วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 268 ความคิดบรรเจิด 2

            ความจริง ยามที่เขาเปิดปากเล่ามา ใจของเหลียนฟางโจวให้รู้สึกวูบไหว เธอมีความคิดดี ๆ อยู่ในใจจริง ๆนั่นแหละ ซึ่งเดิมทีคิดว่าจะวางแผนทำหลังจากมีรายได้เข้ามาอย่างมหาศาลแล้ว ทว่าพอลองตรึกตรองดูอีกที การได้ร่วมหุ้นทำกับชุยฉ้าวซีก็นับว่าเป็นสิ่งดี แต่หากจะให้ดีที่สุด ควรให้ทางเปี่ยวเจี่ยมาร่วมลงทุนด้วย น่าจะดีกว่า

       แม้ว่าตอนนี้เธอยังไม่มีเงินตำลึงพอ ทว่าในเมื่อเธอเป็นคนออกหัวคิด ลำพังด้วยเหตุผลนี้ เธอย่อมมีสิทธิ์ในการครอบครองหุ้นเต็มจำนวน และไม่รู้สึกว่าเป็นการไม่สมควรหรือเป็นการเอาเปรียบแต่อย่างใด!

  ข้าไม่รู้ว่า ท่านมีเงินลงทุนสักเท่าไร?”เหลียนฟางโจวถามด้วยรอยยิ้ม

    “เงินน่ะไม่ใช่ปัญหาเลย!” ชุยฉ้าวซีได้ยินนางถามมาเช่นนี้ ก็รู้สึกอยากโอ้อวด ดวงตาพลันเป็นประกายวาววับ แล้วเอ่ยอย่างใจกว้างพร้อมดวงหน้าเริงร่า “ฟางโจว เจ้าอยากได้เท่าใดก็บอกมาเลย ข้ามีให้ไม่อั้น!”

  อาเจี่ยนอดเหลือบตามองเหลียนฟางโจวไม่ได้ และไม่ส่งเสียงใดๆ

       เหลียนฟางโจวครุ่นคิดสักพัก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ท่านพูดจริงๆรึ! ข้ามีความคิดก็จริง ทว่ามันก็เป็นการโยนเงินมหาศาลทิ้งลงไปในนั้นด้วยนะ! ท่านแน่ใจจริง ๆรึว่าอยากฟังน่ะ!!?”

  “ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!”ชุยฉ้าวซีขบคิดสักพักก่อนพยักหน้า เขารู้ว่าเหลียนฟางโจวไม่ใช่คนใจเสาะเปราะบาง นางยังกล้าเอ่ยปากขอยืมเงินตั้งหนึ่งหมื่นตำลึงจากเปี่ยวเจี่ยของนางเลย หากนางบอกว่ามาก มันย่อมต้องมากแน่

       อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่ายิ่งฟางโจวพูดออกมาเท่าไร เขาก็ยิ่งไว้ใจและเห็นนางเป็นดั่งมิตรสหายคนหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้สึกพอใจยิ่งนัก

  ชายหนุ่มระบายยิ้ม แล้วพูดเสริมขึ้นอีก “จะเจ็ดหมื่น หรือแปดหมื่นตำลึง หรือกระทั่งแสนตำลึงก็ไม่ใช่ปัญหาเลย!”

  ชุยอวี้ตกใจเมื่อได้ยินเข้า พลางหันไปจ้องมองเจ้านายอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตัวเอง

       ใจของเหลียนฟางโจวเต้นกระตุก ครั้นแล้วหญิงสาวจึงแย้มยิ้ม “ท่านลองเดาดูสิ จริง ๆแล้วท่านไม่อยากใช้เงินจนหมดเกลี้ยงหรอก ! ข้าคิดว่าจำเป็นต้องใช้เงินถึงหนึ่งแสนตำลึงแน่นอน”

       ชุยอวี้กระพริบตาปริบๆ เขาย้ายสายตาไปมองเหลียนฟางโจว และตะลึงงันไปอีกครั้ง

       อาเจี่ยนและเหลียนเจ๋อก็นิ่งอึ้งไปด้วย นางเปิดปากมาก็จะเอาเงินก้อนมหาศาลเช่นนั้น นี่จะทำอะไรกัน?

        หนึ่งแสนตำลึงเป็นอย่างน้อย......

  “พูดสิ พูดมาเถิด!”เพียงชุยฉ้าวซีได้แต่ถูมือถูไม้อย่างใจจดใจจ่อ แล้วเอ่ยแย้มยิ้ม “ดูท่าฟางโจวต้องคิดอะไรดีๆออกแน่เลย! พูดมาเร็ว ๆ เข้าเถอะ!”

  เหลียนฟางโจวหัวเราะ “ข้าวางแผนจะซื้อสถานที่ที่เงียบสงบที่ติดภูเขาและแหล่งน้ำ มีที่ราบพร้อมเนินเรียบ ๆ และมีทัศนียภาพงดงามในเมืองชวงหลิว เพื่อสร้างสวนแห่งหนึ่ง

  ชุยอวี้กลอกตาไปหนึ่งรอบ สร้างสวนเนี่ยนะ กล้าพูดว่าใช้เงินหนึ่งแสนตำลึง ช่างคุยโม้อย่างไม่ละอายเลยจริง ๆ

       ชุยฉ้าวซีคิดว่าถ้อยคำที่เหลียนฟางโจวพูดหาได้มีอันใดไม่ถูกต้อง และถามกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ฟางโจวบอกว่าสร้างสวน เช่นนั้นก็สร้างสวน แล้วสวนที่จะสร้างหน้าตาเป็นอย่างไรเล่า?”

       เหลียนฟางโจวเอ่ยแย้มยิ้ม “เมืองช่วงหลิวตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง เป็นเมืองที่คึกคักเป็นที่นิยม มีพ่อค้าใหญ่ที่ร่ำรวยอู้ฟู่นับไม่ถ้วนทำการค้าระดับใหญ่ยักษ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สวนนี้คือสถานที่สำหรับให้พวกเขาเชิญมิตรสหายมาเป็นเพื่อนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและหาอะไรสนุกๆทำกัน ข้าคิดว่าในสวนควรมีภูเขาและแหล่งน้ำ เพื่อสร้างบรรยากาศอันเงียบสงบ เช่นมีทะเลสาบสำหรับล่องเรือตกปลา หากมีน้ำพุร้อนด้วยจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่! นอกจากนี้ควรมีสนามแข่งม้า ลานยิงธนูสำหรับยิงธนูบนหลังม้าเพื่อเพิ่มความบันเทิง แล้วก็ ควรมีลานให้เล่นชู่จู(กีฬาฟุตบอลของจีนโบราณ) ที่มีที่นั่งโดยรอบให้คนดู เป็นที่ ๆ พวกเขาสามารถออกมาเล่นเองก็ดี สั่งให้บ่าวไพร่ให้ตั้งกลุ่มมาเล่นเป็นกลุ่มก็ดี มาเฝ้าดูการแข่งขันก็ได้  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเวทีสำหรับดูการแสดงงิ้ว นี่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อีกอย่างต้องมีลำธารที่คดเคี้ยวฉ่ำเย็นที่เหล่าบัณฑิต เหล่ากวีชื่นชอบ อันนี้ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องมี...อย่างแน่นอน เพิ่มเติมขึ้นมาอีกก็คือ ควรมีศาลาจำลองที่มีชื่อเสียงหลากหลายแห่ง หอคอย และสะพาน ซึ่งถูกสร้างและทาสีให้งดงาม อยู่ติดริมน้ำจากเหนือจรดใต้ รวมทั้งยังต้องมีป่าเหมย สวนดอกโบตั๋น ป่าดอกท้อบาน สวนดอกพุดตาน สวนผลไม้มากมาย และอื่น ๆ  ที่ๆท่านจะรื่นรมย์กับดอกไม้ในสี่ฤดู  ในสวนยังต้องมีสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ มีนกเซียนเฮ่อ(กระเรียนหัวแดง) นกยูง กวางดาว และนกน้ำสวยงามหลากหลายสายพันธุ์ มีปลาทอง ปลาหลี่ทุกชนิด และปลาอื่น ๆ  และสัตว์ตัวเล็กๆที่งดงามและเชื่อง มีโรงเตี๊ยมสะดวกสบายอย่างที่สุด และมีอาหารสเลิศดีที่สุด...สรุปสั้นๆ ผู้คนต่างหาความสนุกสนานความบันเทิงภายในนั้นได้ !ท่านคิดว่าอย่างไร?”

  สรุปสั้น ๆว่าสิ่งที่นางต้องการคือสวนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจที่แท้จริง สวนนี้ไม่ใช่ที่ ๆ คนธรรมดาสามัญสามารถเข้าไปได้  อยู่ในนั้นหนึ่งวัน ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างน้อยหลายร้อยตำลึงเข้าไปแล้ว!

       หลังจากเหลียนฟางโจวกล่าวจบ ผ่านมาสักพัก ก็ไม่ได้ยินคำตอบใด ๆจากชุยฉ้าวซีเสียที

       นางพลันรู้สึกไม่สบายใจ สายตาหญิงสาวกวาดมองและอดนึ่งงันไปไม่ได้ กลายเป็นว่าชุยฉ้าวซีกำลังทำหน้าตกตระลึงพรึงเพริด ส่วนอาเจี่ยน เหลียนเจ๋อ รวมทั้งชุยอวี้ก็มองมาตาค้าง

       “ข้า ที่ข้าพูดมามีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?”เหลียนฟางโจวขยับคอเสื้อ

       “ที่เจ้าคิดขึ้นมาได้เนี่ย เป็นงานหินอย่างแท้จริง!” อาเจี่ยนถอนหายใจและไม่พูดอะไรต่อ

    ชุยฉ้าวซีก็ถอนหายใจอีกคนและพูดว่า “ฟางโจว เจ้าช่างเก่งกาจจริง ๆ ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าหมายความแล้ว ตามที่เจ้าจินตนาการไว้ สองแสนตำลึงอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ! อย่างไรก็ตาม พ่อค้าผู้มั่งคั่งมากมายเดินทางผ่านไปและผ่านมาในเมืองชวงหลิวก็นับว่ามากขึ้นทุกวัน คนท้องถิ่นที่นั่นก็ร่ำรวยเป็นส่วนใหญ่ ทันทีที่สวนเช่นนั้นถูกสร้างขึ้น เงินทองจะยิ่งไหลมาเทมาดังสายน้ำจริงๆเสียด้วย!”

        ชุยฉ้าวซีเกิดมาร่ำรวย จึงเข้าใจความปรารถนาของคนร่ำรวยมั่งคั่งดี ตราบใดที่ทำให้เจ้านายเหล่านั้นมีความสนุกสนานบันเทิงเริงใจได้  จะเสียเงินเสียทองเท่าไรพวกเขาก็ไม่สน!

       ตามวิสัยทัศน์ของเหลียนฟางโจว นอกจากในสวนนั่นจะมีทุกสิ่งทุกอย่างครบครันแล้ว สิ่งที่ต้องทุ่มเทใส่ใจคือ”ประณีต” กับคำว่า “เลอเลิศ” สองคำนี้ ยิ่งต้องระวังให้จงหนัก หากทำได้แล้ว ก็อย่าได้กังวลเลยว่าจะไม่มีใครมาใช้บริการ

  เหลียนฟางโจวพยักหน้า “หนึ่งแสนตำลึงข้าคิดว่าไม่พอหรอก จะดีกว่าไหม ลองไปถามเปี่ยวเจี่ยและสามีของนาง ว่าพวกเขาสนใจหรือไม่? อีกอย่าง ข้าไม่อยากให้ความคิดนี้เป็นหมัน และต้องนับข้าเข้าเป็นหุ้นส่วนด้วย ท่านออกเงินไปก่อน แล้วจดเงินที่ข้ายืมจากท่านเอาไว้  ภายหลังข้าจะจ่ายคืนท่านโดยตรงจากบัญชีที่บันทึกไว้  รวมทั้งดอกเบี้ย”

  ชุยฉ้าวซีหัวเราะรีบเอ่ย “เจ้าออกความคิดที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินลงทุนหรอก อีกทั้งที่พูดว่าดอกเบี้ยอะไรนั่น ข้าไม่คิดดอกเบี้ยหรอก! เราไปหาญาติข้าหลังจากนี้อีกสองสามวันเถอะ ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะสนใจด้วย!”

        เหลียนฟางโจวระบายยิ้ม “ท่านเดินหน้าไปก่อนเถิด ตอนนี้ข้าอยากปลูกฝ้ายน่ะ!”

        “ด้วยสวนเช่นนั้น ยังมีฝ้ายแบบใดกันที่จะปลูกอีกเล่า!” ชุยฉ้าวซีขบขัน แล้วพอพูดถึงเรื่องสวนอีกครั้ง ยิ่งพูด ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว เขาอยากให้มีสวนเช่นนั้นออกมาเดี๋ยวนี้เลย จะได้เข้าไปเที่ยวเล่นให้สนุก

       แม้ชุยฉ้าวซีจะเป็นคนรักความสนุก เขาก็มีความคิดเลอเลิศด้วย คนทั้งหลายต่างหารือกันและหยุดหารือเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อเย็น พวกเขาเตือนเหลียนฟางโจวด้วยหน้าตาจริงจังว่าไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าใคร ก่อนสวนของนั้นจะคลอดออกมา หากข่าวแพร่สะพัดออกไป แม้ว่ามีคนไม่กี่คนที่มีแหล่งเงินทุนพอจะทำเลียนแบบได้ ทว่าการไม่เหลือความลึกลับที่อุบเอาไว้ ก็อาจไม่สามารถเรียกความตื่นเต้นประหลาดใจจากผู้คนได้

       เหลียนฟางโจวย่อมแย้มยิ้มแล้วตอบตกลง หญิงสาวอดปรายตามองชุยฉ้าวซีอย่างลับ ๆ ไม่ได้ ในใจยังไม่สามารถบอกได้ว่าเขามีพรสวรรค์ด้านการค้ามากหรือไม่! ถึงแม้จะกำเนิดจากตระกูลใหญ่ ลงท้ายอาจไม่เหมือนกันก็ได้

       หลังมื้อเย็น หลังทุกคนต่างนั่งคุยสัพเพเหระกันมาได้สักพัก เหลียนฟางโจวก็เร่งเร้าให้บ่าวของชุยฉ้าวซีพาเจ้านายไปพักผ่อนที่บ้านจางลี่เจิ้ง

       หญิงสาวไปแจ้งจางลี่เจิ้งก่อนมื้ออาหารเย็นแล้ว ซึ่งครอบครัวเขาก็ปลาบปลื้มใจดีใจกันยกใหญ่

    ชุยฉ้าวซีไม่มีทางเลือกจำต้องสั่งชุยอวี้ให้เตรียมของขวัญ และสั่งให้ขับรถไป อาเจี่ยนกับเหลียนเจ๋อก็ตามไปส่งพวกเขาด้วย

  ครอบครัวจางลี่เจิ้งกล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่น ชุยฉ้าวซีบอกว่าไม่จำเป็นหลังจากนั่งในห้องโถง ดื่มน้ำชาถ้วยหนึ่งแล้ว เขาก็ขอกลับห้องพักโดยอ้างว่าง่วงนอน

  เขายังคงพักในห้องเดิมที่เขาเคยมาพักเมื่อคราวก่อน  ส่วนที่นอนและข้าวของอื่น ๆยังคงขนเอามาจากรถม้า

       ดวงตาของหนิวซื่อทอดมองข้าวของเดียวกันกับที่ถูกขนเข้ามาในห้องปีกข้างด้วยดวงตาลุกวาว นางแอบลอบคำนวณในใจ ก็พบว่าเป็นของดีทั้งหมด ต่อให้เอาไปขาย ย่อมขายได้เงินเป็นอันมาก...

    ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น