เหลียนฟางโจวก็แค่เด็กสาวชนบทที่ไร้ประสบการณ์ เหตุใดนางไม่รู้จักวิธีประจบเอาใจตน เมื่อนางเห็นตน ซึ่งเป็นถึงมือขวาคนสนิทข้างกายคุณหนูจวนตระกูลจ้าว? นางไม่สนใจจะประจบเอาใจตนเอง และไม่กลัวตนเองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นก็เลยใช้วาจาเล่นงานตนทุกรอบ!
ตัวนางเป็นคนสนิทของคุณหนู อีกฝ่ายไม่รู้เลยหรือไร? เพียงแค่คุณหนูกระดิกนิ้ว
เหลียนฟางโจวก็ประสบความลำบากในเมืองยู่เหอแล้ว! ไม่รู้จริง ๆเลยว่านางไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน!
พอเห็นซี่เชวี่ยมีสีหน้าขุ่นเคือง จ้าวซานจึงชะโงกหน้ามาหัวเราะ
และพูดกระซิบว่า “แม่นางซี่เชวี่ย อย่าได้ลดตัวลงไปเทียบกับหญิงบ้านนอกหยาบคายผู้นั้นเลยขอรับ ภายภาคหน้าจะต้องมีวันที่นางน้ำตาตกแน่! เราจะกลับจวนกันก่อนไหมขอรับ?”
กลับจวนเพื่อรายงานคุณหนู ว่าเมล็ดฝ้ายพร้อมปลูกลงดินแล้ว
คุณหนูบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องขยายการปลูกฝ้าย
แค่เท่าที่มีอยู่ในห้องเก็บเมล็ดพันธุ์ ก็เพียงพอแล้ว ทว่านางกลับถูกสั่งให้ซื้อเมล็ดมาเพิ่มอย่างลับ
ๆ ด้วย จนยามนี้เมล็ดฝ้ายในจวนรวมแล้วมีทั้งหมด 1,600-1,700 ชั่งเข้าไปแล้ว!
ดูคล้ายคุณหนูกำลังดิ้นรนแข่งขันกับแม่นางเหลียนฟางโจวผู้นี้
ดูท่าตัวนางคงไม่อาจทำลายแผนการใหญ่ของคุณหนูได้
หากนางรู้ว่าตนเองได้รับข่าวใหม่มา
แล้วยังโอ้เอ้ไม่กลับจวนเสียที จะเกิดอะไรขึ้น พอคิดได้แล้วซี่เชวี่ยพลันรีบกลับจวนไปรายงานเจ้านายอย่างไว
ส่วนเรื่องพี่เจี่ยน คราวหน้าค่อยแวะมาหาก็แล้วกัน!
“ไปเถอะ! กลับกันเลย!”ซี่เชวี่ยบดกรามแน่น นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าและก้าวขึ้นรถม้าไปด้วยความไม่เต็มใจ
เมื่ออาเจี่ยนและเหลียนเจ๋อกลับมาพร้อมรถเกวียนที่ว่างโล่ง
พวกเขาเห็นซี่เชวี่ยและจ้าวซานจากไปแล้ว จึงอดพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้
เหลียนเจ๋อเอ่ยขึ้น “สาวใช้รุ่นใหญ่จากจวนตระกูลจ้าวล้วนเป็นแบบนี้จริง
ๆรึ? ไฉนถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้! คุณหนูจ้าวไม่สนใจดูแลอบรมนางเลย
ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอยู่ นางไม่กลัวตระกูลจะเสียหน้าหรือไร!”
เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนสบตากันแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ไยคุณหนูจ้าวจะไม่สนเล่า? พวกเขาย่อมรู้ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการปลูกฝ้าย!
นางเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง
ไม่ใช่เจ้านายผู้มีเกียรติของตระกูลจ้าว ต่อให้นางทำเรื่องไร้ยางอายข้างนอก
คุณหนูจ้าวเพียงใช้สถานะอันสูงส่งผสานกับท่าทีอันลำบากใจและมีเมตตา มาจัดการสาวใช้
แค่นั้นทุก ๆคนก็จะเอาแต่ยกย่องสรรเสริญตระกูลจ้าวของนางที่มีความเข้มงวดกวดขัน
และมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ดี ส่วนการถูกดูแคลนก็จะเอามาลงที่ซี่เชวี่ย
เด็กสาวที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ดังนั้นนางจะทำให้หน้าตาของตระกูลจ้าวเสียได้อย่างไร?
อาเจี่ยนอดรนทนไม่ไหว เดินมายืนข้างเหลียนฟางโจว
พลางถามเสียงต่ำ “ส่งนางกลับไปง่ายปานนั้นเชียวรึ?”
นี่รึที่อยากพูด! เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกเหนื่อยหน่ายในใจ
หญิงสาวเอียงคอมองอาเจี่ยนด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านผิดหวังมากรึ? พี่เจี่ยน?”
พอได้ยินคำว่า “พี่เจี่ยน” อาเจี่ยนอดสะดุ้งขนลุกไม่ได้ ชายหนุ่มรีบเอ่ย “ทำไมล่ะ! ข้า ข้าก็แค่สงสัยว่าทำไมคราวนี้ถึงไล่กลับไปได้ง่าย
ๆ....
ซี่เชวี่ยเรียก “พี่เจี่ยน”
เขารู้สึกรังเกียจ เหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อเรียก”พี่เจี่ยน” เขารู้สึกฟังรื่นหู แต่พอเมื่อครู่นี้เหลียนฟางโจวเรียกตนเช่นนี้
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พริบตานั้น คล้ายหัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ รู้สึกแตกตื่นอยู่หน่อย
ๆ
เพราะฉะนั้น ชายหนุ่มจึงพยายามทำหน้าตาให้ดูจริงจังสุดชีวิต
หวังปกปิดความไม่สบายใจที่ผุดขึ้นมาแจ่มชัด
พอเห็นท่าทางอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ เหลียนฟางโจวรู้สึกว่านางไม่ควรโต้ตอบเขาแบบนั้น
ดังนั้นจึงรีบปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้น แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยตลอดอีกครั้ง
อาเจี่ยนพลันเข้าใจในทันใด ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเอ่ย
“เช่นนี้นี่เอง นี่คงจะกลับไปรายงานละสินะ!”
“เรื่องนี้เป็นความลับที่บอกใครไม่ได้” เหลียนฟางโจวยิ้มบาง “มีบางเรื่องที่ข้าไม่อยากให้พวกเขาสอบถาม ถูกแล้ว! อย่างที่ท่านพูดมา หรือว่า เราจะล้อมรั้วลวดหนามรอบไร่ฝ้ายทั้งหมดไปเลยดีหรือไม่?”
“อะไรนะ?”อาเจี่ยนชะงักไป แล้วเอ่ยอย่างอึ้งๆ
“นี่มัน ไม่ดีกระมัง?เราส่งคนไปตรวจตราสอดส่องเอาก็ได้! ฝ้ายนี่ทางเจ้าหน้าที่มีคำสั่งให้ส่งเสริมการปลูก
ใครที่อาจหาญมาทำลาย จะต้องได้รับโทษทางอาชญาหากถูกจับได้นะ!”
เหลียนฟางโจวรู้ถึงความสำคัญของฝ้ายพวกนี้
เป็นเพราะนางใส่ใจพวกมันอย่างที่สุด ดังนั้นจึงเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่า
ผู้อื่นก็ให้ความสำคัญกับพวกมันมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงได้พูดออกมาเช่นนี้
พอเห็นปฏิกิริยาของอาเจี่ยน
นางจึงอดยิ้มไม่ได้
อย่างที่ว่าไว้ ครอบครัวที่ปลูกฝ้ายมีนับไม่ถ้วน แต่จำนวนฝ้ายที่แต่ละครอบครัวปลูก
มีไม่มากเท่าครอบครัวของเธอ
ในสายตาเธอฝ้ายมีค่าราคาแพง
แต่ในสายตาผู้อื่นมันคือวัชพืชซึ่งเข้ามารุกล้ำเรือกสวนไร่นา! หากใครอยากเข้ามาทำลายจริง ๆ ผู้ไม่หวังดีที่กล้าเข้ามา คงได้เจอรอยตบบนใบหน้าเป็นแน่
“ข้ากังวลเกินเหตุเสียแล้ว!” เหลียนฟางโจวยิ้ม แล้วก็พักเรื่องนี้ไว้
เมื่อซี่เชวี่ยและจ้าวซานกลับถึงจวนสกุลจ้าว
ซี่เชวี่ยรีบรุดไปพบนายหญิงจ้าวหรูเพื่อรายงานเรื่องที่เจอมา
หลังจากได้ฟังเรื่องนี้
นายหญิงจ้าวหรูไม่มีปฏิกิริยาอย่างซี่เชวี่ยนึกวาดภาพไว้ นางเพียงยิ้มบาง ๆ และพยักเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นั่นก็จริงนะ วสันต์ฤดูเราไถหว่าน
สารทฤดูเราเก็บเกี่ยว นี่ไม่ใช่เวลาเพาะพันธุ์เมล็ดและหว่านเมล็ดหรอกรึ? บอกให้ทุกคนเดินหน้าต่อ ตระกูลเราควรเตรียมตัวบ้างแล้ว!”
“เอ๋? ใช่แล้ว คุณหนู...” ไม่ต้องพูดเลยว่า
ซี่เชวี่ยดูผิดหวังมากเพียงไร เพราะนางนึกว่าตนเองจะได้รับคำชมเชยจากนายหญิง
นายหญิงจ้าวหรูตวัดสายตามองสาวใช้
และเอ่ยเสียงเอื่อย ๆไม่รีบร้อน “ครั้งนี้เจ้าทำงานได้ดี หากภายหน้าได้ยินอะไรมาอีก
ให้จดจำแล้วกลับมาบอกข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้! เจ้าไปสอบถามมาให้ชัด ว่าการปลูกฝ้าย
เทียบกับพืชไร่ชนิดอื่นมีความแตกต่างอะไรบ้าง?”
ซี่เชวี่ย ผู้ซึ่งพึ่งตกอยู่ในอารมณ์หดหู่ พลันจิตใจฮึกเหิมขึ้นทันใด
ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้านางซึงเผยเพียงครึ่งเดียว พลันแข็งค้าง จากนั้นก็หายไป
นางรีบค้อมหัวแล้วเอ่ยตอบ “เหลียนฟางโจมีเล่ห์เหลี่ยมมากเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะถามอย่างไร
ก็ตอบแต่ว่าไม่รู้ แต่คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะคอยจับตามองที่นั่นตลอดเวลา! ถึงท่านไม่ถาม บ่าวจะยังไม่จับตามองหรือเจ้าคะ? หากเห็นอะไรผิดปกติ บ่าวจะรีบมารายงานคุณหนูทันทีเลยเจ้าค่ะ!”
“ดี!”นายหญิงจ้าวหรูยิ้มพยักหน้า
“เจ้าไม่ใช่ชาวนาชาวไร่ ต่อให้จับตามอง อาจไม่เห็นอะไร ยิ่งไปกว่านั้น มันคงไม่สะดวกนัก
ที่เจ้าจะเอาเท้าที่สวมร้องเท้าปักสวย ๆ ก้าวเข้าไปมองดูในไร่นั่น
หากเจ้าสามารถหาคนที่ไว้ใจได้มาสอบถาม มันน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า?”
หาคนที่ไว้ใจได้เอาไว้สอบถามรึ? ซี่เชวี่ยชะงัก และเข้าใจในทันที
คุณหนู กำลังแนะนำให้นางซื้อคนของเหลียนฟางโจว
นายหญิงจ้าวหรูเห็นสีหน้าสาวใช้จึงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายของนางแล้ว
ครั้นแล้วจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ใช้เงินสิ เมื่อถึงเวลาก็ใช้เงิน ตราบใดที่มันคุ้มค่าควรจ่าย!”
หลังของซี่เชวี่ยตั้งตรง คล้ายพบวิธีจัดการแล้ว
นางรีบคุกเข่าค้อมห้วพลางหัวเราะเบา ๆ “คุณหนู อย่าได้กังวล! บ่าวรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร!”
นายหญิงจ้าวหรูแย้มยิ้ม พยักหน้า พลางโบกมือให้สาวใช้ไปได้
วันต่อมา เหลียนฟางโจวเริ่มต้นกระบวนการเพาะเมล็ดฝ้าย
เมล็ดฝ้ายทั้งหมดหนักแปดพันชั่ง จำเป็นต้องนำไปวางแผ่ตากแดดเป็นเวลาสามวัน
หลังจากแห้งแล้ว ก็เอาไปผ่านกระบวนการที่ว่าครั้งละหนึ่งพันชั่ง ซึ่งจะแบ่งไปผ่านกระบวนการได้
แปดรอบ
เมล็ดจะถูกแช่ในน้ำที่อุณหภูมิ
ห้าสิบถึงหกสิบองศา เป็นเวลาเจ็ดถึงแปดชั่วโมง เพื่อให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในเมล็ดเต็มที่
งานนี้ถูกทำในห้องปฏิบัติการเมล็ด ที่ซึ่งมีการก่อสร้างบ่อน้ำยาวด้วยอิฐสีน้ำเงินเรียบลื่น
ติดตั้งอยู่ใต้ผนังทั้งสี่ด้าน
หลังจากเมล็ดชุ่มน้ำดีแล้ว
เมล็ดจะถูกทำให้สะเด็ดน้ำและเทใส่ในกระสอบ หนึ่งกระสอบจะบรรจุเมล็ดเพียงครึ่งของกระสอบ
จากนั้นก็ขนไปห้องอื่นเพื่อเก็บไว้ ในห้องเหล่านั้น จะมีการจุดกระถางไฟใบใหญ่
สี่ถึงห้ากระถาง และใช้อุณหภูมิความร้อนของถ่านไฟเพื่อเร่งการงอกของเมล็ด
โดยปกติจะมีการกลับกระสอบครึ่งวันต่อหนึ่งครั้ง
เพื่อว่าเมล็ดทั้งหมดจะได้รับความอบอุ่นสม่ำเสมอเท่ากันทั้งหมด
เดิมที เมล็ดเหล่านี้ต้องมีการนำไปฆ่าเชื้อหนึ่งครั้ง
หลังจากผ่านการแช่และก่อนเกิดการงอกก่อน ทว่าในยุคนี้จะมีที่ไหนสามารถส่งเมล็ดไปฆ่าเชื้อได้เล่า? ดังนั้นเหลียนฟางโจวจึงจำต้องทำเอง
เมื่อเมล็ดงอกต้นอ่อนมาตามปกติแล้ว ก็สามารถเอาไปหว่านในแปลงเพาะที่จัดเตรียมไว้ก่อนแล้วได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น