบกระโดดขึ้นรถเกวียนได้รึ
ชายหนุ่มยกแส้ฟาดแล้วขับรถเกวียนเทียมลาออกไปอย่างไว
“พี่เจียน! ท่านจะไปไหน! นี่ข้าเองนะ ซี่เชวี่ยไง! ข้าเพิ่งมาหาท่านนะ!”พอเห็นแบบนี้ ซี่เชวี่ยรีบปราดออกไปทันที
“แม่นางซี่เชวี่ย!”เหลียนฟางโจวรั้งด้านหลังอีกฝ่ายไว้
ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า รอยยิ้มนั้นสุภาพและห่างเหิน “เจ้ามาด้วยเรื่องอันใดรึ?”
คงไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกนะ!
ซี่เชวี่ยตวัดสายตาใส่
แล้วหันกลับไปจับจ้องอาเจี่ยนซึ่งขับรถออกไปด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม แล้วรีบพูดขึ้น
“ข้าไม่ได้มาหาเจ้า!”นางสะบัดมือ เพื่อให้หลุดจากเหลียนฟางโจว
หมายไล่ตามอาเจี่ยน
ไหนเลยเหลียนฟางโจวจะให้นางสมหวังเล่า? หญิงสาวคว้ามืออีกฝ่าย
พลางหัวเราะ แล้วเอ่ยด้วยความฉงน “ที่แท้เจ้าไม่ได้มาหาข้าหรอกรึ? เจ้าไม่มาหาข้า แล้ววิ่งมาทำอะไรที่บ้านข้าเล่า? น่าประหลาดจริง!”
พอสนทนากันแค่สองสามประโยค อาเจี่ยนก็ขับรถเกวียนไปไกลลิบเสียแล้ว
“เจ้า!”ซี่เชวี่ยหันกลับไปกราดเกรี้ยวใส่เหลียนฟางโจว
“ข้ามานี่เพื่อพบพี่เจี่ยน!”
เหลียนฟางโจวสะกดกลั้นไฟโทสะที่ไม่มีที่มาไว้ในโพรงอก
วาจานี้ของซี่เชวี่ยคือคำตอบของภาพที่เห็น
นางอดทำหน้าเย็นชาไม่ได้ “อาเจี่ยนไม่มี น้องสาวเช่นเจ้า เลิกเรียกอาเจี่ยนว่าพี่เจี่ยนอีก
เขาไม่ได้สนิทกับเจ้า!”
ซี่เชวี่ยเชิดหน้าและแค่นเสียงเบา ๆ “ฮึ่ม”โดยไม่นำพากับสีหน้าของเหลียนฟางโจว
ตรงกันข้ามกลับเอ่ยอย่างดูแคลน “พี่เจี่ยนไม่เคยพูดว่าไม่สนิทกับข้าเลย
แล้วไยเจ้าต้องมาพูดแทนเขาด้วยเล่า!
พี่เจี่ยนไม่เคยพูดว่าห้ามข้าเรียกเขาเช่นนี้ แล้วเจ้าเดือดร้อนอะไรด้วย!”
โทสะเหลียนฟางโจวยิ่งพุ่งทะยานสูงขึ้น
เธอโกรธเสียจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ!
คนที่มีความรู้สึกหลงตัวเอง หลงว่าตัวเองดีพอ แบบนี้เขาเรียกว่าไร้ยางอาย
เป็นครั้งแรกที่เหลียนฟางโจวได้เห็น
พอเห็นว่าอีกฝ่ายไร้คำพูด
ซี่เชวี่ยจึงยิ่งภูมิใจในตัวเองเข้าไปใหญ่ จึงกระทำการหนักข้อขึ้นไปอีก นางแค่นเสียงใส่
“ข้าไม่รู้สึกอยากสนทนากับเจ้าแล้ว ! รอพี่เจี่ยนกับมาเมื่อไร ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา!”
เหลียนฟางโจวแค่นเสียงรอดไรฟัน “ในเมื่อเจ้าวิ่งแจ้นมาประจบเอาใจอาเจี่ยนเสียปานนี้
เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถิด!
แค่นี้ข้าก็ยุ่งกับงานที่บ้านจะแย่อยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบข้า
เช่นนั้นก็เชิญออกไปคอยที่ประตูโน่น! หวางเอ้อร์
หวางซาน หวางซื่อ เชิญตัวแม่นางซี่เชวี่ยออกไปเสีย!”
“เจ้ากล้าขับข้ารึ!” ซี่เชวี่ยตวาดแว้ดใส่เหลียนฟางโจว
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดข้าหรือไร? พวกเรากำลังงานยุ่ง
หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็เดินออกไปเสีย ไม่เช่นนั้น หากบังเอิญเจ้าเกิดโดนชนกระทบกระแทกขึ้นมา
ก็อย่ามาพูดว่าพวกเรารังแกเจ้าก็แล้วกัน!”เหลียนฟางโจวเลิกคิ้วนิด
ๆ เอ่ยขึ้น
หวางเอ้อร์ หวางซาน
และหวางซื่อวางของในมือลง และตรงเข้ามาหา
คนทั้งสามโอบล้อมเข้ามาใกล้จนกระทั่งเกือบถึงตัวซี่เชวี่ย “แม่นางซี่เชวี่ย เชิญ!”
ซี่เชวี่ยจับจ้องคนทั้งสามด้วยสายตารังเกียจ หัวคิ้วนางขมวดมุ่น แล้วแค่นเสียงใส่อย่างชิงชัง
จากนั้นก็หันไปบ่นอุบอิบ “ในเมื่อข้าเป็นผู้ประเสริฐคนหนึ่ง ! แม่นางผู้นี้ไม่อยากลดตัวไปเสวนากับคนชั้นต่ำดั่งเช่นพวกเจ้าอยู่แล้ว!”
“ที่อยู่ในกระสอบนี้ มันคืออันใดกัน? เอ๋ เป็นเมล็ดพืชชนิดไหนกัน!”จ้าวซานผู้ซึ่งขับรถพาซี่เชวี่ยมา
ไม่รู้ว่าแอบย่องตามหลังมาตั้งเมื่อไร เขาเอามือตบและลูบกระสอบซึ่งถูกขนย้ายมาจากห้องใต้หลังคาที่บ้าน
และตอนนี้กองอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน ครั้นแล้วก็ร้องขึ้นมาทันใด “อ๊า! ข้ารู้แล้ว! นี่ไม่ใช่เมล็ดฝ้ายหรอกรึ? แม่นางเหลียน ท่านเตรียมตัวปลูกฝ้ายแล้วรึนี่?”
จ้าวซานพูดพลาง ก็ตบกระสอบแรง ๆ พลางเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะหึ ๆ เขาจ้องมองเหลียนฟางโจวด้วยท่าทางเหนื่อยหอบเล็กน้อย
ยกเว้นหวางซาน ผู้ซึ่งซื้อเข้ามาเติมในภายหลัง
หวางเอ้อร์และหวางซื่อตระหนักดีถึงความบาดหมางระหว่างจ้าวซานและคุณหนูของพวกเขา
พอเห็นจ้าวซานหยาบคาย พวกเขาก็อดนิ่วหน้านิด ๆ ไม่ได้ และบังเกิดความชิงชังขึ้นมาในหัวใจ
เหลียนฟางโจวเคยสั่งสอนจ้าวซานอย่างป่าเถื่อนไป
1 ยก และขายเขาออกไปทันที เมื่อทุก ๆ คนเกิดความหวาดกลัว ก็แอบวิจารณ์นางเงียบ ๆ
และมักรู้สึกว่านายหญิงโหดเหี้ยมเกินไป
แต่พอเห็นสีหน้าจ้าวซานในเวลานี้ พวกเขารู้สึกว่า
ณ ตอนนั้นจริง ๆแล้วเหลียนฟางโจวสั่งสอนอีกฝ่ายด้วยบทเรียนที่น้อยนิดเกินไป
“เมล็ดฝ้ายรึ?”ดวงตาซี่เชวี่ยเรืองวาบ
และก่อนที่เหลียนฟางโจวจะทันหยุดนาง นางก็วิ่งไปเข้าไปตบและบีบกระสอบแล้ว
ครั้นแล้วจึงเอ่ยแย้มยิ้ม “เป็นเมล็ดฝ้ายจริง ๆ เสียด้วย! นี่ ถึงเวลาหว่านเมล็ดฝ้ายแล้วรึ?”
เดิมทีเหลียนฟางโจวอยากสั่งให้คนของตนหยุดพวกเขาไว้
ทว่า ณ เวลานี้นางเปลี่ยนใจแล้วและยืนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ขยับตัวไปไหน
หญิงสาวจับจ้องซี่เชวี่ยและฝืนพูดเสียงเรียบนิ่ง
“พวกเจ้าไม่มีสมองคิดด้วยตัวเองหรือไร? ไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างรึว่ายามนี้มันฤดูอะไร!”
หากเหลียนฟางโจวพูดด้วยน้ำเสียงแช่มชื่นเบิกบาน
ซี่เชวี่ยอาจจะสงสัย ทว่าสีหน้าและน้ำเสียงของเหลียนฟางโจวชัดเจนว่า
เป็นเพราะโดนนางพบเข้าโดยบังเอิญ
ก็เลยต้องพูดออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ดูท่าแล้วน่าจะพูดจริง ซี่เชวี่ยเชื่ออย่างไม่ติดใจสงสัย
ในใจพลันรู้สึกตื่นเต้น แล้วพูดว่า “ก่อนอื่นต้องเอาเมล็ดไปเพาะในแปลงอนุบาลต้นกล้าก่อนใช่หรือไม่?”
เหลียนฟางโจวแค่นเสียงอย่างอึดอัด โดยไม่ตอบคำถามอันใด หญิงสาวอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“เชิญออกไปได้แล้ว พวกเรายังมีงานต้องทำอยู่!”
เธอจับจ้องพวกเขาอย่างเย็นชา แล้วเลิกคิ้วพลางแค่นเสียงใส่
“อ้อ,,คนในจวนตระกูลจ้าวหน้าหนาปานนี้เชียวรึ? นี่มันตระกูลแบบใดกัน? สั่งสอนบ่าวไพรยังไง ถึงได้ไม่รู้จักธรรมเนียมมรรยาทแม้แต่นิดเดียวเช่นนี้!”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน!”สีหน้าของซี่เชวี่ยและจ้าวซานเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง
ทั้งสองต่างบ่นพึมพำไปสองสามคำ
แล้วเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ
ทุก ๆอย่างที่มีผลกระทบถึงจวนตระกูลจ้าว ไม่ใช่สิ่งที่คนทั้งสองจะรับไหว หากชื่อเสียงของจวนตระกูลจ้าวเสียหายเพราะพวกเขาขึ้นมา
นายหญิงจ้าวหรูจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไว้แน่
เมื่อเเดินไปที่ประตู ซี่เชวี่ยอดหันไปมองเหลียนฟางโจวด้วยความชิงชังไม่ได้
ดวงตาทั้งคู่ของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เบื่อตระกูลนี้จริงๆ
ตอบลบ