วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 265 เพาะเมล็ดฝ้าย

         เหลียนฟางโจวก็แค่เด็กสาวชนบทที่ไร้ประสบการณ์ เหตุใดนางไม่รู้จักวิธีประจบเอาใจตน เมื่อนางเห็นตน ซึ่งเป็นถึงมือขวาคนสนิทข้างกายคุณหนูจวนตระกูลจ้าว? นางไม่สนใจจะประจบเอาใจตนเอง และไม่กลัวตนเองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นก็เลยใช้วาจาเล่นงานตนทุกรอบ!

        ตัวนางเป็นคนสนิทของคุณหนู อีกฝ่ายไม่รู้เลยหรือไร? เพียงแค่คุณหนูกระดิกนิ้ว เหลียนฟางโจวก็ประสบความลำบากในเมืองยู่เหอแล้ว! ไม่รู้จริง ๆเลยว่านางไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน!

        พอเห็นซี่เชวี่ยมีสีหน้าขุ่นเคือง จ้าวซานจึงชะโงกหน้ามาหัวเราะ และพูดกระซิบว่า “แม่นางซี่เชวี่ย อย่าได้ลดตัวลงไปเทียบกับหญิงบ้านนอกหยาบคายผู้นั้นเลยขอรับ ภายภาคหน้าจะต้องมีวันที่นางน้ำตาตกแน่! เราจะกลับจวนกันก่อนไหมขอรับ?”

       กลับจวนเพื่อรายงานคุณหนู  ว่าเมล็ดฝ้ายพร้อมปลูกลงดินแล้ว

       คุณหนูบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องขยายการปลูกฝ้าย แค่เท่าที่มีอยู่ในห้องเก็บเมล็ดพันธุ์ ก็เพียงพอแล้ว ทว่านางกลับถูกสั่งให้ซื้อเมล็ดมาเพิ่มอย่างลับ ๆ ด้วย จนยามนี้เมล็ดฝ้ายในจวนรวมแล้วมีทั้งหมด 1,600-1,700 ชั่งเข้าไปแล้ว!

  ดูคล้ายคุณหนูกำลังดิ้นรนแข่งขันกับแม่นางเหลียนฟางโจวผู้นี้ ดูท่าตัวนางคงไม่อาจทำลายแผนการใหญ่ของคุณหนูได้

  หากนางรู้ว่าตนเองได้รับข่าวใหม่มา แล้วยังโอ้เอ้ไม่กลับจวนเสียที จะเกิดอะไรขึ้น พอคิดได้แล้วซี่เชวี่ยพลันรีบกลับจวนไปรายงานเจ้านายอย่างไว

  ส่วนเรื่องพี่เจี่ยน  คราวหน้าค่อยแวะมาหาก็แล้วกัน!

       “ไปเถอะ! กลับกันเลย!”ซี่เชวี่ยบดกรามแน่น นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าและก้าวขึ้นรถม้าไปด้วยความไม่เต็มใจ

       เมื่ออาเจี่ยนและเหลียนเจ๋อกลับมาพร้อมรถเกวียนที่ว่างโล่ง พวกเขาเห็นซี่เชวี่ยและจ้าวซานจากไปแล้ว จึงอดพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้

  เหลียนเจ๋อเอ่ยขึ้น “สาวใช้รุ่นใหญ่จากจวนตระกูลจ้าวล้วนเป็นแบบนี้จริง ๆรึ? ไฉนถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้! คุณหนูจ้าวไม่สนใจดูแลอบรมนางเลย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอยู่ นางไม่กลัวตระกูลจะเสียหน้าหรือไร!”

        เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนสบตากันแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

  ไยคุณหนูจ้าวจะไม่สนเล่า? พวกเขาย่อมรู้ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการปลูกฝ้าย!

  นางเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้านายผู้มีเกียรติของตระกูลจ้าว ต่อให้นางทำเรื่องไร้ยางอายข้างนอก คุณหนูจ้าวเพียงใช้สถานะอันสูงส่งผสานกับท่าทีอันลำบากใจและมีเมตตา มาจัดการสาวใช้ แค่นั้นทุก ๆคนก็จะเอาแต่ยกย่องสรรเสริญตระกูลจ้าวของนางที่มีความเข้มงวดกวดขัน และมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ดี  ส่วนการถูกดูแคลนก็จะเอามาลงที่ซี่เชวี่ย เด็กสาวที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดังนั้นนางจะทำให้หน้าตาของตระกูลจ้าวเสียได้อย่างไร?

  อาเจี่ยนอดรนทนไม่ไหว เดินมายืนข้างเหลียนฟางโจว พลางถามเสียงต่ำ “ส่งนางกลับไปง่ายปานนั้นเชียวรึ?”

        นี่รึที่อยากพูด! เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกเหนื่อยหน่ายในใจ หญิงสาวเอียงคอมองอาเจี่ยนด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านผิดหวังมากรึ? พี่เจี่ยน?”

พอได้ยินคำว่า “พี่เจี่ยน” อาเจี่ยนอดสะดุ้งขนลุกไม่ได้ ชายหนุ่มรีบเอ่ย “ทำไมล่ะ! ข้า ข้าก็แค่สงสัยว่าทำไมคราวนี้ถึงไล่กลับไปได้ง่าย ๆ....

       ซี่เชวี่ยเรียก “พี่เจี่ยน” เขารู้สึกรังเกียจ เหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อเรียก”พี่เจี่ยน”  เขารู้สึกฟังรื่นหู แต่พอเมื่อครู่นี้เหลียนฟางโจวเรียกตนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พริบตานั้น คล้ายหัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ รู้สึกแตกตื่นอยู่หน่อย ๆ

       เพราะฉะนั้น ชายหนุ่มจึงพยายามทำหน้าตาให้ดูจริงจังสุดชีวิต หวังปกปิดความไม่สบายใจที่ผุดขึ้นมาแจ่มชัด

       พอเห็นท่าทางอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ เหลียนฟางโจวรู้สึกว่านางไม่ควรโต้ตอบเขาแบบนั้น ดังนั้นจึงรีบปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้น แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยตลอดอีกครั้ง

  อาเจี่ยนพลันเข้าใจในทันใด ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนี้นี่เอง นี่คงจะกลับไปรายงานละสินะ!”

        “เรื่องนี้เป็นความลับที่บอกใครไม่ได้” เหลียนฟางโจวยิ้มบาง “มีบางเรื่องที่ข้าไม่อยากให้พวกเขาสอบถาม ถูกแล้ว! อย่างที่ท่านพูดมา หรือว่า เราจะล้อมรั้วลวดหนามรอบไร่ฝ้ายทั้งหมดไปเลยดีหรือไม่?”

  อะไรนะ?”อาเจี่ยนชะงักไป แล้วเอ่ยอย่างอึ้งๆ “นี่มัน ไม่ดีกระมัง?เราส่งคนไปตรวจตราสอดส่องเอาก็ได้! ฝ้ายนี่ทางเจ้าหน้าที่มีคำสั่งให้ส่งเสริมการปลูก ใครที่อาจหาญมาทำลาย จะต้องได้รับโทษทางอาชญาหากถูกจับได้นะ!”

  เหลียนฟางโจวรู้ถึงความสำคัญของฝ้ายพวกนี้ เป็นเพราะนางใส่ใจพวกมันอย่างที่สุด  ดังนั้นจึงเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่า ผู้อื่นก็ให้ความสำคัญกับพวกมันมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงได้พูดออกมาเช่นนี้

       พอเห็นปฏิกิริยาของอาเจี่ยน นางจึงอดยิ้มไม่ได้

       อย่างที่ว่าไว้  ครอบครัวที่ปลูกฝ้ายมีนับไม่ถ้วน แต่จำนวนฝ้ายที่แต่ละครอบครัวปลูก มีไม่มากเท่าครอบครัวของเธอ

       ในสายตาเธอฝ้ายมีค่าราคาแพง แต่ในสายตาผู้อื่นมันคือวัชพืชซึ่งเข้ามารุกล้ำเรือกสวนไร่นา! หากใครอยากเข้ามาทำลายจริง ๆ  ผู้ไม่หวังดีที่กล้าเข้ามา คงได้เจอรอยตบบนใบหน้าเป็นแน่

       “ข้ากังวลเกินเหตุเสียแล้ว!” เหลียนฟางโจวยิ้ม แล้วก็พักเรื่องนี้ไว้

       เมื่อซี่เชวี่ยและจ้าวซานกลับถึงจวนสกุลจ้าว ซี่เชวี่ยรีบรุดไปพบนายหญิงจ้าวหรูเพื่อรายงานเรื่องที่เจอมา

       หลังจากได้ฟังเรื่องนี้ นายหญิงจ้าวหรูไม่มีปฏิกิริยาอย่างซี่เชวี่ยนึกวาดภาพไว้ นางเพียงยิ้มบาง ๆ และพยักเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นก็จริงนะ  วสันต์ฤดูเราไถหว่าน สารทฤดูเราเก็บเกี่ยว นี่ไม่ใช่เวลาเพาะพันธุ์เมล็ดและหว่านเมล็ดหรอกรึ? บอกให้ทุกคนเดินหน้าต่อ ตระกูลเราควรเตรียมตัวบ้างแล้ว!”

        เอ๋? ใช่แล้ว คุณหนู...” ไม่ต้องพูดเลยว่า ซี่เชวี่ยดูผิดหวังมากเพียงไร เพราะนางนึกว่าตนเองจะได้รับคำชมเชยจากนายหญิง

  นายหญิงจ้าวหรูตวัดสายตามองสาวใช้ และเอ่ยเสียงเอื่อย ๆไม่รีบร้อน “ครั้งนี้เจ้าทำงานได้ดี หากภายหน้าได้ยินอะไรมาอีก ให้จดจำแล้วกลับมาบอกข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้! เจ้าไปสอบถามมาให้ชัด ว่าการปลูกฝ้าย เทียบกับพืชไร่ชนิดอื่นมีความแตกต่างอะไรบ้าง?”

        ซี่เชวี่ย ผู้ซึ่งพึ่งตกอยู่ในอารมณ์หดหู่ พลันจิตใจฮึกเหิมขึ้นทันใด ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้านางซึงเผยเพียงครึ่งเดียว พลันแข็งค้าง จากนั้นก็หายไป นางรีบค้อมหัวแล้วเอ่ยตอบ “เหลียนฟางโจมีเล่ห์เหลี่ยมมากเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะถามอย่างไร ก็ตอบแต่ว่าไม่รู้ แต่คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะคอยจับตามองที่นั่นตลอดเวลา! ถึงท่านไม่ถาม บ่าวจะยังไม่จับตามองหรือเจ้าคะ? หากเห็นอะไรผิดปกติ บ่าวจะรีบมารายงานคุณหนูทันทีเลยเจ้าค่ะ!”

  “ดี!”นายหญิงจ้าวหรูยิ้มพยักหน้า “เจ้าไม่ใช่ชาวนาชาวไร่ ต่อให้จับตามอง อาจไม่เห็นอะไร ยิ่งไปกว่านั้น มันคงไม่สะดวกนัก ที่เจ้าจะเอาเท้าที่สวมร้องเท้าปักสวย ๆ ก้าวเข้าไปมองดูในไร่นั่น หากเจ้าสามารถหาคนที่ไว้ใจได้มาสอบถาม มันน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า?”

  หาคนที่ไว้ใจได้เอาไว้สอบถามรึ? ซี่เชวี่ยชะงัก และเข้าใจในทันที คุณหนู กำลังแนะนำให้นางซื้อคนของเหลียนฟางโจว

       นายหญิงจ้าวหรูเห็นสีหน้าสาวใช้จึงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายของนางแล้ว ครั้นแล้วจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ใช้เงินสิ เมื่อถึงเวลาก็ใช้เงิน ตราบใดที่มันคุ้มค่าควรจ่าย!

  หลังของซี่เชวี่ยตั้งตรง คล้ายพบวิธีจัดการแล้ว นางรีบคุกเข่าค้อมห้วพลางหัวเราะเบา ๆ “คุณหนู อย่าได้กังวล! บ่าวรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร!”

        นายหญิงจ้าวหรูแย้มยิ้ม พยักหน้า พลางโบกมือให้สาวใช้ไปได้

  วันต่อมา เหลียนฟางโจวเริ่มต้นกระบวนการเพาะเมล็ดฝ้าย

       เมล็ดฝ้ายทั้งหมดหนักแปดพันชั่ง จำเป็นต้องนำไปวางแผ่ตากแดดเป็นเวลาสามวัน หลังจากแห้งแล้ว ก็เอาไปผ่านกระบวนการที่ว่าครั้งละหนึ่งพันชั่ง ซึ่งจะแบ่งไปผ่านกระบวนการได้ แปดรอบ

  เมล็ดจะถูกแช่ในน้ำที่อุณหภูมิ ห้าสิบถึงหกสิบองศา เป็นเวลาเจ็ดถึงแปดชั่วโมง เพื่อให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในเมล็ดเต็มที่

       งานนี้ถูกทำในห้องปฏิบัติการเมล็ด ที่ซึ่งมีการก่อสร้างบ่อน้ำยาวด้วยอิฐสีน้ำเงินเรียบลื่น ติดตั้งอยู่ใต้ผนังทั้งสี่ด้าน

  หลังจากเมล็ดชุ่มน้ำดีแล้ว เมล็ดจะถูกทำให้สะเด็ดน้ำและเทใส่ในกระสอบ หนึ่งกระสอบจะบรรจุเมล็ดเพียงครึ่งของกระสอบ จากนั้นก็ขนไปห้องอื่นเพื่อเก็บไว้ ในห้องเหล่านั้น จะมีการจุดกระถางไฟใบใหญ่ สี่ถึงห้ากระถาง และใช้อุณหภูมิความร้อนของถ่านไฟเพื่อเร่งการงอกของเมล็ด

       โดยปกติจะมีการกลับกระสอบครึ่งวันต่อหนึ่งครั้ง เพื่อว่าเมล็ดทั้งหมดจะได้รับความอบอุ่นสม่ำเสมอเท่ากันทั้งหมด

  เดิมที เมล็ดเหล่านี้ต้องมีการนำไปฆ่าเชื้อหนึ่งครั้ง หลังจากผ่านการแช่และก่อนเกิดการงอกก่อน ทว่าในยุคนี้จะมีที่ไหนสามารถส่งเมล็ดไปฆ่าเชื้อได้เล่า? ดังนั้นเหลียนฟางโจวจึงจำต้องทำเอง

       เมื่อเมล็ดงอกต้นอ่อนมาตามปกติแล้ว ก็สามารถเอาไปหว่านในแปลงเพาะที่จัดเตรียมไว้ก่อนแล้วได้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น