วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 266 ชุยฉ้าวซีมาเยือน

        ยกเว้นการหว่านเมล็ดซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการเพาะเมล็ดแล้ว งานเหล่านี้ล้วนถูกทำโดยเหลียนฟางโจว อาเจี่ยน เหลียนเจ๋อและบ่าวของเหลียนฟางโจวสี่คน ครอบครัวจางเสี่ยวจุนเพียงคอยช่วยต้มน้ำและคอยส่งน้ำร้อนมาให้ โดยไม่ได้แตะต้องงานส่วนที่เหลือ ส่วนบ่าวของครอบครัวซึ่งได้แก่ ฉินเฟิงและซูจื่อจี้ก็ไม่ได้มีส่วนในงานดังกล่าวด้วย

       นี่คือส่วนที่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่สุด เมื่อเมล็ดทั้งหมดถูกหว่านลงพื้นดินแล้ว เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว เหลียนฟางโจวและคนอื่น ๆ ต่างเหนื่อยสายตัวแทบขาด

  เหนื่อยก็ส่วนเหนื่อย แต่การเฝ้าดูเมล็ดแห่งความหวังถูกหว่านลงไป พาให้หัวใจของทุกคนเปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดี

  เหลียนฟางโจวขอให้ซุนฉางซิงและภรรยา รวมทั้งบ่าวที่คัดเลือกมาแล้วสี่คนเป็นการเฉพาะ แบ่งกันไปลาดตระเวนสอดส่องและเฝ้าระวังแปลงเพาะเมล็ดคนละช่วงเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใด ๆขึ้น

       ณ ยามนี้ ช่วงเวลาดอกไม้ผลิบานของไม้ผลหลายหลายชนิดบนเขาฮวากั่วซานน้อยใกล้จะหมดลงแล้ว ดอกไม้พากันร่วงหล่นเกลื่อนพื้นดิน และกิ่งก้านและใบสีเขียวอ่อน ค่อย ๆ หนาขึ้น ๆ ร่มเงากิ่งใบแผ่เขียวครึ้มเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน อีกทั้งตลอดลำกิ่งยาวๆนั้น มีผลไม้เล็ก ๆที่คล้ายถั่วเล็กๆ จำนวนมากมายมหาศาลเกาะอยู่หนาแน่น

  เวลานี้ ที่แปลงเพาะพันธุ์ต้นกล้า ก็มีต้นกล้าที่กำลังถูกเพาะเลี้ยงอนุบาลอยู่ ต้นกล้าในแปลงนั้นเพิ่งจะโต สูงราว 1 ชุ่น(1 นิ้ว)

 ยามนี้หญิงสาวหยุดพักงานในไร่ฝ้ายชั่วคราว เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของงานขั้นต่อไป!

        เหลียนฟางโจวจึงแบ่งงานให้ทุกคนไปทำที่เขาฮวากั่วซานน้อยแทน โดยให้พวกเขาเด็ดผลไม้ที่ติดอยู่บนต้นทิ้งทั้งหมด 

       เมื่อทุกๆคนเห็นเข้า ก็รู้สึกเสียดายไม่เลิก ต่างพูดกันว่านึกไม่ถึงว่าต้นไม้จะออกผลมาได้มากมายปานนี้ เก็บผลเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ? นี่เล่นเด็ดทิ้งทั้งหมดในคราวเดียว ไม่รู้ว่าจะสูญเสียมากมายปานไหน!

        เหลียนฟางโจวเพียงส่งยิ้มบางแล้วเอ่ยขึ้น “เสียดายอะไรนักหนา? หน่อต้นไม้ของไม้ผลนี้ยังอ่อนอยู่ มันแบกน้ำหนักผลมาก ๆไม่ได้หรอก ต่อให้ตอนนี้ไม่เด็ดทิ้งไป กิ่งก้านมันจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผลไม้ไม่อาจแย่งสารอาหารได้ สุดท้ายผลเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ทยอยร่วงหล่นลงไปอยู่ดี ทำให้เหลือไม้ผลต้นที่โตเต็มที่เพียงสองหรือสามในสิบส่วนเท่านั้น! แทนที่จะปล่อยให้พวกมันออกผลซึ่งสุดท้ายแล้วก็ร่วงหลุดไปครึ่งหนึ่งอยู่ดี แถมผลไม้พวกนั้นยังแย่งสารอาหารของต้นไม้ด้วย มิสู้เราปลิดพวกมันทิ้งไปทั้งหมดเลยดีกว่า  ต้นไม้เหล่านั้นจะได้เติบโตอย่างแข็งแรงเต็มที่ ไม่ถูกแย่งสารอาหาร! และในปีหน้า ไม้ผลพวกนี้ก็จะออกลูกดกกว่าปีนี้อีกนะ!”

        เหลียนฟางโจวขบคิดอยู่ในใจ สาเหตุที่ไม้ผลเหล่านี้ออกผลมากมายเหลือคณา ต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการผสมเกสรดอกไม้ โดยผึ้งที่มาเก็บน้ำหวานใช่หรือเปล่านะ?

     หลังจากอากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหลียนฟางโจวตัดสินใจย้ายผึ้งซึ่งถูกช่วยชีวิตไว้เมื่อฤดูหนาวคราวก่อน แล้วเธอเลี้ยงดูพวกมันด้วยน้ำเชื่อม ไปไว้บนยอดเขาฮวากั่วซานน้อย อีกทั้งยังปล่อยข่าวออกไปว่า หากผู้ใดในหมู่บ้านมาเจอรังผึ้งป่า ให้เอามาให้เธอแลกกับเงิน 20 อีแปะ สุดท้ายพวกเขาขนรังผึ้งกลับมาให้เธอถึง 7 รัง

  ตอนมีรังผึ้ง 8 กล่องบนเขาฮวากั่วซานน้อย เมื่อภูเขาเต็มไปด้วยไม้ผลที่ออกดอกผลิบาน ขณะเดินไปท่ามกลางมวลดอกไม้บนกิ่งที่โน้มลงมา ยามนี้จะได้ยินเสียงกระพือปีกของเหล่าภูติตัวน้อยดังหึ่ง ๆที่ข้างหู

  ไม่เพียงที่นี่ เหลียนฟางโจวยังไพล่คิดถึง มวลดอกไม้ของไม้ผลในสวนผลไม้สกุลหลิน และดอกไม้ป่าที่ผลิบานไปทั่วภูเขา รวมถึงไม้ผลที่ออกดอกเต็มพรืดที่ทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งอาจอยากมีเงาร่างของภูติน้อยเหล่านี้ปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆบ้างกระมัง?

        เดิมทีบรรดารังผึ้งที่อยู่บนยอดเขาฮวากั่วซานน้อย ซุนฉางซิงและซุนซื่อออกจะหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ  ต่อมาเหลียนฟางโจวและน้องๆสวมหมวกผ้าโปร่งคลุมหน้าไปเก็บน้ำผึ้ง ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวได้ถึง 17 ถึง 18 ชั่ง  พวกนางพี่น้องแบ่งน้ำผึ้ง 2ชั่ง ให้แก่ซุนฉางซิงกับภรรยา ทั้งคู่จึงไม่กลัวอีกต่อไป

  ไม่เพียงเขาจะไม่กลัวแล้ว เขายังเป็นฝ่ายขออาสาดูแลรังผึ้งให้ด้วย

       ทุก ๆ คนได้ฟังสิ่งที่เหลียนฟางโจวพูด ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลและหลักการเข้าที แม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอันใด คนงานทั้งหมดต่างยิ้มแย้ม “คำพูดของแม่นางเหลียนต้องมีเหตุผลแน่! แม่นางเหลียนเป็นผู้มีเหตุผล บอกว่าจะทำเช่นนี้ ก็ลงมือทำ แล้วก็ไม่ผิดพลาดเลย!” ว่าแล้วคนทั้งหมดต่างเริ่มลงมือทำงานกันอย่างจริงจัง

       คนมากกว่าสิบคนทำงานเป็นเวลาสองวัน และในที่สุดงานที่ได้รับมอบหมายก็เสร็จสิ้นทั้งหมด

       ณ ยามนี้ เหลียนฟางโจวนั่งคำนวณจำนวนวันฟักไข่ ลูกเจี๊ยบจากค่างของเหล่าหวางโถวในหมู่บ้านเสี่ยวหวางควรใกล้เวลาเจาะเปลือกไข่ออกมาแล้ว ใช่ไหม?เช่นนั้น ก็คงถึงเวลาต้องจัดเตรียมเล้าไก่แล้ว

       แม้ว่าลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักออกจากไข่และเธอเพิ่งซื้อกลับมา ยังเล็กอยู่มาก แต่ห้องที่ใช้เพื่อเลี้ยงลูกเจี๊ยบนั้น จะได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าอีก โดยมีการปูพื้นด้วยฟางข้าวชั้นหนึ่ง และเกลี่ยให้เท่ากันทุกจุด เพื่อเอาไว้รักษาความอบอุ่นในห้อง และป้องกันความหนาวเย็นในตอนกลางคืน

       ส่วนข้าวที่ให้ลูกเจี๊ยบกิน ก็มีการขนมาเตรียมไว้แล้ว 1 กระสอบ

  หลังจากใช้ข้าวฟ่างเลี้ยงมา 10 วัน จึงให้หลี่ซื่อใช้ข้าวเปลือกในห้องครัว ต่อมาหุงข้าวฟ่างแยกไว้ แล้วนำมาคนให้เข้ากันดี เติมรำข้าวเล็กน้อย แล้วค่อยเอาไปให้ลูกเจี๊ยบกิน สามครั้งต่อหนึ่งวัน

  ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เพียงรอการแจ้งข่าวจากคนที่มาจากหมู่บ้านเสี่ยวหวาง

ใครเล่าจะรู้ เหลียนฟางโจวผู้ซึ่งในที่สุดเริ่มมีเวลาว่างเพื่อพักผ่อนบ้างแล้ว ได้มีโอกาสต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง

       ชุยฉ้าวซีพาชุยอวี้มาอีกแล้ว สองนายบ่าวเดินทางโดยรถม้าเพื่อแวะมาเยี่ยมเยียน

  ชุยฉ้าวซีเปลี่ยนไปอยู่ในชุดคลุมยาวทอด้วยผ้าไหมเนื้อนุ่มสีขาวพระจันทร์ คอกลม ปลายแขนเสื้อเป็นทรงรูปธนู มีกุ๊นสีเงินฟ้า ที่เอวคาดเข็มขัดซึ่งตรงกลางฝังหยกงาม เครื่องหน้าชายหนุ่มงดงามสง่า หัวคิ้วที่เลิกขึ้น รอยยิ้ม ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหว ทุกอย่างเต็มไปด้วยเสน่ห์รัดรึงใจ เขานับเป็นคนรุ่นเยาว์จากตระกูลที่สูงส่งมีเกียรติ มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ครบเต็มสิบส่วน เมื่อผู้ใดได้พบเห็นเขา จะไม่กล้ามองอีกฝ่ายใกล้ ๆ

       เมื่อเหลียนฟางโจว เหลียนเจ๋อ และอาเจี่ยนกลับจากข้างนอก ก็พบว่าชุยฉ้าวซีกำลังคุยหัวเราะกับอาหญิงสามและเหลียนฟางฉิงอยู่ เหลียนฟางฉิงเรียกเขาทุกครั้งว่า “เปี่ยวเกอผู้งดงาม” และขอให้เขาดูสิ่งที่ครอบครัวนางเลี้ยง มากกว่าสามเดือนแล้ว ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว เสี่ยวฮุยตอนนี้ตัวใหญ่ เกือบเท่าสุนัขสีเหลืองที่พบเห็นได้ทั่วๆ ไปแล้ว

       เมื่อเห็นเหลียนฟางโจวและคนอื่นๆกลับมา ชุยฉ้าวซีก็ลุกยืนขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฟางโจว เจ้ากลับมาแล้ว!”

  เมื่อเห็นสองนายบ่าวมาที่บ้านพวกนางอีกครั้ง เหลียนฟางโจวก็ถึงกับอึ้งไป

       อาเจี่ยนกับเหลียนเจ๋อเองก็ประหลาดใจมาก

       “คุณชายชุย!”เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน ”ไฉนท่านถึงมาได้!”

        “ข้าก็มาหาเจ้าไง ทำไมรึ? ฟางโจวไม่ต้อนรับข้าหรือไร?”ดวงตาชุยฉ้าวซีมึดครึ้มลง พลางถอนหายใจเบา ๆ

  การถอนหายใจที่ดูสง่างามน่าหลงไหล ที่จริงแล้วมีเป็นหมื่นรูปแบบเชียวเหรอ เมื่อใครได้เห็นแล้ว ย่อมไม่อาจต้านทานได้

       เหลียนฟางฉิงรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่นะ! พี่ใหญ่มิได้หมายความเช่นนั้น! อย่าได้เสียใจไปเลย เปี่ยวเกอผู้งดงาม!”

        เหลียนฟางโจวเบนสายตาไปยังน้องสาว แล้วหัวเราะ “ช่วงนี้งานในไร่ยุ่งมาก ข้าเกรงว่าจะไม่มีเวลารับรองท่าน!”

        “ไม่เป็นไร! เจ้าก็ยุ่งของเจ้าไป ไม่ต้องสนใจข้าหรอก!”ชุยฉ้าวซียิ้มแย้ม “ ข้าเองมีความใคร่รู้เกี่ยวกับการทำงานบนผืนดิน แค่อยากตามไปดูกับพวกเจ้าด้วยเท่านั้น!”

       แค่จิตนาการเห็นภาพว่า มีบุรุษหนุ่มหล่อเหลาทรงเสน่ห์มายืนในไร่ เหลียนฟางโจวก็อดนึกขำไม่ได้ หญิงสาวรีบเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งมีเวลาว่างแค่สองวัน ท่านก็อยู่เที่ยวสักสองวันแล้วค่อยกลับก็แล้วกัน! ครอบครัวลี่เจิ้งเองช่วงนี้ก็ยุ่งกับงานในไร่ด้วย ท่านไปพักที่นั่น ข้าเกรงว่าท่านจะไม่คุ้นชิน!”

  

        “ข้าจะไม่พักที่นั่น ชุยฉ้าวซีรีบเอ่ย “ฉิงเอ๋อร์เล่าให้ข้าฟังแล้ว หมู่ตึกของเจ้ายังสร้างไม่เสร็จหรือไร? ข้าจะไปพักที่นั่น! อีกอย่าง ในเมื่อเจ้ามีเวลาว่างสองวัน เราไปล่าสัตว์ที่เขาเซียนเถิงซานกันดีไหม? เจ้าอย่าได้ดูถูกข้าไป ฝีมือยิงธนูข้าดีมากเชียวนะ!”

        เขาพูดและถอนหายใจ “โอ น่าเสียดายว่าข้ามาช้าไป เลยไม่ทันได้ดูดอกไม้บานบนเขาฮวากั่วซานน้อยเลย ฉิงเอ๋อร์บอกว่า มันดูดีใช้ได้เลยล่ะ!”

        “…..” เหลียนฟางโจวพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าเด็กหญิงน้อยผู้นี้จะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ชุ่ยฉ้าวซีฟัง!

        เขายังคงถอนหายใจและบ่นว่าน่าเสียดาย? อะไรมันจะโชคร้ายปานนั้น? ในสวนบ้านเขา มีดอกไม้เลื่องชื่อกี่ชนิดกัน?  แล้วเขาอยากเห็นมากมายเท่าไรกัน? ดอกไม้น่ะ..จะไปดูที่ไหนมันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ!

 

 

                   บทที่ 267 ความคิดบรรเจิด 1

       หากเธอให้เขาพักที่หมู่ตึก ใครเล่าจะรู้ว่าเขาจะพักอยู่นานเท่าใดก่อนจะกลับไป? เธอไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับเขาหรอกนะ ต่อให้มีเวลาว่างจริง ๆ ก็เถอะ!

        ทันที่ที่เห็นซุยฉ้าวซี เหลียนฟางโจวย่อมนึกถึงซูซินเอ๋อร์ด้วย พอนึกขึ้นได้แล้ว เวลาที่หญิงสาวสนทนากับอีกฝ่าย เธอจะแสดงท่าทีสุภาพและรักษาระยะห่างเพิ่มขึ้น 2 ส่วนด้วย

  “ท่านไปพักที่บ้านสกุลลี่เจิ้งจะดีกว่า!”เหลียนฟางโจวแย้มยิ้ม “ที่หมู่ตึกไม่มีอันใดเลย สถานที่หนาวเย็นและไม่ค่อยมีคนแบบนั้นไม่เหมาะให้แขกพักอยู่หรอก! อีกอย่างคราวที่แล้วท่านก็พักอยู่ที่บ้านของน้าลี่เจิ้งนี่ ครั้งนี้ท่านไม่ไป มันจะดูไม่ดีเอามาก ๆ เลยนะ!”

  คำว่า”ไม่ดีมาก” ย่อมไม่ดีมากสำหรับเหลียนฟางโจว จางลี่เจิ้งพอใจนักที่ได้ต้อนรับแขกอย่างชุยฉ้าวซี ผู้ซึ่งมีรูปลักษณ์หล่อเหลาสง่างามเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียง พอเหลียนฟางโจวเริ่มรับรองแขกของตนเองได้ เลยส่งคนไปพักที่หมู่ตึก ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่นั้น ซ้ำยังไม่เลือกบ้านเขาเป็นที่พักด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจ้างลี่เจิ้งจะรู้สึกอย่างไร

       ชุยฉ้าวซีเองนั้น ก็เข้าใจวิถีชีวิตของใต้หล้านี้ดีกว่าเหลียนฟางโจว เขาจึงเข้าใจสิ่งที่นางหมายความทันทีเช่นกัน แม้เขาไม่อยากไปพักบ้านจางลี่เจิ้ง และอยากพักอยู่ที่บ้านเหลียนฟางโจวมากกว่า  แต่เขาก็ไม่อยากให้เหลียนฟางโจวต้องประสบปัญหา ในการที่จางลี่เจิ้งตีตัวออกห่างอีกเหมือนกัน  ชายหนุ่มจึงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ได้สิ ข้าเชื่อฟังเจ้าอยู่แล้ว!”

  แทนที่จะพูดว่า “ข้าจะไป” เขากลับพูดว่า “ข้าเชื่อฟังเจ้าพร้อมๆกับสายตาจับจ้องอยู่ที่เหลียนฟางโจว ครั้นแล้วจึงหัวเราะขึ้น “ฟางโจว เจ้าไปล่าสัตว์เป็นเพื่อนข้าพรุ่งนี้จะได้ไหม?”

        ฟังที่เขาพูดสิ! ทำอย่างกับว่าเขามานี่เพื่อมาล่าสัตว์อย่างเดียวเช่นนั้นแหละ! นี่คงไปรู้เรื่องเขาเซียนเถิงซานมาจากฉิงเอ๋อร์กระมัง?

       “คงไม่ดีหรอกกระมัง?” อาเจี่ยนพลันเอ่ยเสียงเบา “นายน้อยชุยไม่รู้ข้อห้ามล่าสัตว์ในวสันต์ฤดูรึ? ข้าว่าท่านน่าจะรอไปจนถึงสารทฤดูดีกว่านะ!”

        ชุยฉ้าวซีย่อมรู้ว่าการล่าและฆ่าสัตว์ถูกสั่งห้ามในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบ “อันที่จริง เขาก็ไม่ได้มุ่งหมายจะไปล่าสัตว์หรอก แต่เป็นเพราะทัศนียภาพในหุบเขางดงามมาก ซ้ำยังคุ้มค่าให้ไปเยี่ยมชม! ฟางโจวต้องเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ไปพักผ่อนหย่อนใจดูบ้างจะไม่ดีกว่าหรือ?”

  อาเจี่ยนจึงเอ่ยอีกหน  “หากท่านเข้าใจความเหนื่อยยากของฟางโจวจริง ๆ อย่าเสนอความคิดไปเรื่อยเปื่อยเลย ตอนนี้ เขาเซียนเถิงซานไม่ได้อยู่ใกล้ที่นี่ เส้นทางไปภูเขาก็ขรุขระยากลำบาก ต้องเดินกันเกือบสองชั่วยามจึงจะไปถึง!”

  

        “เป็นเช่นนั้นรึ! ”แม้ชุยฉ้าวซีจริง ๆ แล้วไม่อยากเห็นด้วยกับคำพูดของอาเจี่ยนสักเท่าไร เขาเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายพูดความจริง เทียบกันแล้วอีกฝ่ายดูจะเข้าใจเหลียนฟางโจวดีนัก ในใจคุณชายให้รู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่เขาก็ไม่อาจทนเห็นเหลียนฟางโจวเหนื่อยเกินไปได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงพรูลมหายใจออกมา “เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด!”

  พอเห็นว่าคนผู้นี้ไม่ได้เอาแต่ใจตนเองเป็นที่ตั้ง สีหน้ามึนตึงของอาเจี่ยนก็คลายลง ครั้นแล้วจึงนำเสนอ “เช่นนั้น ก็ไปตระเวนรอบ ๆแถวนี้ดีกว่า ทิวทัศน์ของเขาฮวากั่วซานน้อยดูดีไม่ใช่ย่อย ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป ท่านยังมิได้ลืมเรื่องฝ้ายใช่หรือไม่ ? ท่านสามารถไปชมดูได้ด้วย! และสามารถเดินทางไปดูวันมะรืนนี้ได้เลย!”

        อาเจี่ยนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ขณะกล่าววาจาออกมายาวเหยียด เหนืออื่นใดที่เชาพูดไปก็เพื่อประโยคสุดท้ายนี่แหละ

       ชุยฉ้าวซีหน้าเปลี่ยนสีและกำลังจะเอ่ยโต้อีกสองสามคำ เหลียนฟางโจวแอบยิ้มในใจและรีบเอ่ย “ใช่แล้ว คุณชายชุย ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยจริง ๆ มีสถานที่สวยงามมากมายนักในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ท่านมาอยู่ที่นี่กับข้า ช่างสูญเสียช่วงเวลาในฤดูวสันต์ไปเปล่า ๆจริง ๆ!”

  “ฟางโจว เจ้าต้องการขับข้าไปใช่หรือไม่?” ชุยฉ้าวซีนึกผิดหวังในใจ จึงจับจ้องเหลียนฟางโจวแล้วเอ่ยถาม

ชุยฉ้าวซีช่วยเหลือเธอมามาก  เมื่อเหลียนฟางโจวเห็นเขาพูดมาเช่นนี้ ก็นึกโมโหในใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกผิดไม่รู้สึกเสียใจ เพียงแต่ในเวลาเดียวกันก็เธอก็นึกโมโหเขาขึ้นมาด้วย

    เขาเป็นอะไร?

        หากบอกว่าเขามีความรู้สึกที่ดีต่อเธอ เหลียนฟางโจวย่อมเชื่ออยู่แล้ว แต่หากกล่าวว่าเขายอมจ่ายยอมลงทุนทุ่มเทเพื่อให้ได้ความรู้สึกที่ดีนั้น จุดประสงค์มันคืออะไร เหลียนฟางโจวก็คร้านจะคิด

  สถานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอนที่จะให้เขาแต่งเธอเป็นภรรยาเอก เป็นอนุภรรยางั้นรึ? ขืนเขาทำขึ้นมา เธอย่อมดูถูกเขา!

        ถ้าเช่นนั้น อะไรคือจุดประสงค์ของการกระทำแต่ละอย่างของเขาเล่า?

        และที่มากไปกว่านั้น ยังมีซูซินเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่ของสกุลซูคั่นกลางอยู่อีกต่างหาก!

        เหลียนฟางโจวพยายามเจรจาอย่างอดทน “คุณชายชุย ท่านคิดมากเกินไปหรือเปล่า ไยข้าจะขับท่านได้เล่า? ท่านก็เห็นสภาพของบ้านข้า มันไม่เหมาะให้ท่านพักอยู่จริง ๆ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกเสียใจต่อท่านอย่างไรเล่า? ในเมื่อท่านพูดมาอย่างนั้นแล้ว ข้า ข้าก็ไม่มีอันใดจะพูด....”

  อาหญิงสามร้อนใจนัก หลังจากนั่งฟังมาสักพักจึงเอ่ยขึ้น “คุยกันแต่เรื่องที่ผ่านมาแล้ว มีอะไรดีรึ! คุณชายชุยก็มาแล้ว ทุกๆคนต่างไม่ใช่คนนอกใช่ไหม? ไม่ดีรึที่จะมีช่วงเวลาสนุกๆด้วยกันสักสองวัน? คุณชายชุย อย่าสนใจเลย จริงๆแล้วฟางโจวแค่กลัวจะทำผิดต่อท่านเท่านั้นแหละ ไม่มีความหมายเป็นอื่นแน่!”

        ข้ารู้ ข้ารู้!”เมื่อชุยฉ้าวซีได้ยินที่เหลียนฟางโจวกล่าวมา ความขุ่นข้องหมองใจทั้งมวลพลันปลาสนาการไปสิ้น ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฟางโจว อะไรที่เจ้าควรทำ ก็ทำไปเถิด ทำเหมือนว่าข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยก็แล้วกัน จริงๆ นะ เจ้าไม่ต้องดูแลข้าหรอก! ข้าไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เอาแต่กิน ดึ่ม เที่ยว ฟางโจว เจ้าอย่าได้ประเมินข้าต่ำไปนัก! ข้ามาหาเจ้ายามนี้ ทว่าความจริงแล้วข้ามีเรื่องสำคัญมากด้วย!”

  “เรื่องสำคัญมากรึ?”เหลียนฟางโจวนิ่งงันไป  หญิงสาวตวัดสายตามองชุยฉ้าวซีด้วยวามสงสัย แล้วก็ย้ายสายตามาที่อาเจี่ยนโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงเหลียนฟางโจวไม่เคยคิดว่าเขาจะมีเรื่องสำคัญมากที่มาเกี่ยวข้องกับเธอ

       อาเจี่ยนสั่นศีรษะน้อย ๆ บ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้

  ชุยฉ้าวซีสังเกตุเห็นเหลียนฟางโจวสื่อสารเข้าใจกันกับอาเจี่ยนโดยไม่ต้องพูด ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจมากพลางแค่นเสียงในใจ

  เขาคิดว่าเหตุผลที่พวกเขาเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด ก็เพราะทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน ชายหนุ่มคิดหาวิธีกันอาเจี่ยนออกไป เพื่อว่าเขาจะได้อยู่กับนางทุก ๆวันบ้าง.....

  ใช่แล้ว!”ชายหนุ่มเลิกคิ้วและยิ้มเอื้อนเอ่ยถูกต้อง ฟางโจวเจ้ามักมีความคิดดี ๆ  ส่วนข้าเองก็มีเงินเก็บในมือ ข้าอยากทำการค้า ทว่าไม่รู้ว่าจะทำอันใดดี! เหตุใดเจ้าไม่ช่วยข้าคิดเรื่องนี้บ้างเล่า!”

        ชุยฉ้าวซีพูดออกมาหน้าตาเฉย อาเจี่ยนมุมปากกระตุกสองที นื่คืออันใด? มีพ่อบ้านมากความสามารถนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายใต้ตระกูลชุย จะไม่มีใครที่อยากทำการค้าบ้างรึ? ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีแผนการไม่ซื่ออันใดอยู่ในใจ!

  ส่วนอาหญิงสามยามนี้มีความรู้สึกอย่างไรล่ะ พอได้ยินหัวข้อสนทนาเข้า นางก็เริ่มเบื่อขึ้นมาทันที พลางอ้าปากหาวแล้วลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “พวกท่านก็คุยกันไปก่อนแล้วกัน ข้าจะไปทำอาหารเสียที! เอ๋..เช่อเอ๋อร์น่าจะใกล้กลับมาแล้วนี่นา!”

       “ข้าจะไปด้วย!”เหลียนฟางฉิงเรียกเสี่ยวฮุยและตามอาหญิงสามไป ทันทีที่พี่สาวกลับมา เปี่ยวเกอผู้งดงามก็หยุดพูดคุยกับนาง นางเองก็พบว่าเรื่องที่สนทนากันยามนี้ดูน่าเบื่อ และเป็นเรื่องที่นางไม่ชอบเอาเสียเลย

       เหลียนฟางโจวลุกขึ้นแล้วรีบออกไปหารือกับอาหญิงสามว่าจะทำอะไรกินเป็นมื้อเย็น ครั้นแล้วก็หันกลับมานั่งลง พลางแย้มยิ้มเอ่ยถาม “ท่านต้องการทำการค้ารึ? และไม่รู้ว่าจะทำอันใดรึ?”

        ดูคล้ายนางกำลังสอบถามว่าที่เขาเกริ่นมานั้นมันจริงแท้แค่ไหน หรือแค่พูดขำๆ

       “ใช่ ใช่แล้วล่ะ!”ชุยฉ้าวซีพยักหน้าอย่างจริงจัง และรีบเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฟางโจว ข้าเหนื่อยกับการดูแลการค้าที่เคร่งเครียดจริงจัง ข้าอยากทำอะไรที่ต่างจากเดิมบ้าง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมีวิธีดี ๆ ใช่ไหม?”

  เหลียนฟางโจวไม่พูดอันใด เอาแต่จ้บจ้องเขาเงียบ ๆ

       เหลียนเจ๋อเอ่ยอย่างเย็นชา “คุณชายชุย พี่สาวข้าไหนเลยจะมีความคิดที่ไม่ซื่อสัตย์อันใด คุณชายชุยคิดเองทำเองดีกว่ากระมัง!”

        “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” ชุยฉ้าวซีตระหนักว่าเขาพูดไม่ทันคิดให้ดี ชายหนุ่มจึงหัวเราะแล้วรีบพูดแก้  “ฟางโจว เจ้าเข้าใจข้า ใช่หรือไม่? จริง ๆแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น! ข้าคิดนะ ฟางโจว เจ้าแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญ เจ้าต้องมีความคิดอันน่าอัศจรรย์ที่คนธรรมดาสามัญคาดไม่ถึงเป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงมาขอคำแนะนำจากเจ้าไง!”

  ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น