วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 267 ความคิดบรรเจิด 1

        หากเธอให้เขาพักที่หมู่ตึก ใครเล่าจะรู้ว่าเขาจะพักอยู่นานเท่าใดก่อนจะกลับไป? เธอไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับเขาหรอกนะ ต่อให้มีเวลาว่างจริง ๆ ก็เถอะ!

        ทันที่ที่เห็นซุยฉ้าวซี เหลียนฟางโจวย่อมนึกถึงซูซินเอ๋อร์ด้วย พอนึกขึ้นได้แล้ว เวลาที่หญิงสาวสนทนากับอีกฝ่าย เธอจะแสดงท่าทีสุภาพและรักษาระยะห่างเพิ่มขึ้น 2 ส่วนด้วย

  “ท่านไปพักที่บ้านสกุลลี่เจิ้งจะดีกว่า!”เหลียนฟางโจวแย้มยิ้ม “ที่หมู่ตึกไม่มีอันใดเลย สถานที่หนาวเย็นและไม่ค่อยมีคนแบบนั้นไม่เหมาะให้แขกพักอยู่หรอก! อีกอย่างคราวที่แล้วท่านก็พักอยู่ที่บ้านของน้าลี่เจิ้งนี่ ครั้งนี้ท่านไม่ไป มันจะดูไม่ดีเอามาก ๆ เลยนะ!”

  คำว่า”ไม่ดีมาก” ย่อมไม่ดีมากสำหรับเหลียนฟางโจว จางลี่เจิ้งพอใจนักที่ได้ต้อนรับแขกอย่างชุยฉ้าวซี ผู้ซึ่งมีรูปลักษณ์หล่อเหลาสง่างามเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียง พอเหลียนฟางโจวเริ่มรับรองแขกของตนเองได้ เลยส่งคนไปพักที่หมู่ตึก ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่นั้น ซ้ำยังไม่เลือกบ้านเขาเป็นที่พักด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจ้างลี่เจิ้งจะรู้สึกอย่างไร

       ชุยฉ้าวซีเองนั้น ก็เข้าใจวิถีชีวิตของใต้หล้านี้ดีกว่าเหลียนฟางโจว เขาจึงเข้าใจสิ่งที่นางหมายความทันทีเช่นกัน แม้เขาไม่อยากไปพักบ้านจางลี่เจิ้ง และอยากพักอยู่ที่บ้านเหลียนฟางโจวมากกว่า  แต่เขาก็ไม่อยากให้เหลียนฟางโจวต้องประสบปัญหา ในการที่จางลี่เจิ้งตีตัวออกห่างอีกเหมือนกัน  ชายหนุ่มจึงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ได้สิ ข้าเชื่อฟังเจ้าอยู่แล้ว!”

  แทนที่จะพูดว่า “ข้าจะไป” เขากลับพูดว่า “ข้าเชื่อฟังเจ้าพร้อมๆกับสายตาจับจ้องอยู่ที่เหลียนฟางโจว ครั้นแล้วจึงหัวเราะขึ้น “ฟางโจว เจ้าไปล่าสัตว์เป็นเพื่อนข้าพรุ่งนี้จะได้ไหม?”

        ฟังที่เขาพูดสิ! ทำอย่างกับว่าเขามานี่เพื่อมาล่าสัตว์อย่างเดียวเช่นนั้นแหละ! นี่คงไปรู้เรื่องเขาเซียนเถิงซานมาจากฉิงเอ๋อร์กระมัง?

       “คงไม่ดีหรอกกระมัง?” อาเจี่ยนพลันเอ่ยเสียงเบา “นายน้อยชุยไม่รู้ข้อห้ามล่าสัตว์ในวสันต์ฤดูรึ? ข้าว่าท่านน่าจะรอไปจนถึงสารทฤดูดีกว่านะ!”

        ชุยฉ้าวซีย่อมรู้ว่าการล่าและฆ่าสัตว์ถูกสั่งห้ามในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบ “อันที่จริง เขาก็ไม่ได้มุ่งหมายจะไปล่าสัตว์หรอก แต่เป็นเพราะทัศนียภาพในหุบเขางดงามมาก ซ้ำยังคุ้มค่าให้ไปเยี่ยมชม! ฟางโจวต้องเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ไปพักผ่อนหย่อนใจดูบ้างจะไม่ดีกว่าหรือ?”

  อาเจี่ยนจึงเอ่ยอีกหน  “หากท่านเข้าใจความเหนื่อยยากของฟางโจวจริง ๆ อย่าเสนอความคิดไปเรื่อยเปื่อยเลย ตอนนี้ เขาเซียนเถิงซานไม่ได้อยู่ใกล้ที่นี่ เส้นทางไปภูเขาก็ขรุขระยากลำบาก ต้องเดินกันเกือบสองชั่วยามจึงจะไปถึง!”

  

        “เป็นเช่นนั้นรึ! ”แม้ชุยฉ้าวซีจริง ๆ แล้วไม่อยากเห็นด้วยกับคำพูดของอาเจี่ยนสักเท่าไร เขาเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายพูดความจริง เทียบกันแล้วอีกฝ่ายดูจะเข้าใจเหลียนฟางโจวดีนัก ในใจคุณชายให้รู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่เขาก็ไม่อาจทนเห็นเหลียนฟางโจวเหนื่อยเกินไปได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงพรูลมหายใจออกมา “เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด!”

  พอเห็นว่าคนผู้นี้ไม่ได้เอาแต่ใจตนเองเป็นที่ตั้ง สีหน้ามึนตึงของอาเจี่ยนก็คลายลง ครั้นแล้วจึงนำเสนอ “เช่นนั้น ก็ไปตระเวนรอบ ๆแถวนี้ดีกว่า ทิวทัศน์ของเขาฮวากั่วซานน้อยดูดีไม่ใช่ย่อย ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป ท่านยังมิได้ลืมเรื่องฝ้ายใช่หรือไม่ ? ท่านสามารถไปชมดูได้ด้วย! และสามารถเดินทางไปดูวันมะรืนนี้ได้เลย!”

        อาเจี่ยนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ขณะกล่าววาจาออกมายาวเหยียด เหนืออื่นใดที่เชาพูดไปก็เพื่อประโยคสุดท้ายนี่แหละ

       ชุยฉ้าวซีหน้าเปลี่ยนสีและกำลังจะเอ่ยโต้อีกสองสามคำ เหลียนฟางโจวแอบยิ้มในใจและรีบเอ่ย “ใช่แล้ว คุณชายชุย ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยจริง ๆ มีสถานที่สวยงามมากมายนักในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ท่านมาอยู่ที่นี่กับข้า ช่างสูญเสียช่วงเวลาในฤดูวสันต์ไปเปล่า ๆจริง ๆ!”

  “ฟางโจว เจ้าต้องการขับข้าไปใช่หรือไม่?” ชุยฉ้าวซีนึกผิดหวังในใจ จึงจับจ้องเหลียนฟางโจวแล้วเอ่ยถาม

ชุยฉ้าวซีช่วยเหลือเธอมามาก  เมื่อเหลียนฟางโจวเห็นเขาพูดมาเช่นนี้ ก็นึกโมโหในใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกผิดไม่รู้สึกเสียใจ เพียงแต่ในเวลาเดียวกันก็เธอก็นึกโมโหเขาขึ้นมาด้วย

    เขาเป็นอะไร?

        หากบอกว่าเขามีความรู้สึกที่ดีต่อเธอ เหลียนฟางโจวย่อมเชื่ออยู่แล้ว แต่หากกล่าวว่าเขายอมจ่ายยอมลงทุนทุ่มเทเพื่อให้ได้ความรู้สึกที่ดีนั้น จุดประสงค์มันคืออะไร เหลียนฟางโจวก็คร้านจะคิด

  สถานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอนที่จะให้เขาแต่งเธอเป็นภรรยาเอก เป็นอนุภรรยางั้นรึ? ขืนเขาทำขึ้นมา เธอย่อมดูถูกเขา!

        ถ้าเช่นนั้น อะไรคือจุดประสงค์ของการกระทำแต่ละอย่างของเขาเล่า?

        และที่มากไปกว่านั้น ยังมีซูซินเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่ของสกุลซูคั่นกลางอยู่อีกต่างหาก!

        เหลียนฟางโจวพยายามเจรจาอย่างอดทน “คุณชายชุย ท่านคิดมากเกินไปหรือเปล่า ไยข้าจะขับท่านได้เล่า? ท่านก็เห็นสภาพของบ้านข้า มันไม่เหมาะให้ท่านพักอยู่จริง ๆ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกเสียใจต่อท่านอย่างไรเล่า? ในเมื่อท่านพูดมาอย่างนั้นแล้ว ข้า ข้าก็ไม่มีอันใดจะพูด....”

  อาหญิงสามร้อนใจนัก หลังจากนั่งฟังมาสักพักจึงเอ่ยขึ้น “คุยกันแต่เรื่องที่ผ่านมาแล้ว มีอะไรดีรึ! คุณชายชุยก็มาแล้ว ทุกๆคนต่างไม่ใช่คนนอกใช่ไหม? ไม่ดีรึที่จะมีช่วงเวลาสนุกๆด้วยกันสักสองวัน? คุณชายชุย อย่าสนใจเลย จริงๆแล้วฟางโจวแค่กลัวจะทำผิดต่อท่านเท่านั้นแหละ ไม่มีความหมายเป็นอื่นแน่!”

        ข้ารู้ ข้ารู้!”เมื่อชุยฉ้าวซีได้ยินที่เหลียนฟางโจวกล่าวมา ความขุ่นข้องหมองใจทั้งมวลพลันปลาสนาการไปสิ้น ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฟางโจว อะไรที่เจ้าควรทำ ก็ทำไปเถิด ทำเหมือนว่าข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยก็แล้วกัน จริงๆ นะ เจ้าไม่ต้องดูแลข้าหรอก! ข้าไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เอาแต่กิน ดึ่ม เที่ยว ฟางโจว เจ้าอย่าได้ประเมินข้าต่ำไปนัก! ข้ามาหาเจ้ายามนี้ ทว่าความจริงแล้วข้ามีเรื่องสำคัญมากด้วย!”

  “เรื่องสำคัญมากรึ?”เหลียนฟางโจวนิ่งงันไป  หญิงสาวตวัดสายตามองชุยฉ้าวซีด้วยวามสงสัย แล้วก็ย้ายสายตามาที่อาเจี่ยนโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงเหลียนฟางโจวไม่เคยคิดว่าเขาจะมีเรื่องสำคัญมากที่มาเกี่ยวข้องกับเธอ

       อาเจี่ยนสั่นศีรษะน้อย ๆ บ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้

  ชุยฉ้าวซีสังเกตุเห็นเหลียนฟางโจวสื่อสารเข้าใจกันกับอาเจี่ยนโดยไม่ต้องพูด ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจมากพลางแค่นเสียงในใจ

  เขาคิดว่าเหตุผลที่พวกเขาเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด ก็เพราะทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน ชายหนุ่มคิดหาวิธีกันอาเจี่ยนออกไป เพื่อว่าเขาจะได้อยู่กับนางทุก ๆวันบ้าง.....

  ใช่แล้ว!”ชายหนุ่มเลิกคิ้วและยิ้มเอื้อนเอ่ยถูกต้อง ฟางโจวเจ้ามักมีความคิดดี ๆ  ส่วนข้าเองก็มีเงินเก็บในมือ ข้าอยากทำการค้า ทว่าไม่รู้ว่าจะทำอันใดดี! เหตุใดเจ้าไม่ช่วยข้าคิดเรื่องนี้บ้างเล่า!”

        ชุยฉ้าวซีพูดออกมาหน้าตาเฉย อาเจี่ยนมุมปากกระตุกสองที นื่คืออันใด? มีพ่อบ้านมากความสามารถนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายใต้ตระกูลชุย จะไม่มีใครที่อยากทำการค้าบ้างรึ? ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีแผนการไม่ซื่ออันใดอยู่ในใจ!

  ส่วนอาหญิงสามยามนี้มีความรู้สึกอย่างไรล่ะ พอได้ยินหัวข้อสนทนาเข้า นางก็เริ่มเบื่อขึ้นมาทันที พลางอ้าปากหาวแล้วลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “พวกท่านก็คุยกันไปก่อนแล้วกัน ข้าจะไปทำอาหารเสียที! เอ๋..เช่อเอ๋อร์น่าจะใกล้กลับมาแล้วนี่นา!”

       “ข้าจะไปด้วย!”เหลียนฟางฉิงเรียกเสี่ยวฮุยและตามอาหญิงสามไป ทันทีที่พี่สาวกลับมา เปี่ยวเกอผู้งดงามก็หยุดพูดคุยกับนาง นางเองก็พบว่าเรื่องที่สนทนากันยามนี้ดูน่าเบื่อ และเป็นเรื่องที่นางไม่ชอบเอาเสียเลย

       เหลียนฟางโจวลุกขึ้นแล้วรีบออกไปหารือกับอาหญิงสามว่าจะทำอะไรกินเป็นมื้อเย็น ครั้นแล้วก็หันกลับมานั่งลง พลางแย้มยิ้มเอ่ยถาม “ท่านต้องการทำการค้ารึ? และไม่รู้ว่าจะทำอันใดรึ?”

        ดูคล้ายนางกำลังสอบถามว่าที่เขาเกริ่นมานั้นมันจริงแท้แค่ไหน หรือแค่พูดขำๆ

       “ใช่ ใช่แล้วล่ะ!”ชุยฉ้าวซีพยักหน้าอย่างจริงจัง และรีบเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฟางโจว ข้าเหนื่อยกับการดูแลการค้าที่เคร่งเครียดจริงจัง ข้าอยากทำอะไรที่ต่างจากเดิมบ้าง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมีวิธีดี ๆ ใช่ไหม?”

  เหลียนฟางโจวไม่พูดอันใด เอาแต่จ้บจ้องเขาเงียบ ๆ

       เหลียนเจ๋อเอ่ยอย่างเย็นชา “คุณชายชุย พี่สาวข้าไหนเลยจะมีความคิดที่ไม่ซื่อสัตย์อันใด คุณชายชุยคิดเองทำเองดีกว่ากระมัง!”

        “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” ชุยฉ้าวซีตระหนักว่าเขาพูดไม่ทันคิดให้ดี ชายหนุ่มจึงหัวเราะแล้วรีบพูดแก้  “ฟางโจว เจ้าเข้าใจข้า ใช่หรือไม่? จริง ๆแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น! ข้าคิดนะ ฟางโจว เจ้าแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญ เจ้าต้องมีความคิดอันน่าอัศจรรย์ที่คนธรรมดาสามัญคาดไม่ถึงเป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงมาขอคำแนะนำจากเจ้าไง!”

  ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น