วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 269 ซูซินเอ๋อร์ไล่ตามมา

          วันต่อมา เหลียนฟางโจว อาเจี่ยน เหลียนเจ๋อ และคนอื่นๆ ตั้งใจพาชุยฉ้าวซีไปเที่ยวทุก ๆ ที่ตามที่เขาอยากไป โดยให้เวลามากที่สุดไม่เกินหนึ่งหรือสองวัน ก่อนส่งเขากลับ

       ใครจะรู้เล่า วันนี้ทุกๆคนเพิ่งกินมื้อเช้ากันเสร็จ ครั้นแล้วก็ได้ยินเสียงเด็กคนหนึ่งตะโกนมาจากด้านนอก “พี่ฟางโจว พี่ฟางโจว บ้านท่านมีแขกมาหาแน่ะ!”

  ยามนี้ เสียงรถม้าที่วิ่งมาหยุดลง เหลียนฟางโจวและทุกๆคนต่างนิ่งอึ้งไป

  “แขกรึ?”เหลียนเจ๋อยิ้มหยัน “บ้านเรามีแขกมากมายตั้งแต่เมื่อไรกัน!”

  ทุกๆคนลุกขึ้นและรีบรุดออกไป เพียงแวบแรกก็เห็นแขกสวมหมวกมีผ้าโปร่งคลุมหน้า แต่งกายด้วยเสื้อคอป้ายทอลายดอกไห่ถังสีแดง ปักลายผีเสื้อล้อดอกไม้ และกระโปรงจับจีบสีชมพูปักลายดอกเหมย มีสาวใช้ประจำรถม้าคอยประคอง เหลียนฟางโจวร้องเอ็ดอึงในใจ ใบหน้าเปลี่ยนสี

  ใบหน้าชุยฉ้าวซีก็เปลี่ยนสีไม่ต่างจากหญิงสาว

       ชุยอวี้ตะลึงงันและโพล่งออกมา “เปี่ยว เปี่ยวเสี่ยวเจ้(คุณหนูผู้เป็นญาติฝ่ายมารดา)!”

  

       “ใคร? ใครรึ? คนไหนเปี่ยวเสี่ยวเจ้!”อาหญิงสามเปลี่ยนมามองสำรวจคุณหนูผู้นั้น ขณะถามไปด้วย ดวงตานางไม่ละไปจากเอวอ้อนแอ้นดังกิ่งหลิวของคุณหนูผู้นั้น ผู้ซึ่งมีท่วงท่าที่ภูมิฐานสง่างาม สวมใส่อาภรณ์หรูหราราคาแพง แม้ไม่อาจเห็นปิ่นประดับบนมวยผม ทว่าหยกชั้นดีที่ห้อยอยู่ที่เอว และกำไลหยกสีเขียวใสกระจ่างคล้ายหยกเฟ่ยชุย[1]บนข้อมือ ต่อให้คนที่ไม่ค่อยมีหัวการค้า ย่อมรู้ว่ามูลค่าของมันต้องสูงแน่

  อาเจี่ยนตวัดสายตามองเหลียนฟางโจว ผู้ซึ่งหน้าซีดไปนิดหนึ่ง ครั้นแล้วก็หันมากระซิบบอกอาหญิงสาม “คุณหนูใหญ่ของสกุลซู  เป็นน้องสาวสามีของเปี่ยวเจี่ย(ญาติผู้พี่ทางสายมารดา)ของฟางโจวจากสกุลฟาง”

       “ที่แท้ก็เป็นคุณหนูของสกุลซูนั่นเอง! ไม่สงสัยเลยว่านางจะเป็นโฉมสะคราญผู้งดงามดุจเทพธิดาปานนี้! “ อาหญิงสามพลันตระหนักชัดทันใด

       อาเจี่ยนอดคิ้วขมวดนิด ๆไม่ได้ คุณหนูสกุลซูเป็นคนเจ้าอารมณ์ อาหญิงสามใช้น้ำเสียงไม่เพียงผ่อนคลาย ทั้งยังเบิกบานยินดีด้วย เห็นได้ชัดว่านางนึกว่าในเมื่อสกุลซูเต็มใจให้เหลียนฟางโจวยืมเงิน เช่นนั้นแล้วคนของสกุลซูกับคนบ้านนางก็ต้องเป็นมิตรที่ดีต่อกันแน่ อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเป็นผู้มีนิสัยเอาแต่ใจ แถมยังเจ้าอารมณ์แบบนั้น---

  “อาหญิงสาม อารมณ์ของคุณหนูซูไม่เบาเลยนะ เพื่อเห็นแก่หน้าญาติ เราควรอยู่ให้ห่างจากนางดีกว่า และให้ฟางโจวจัดการเรื่องนี้เถิด!” อาเจี่ยนถอนหายใจเบา ๆ

       “อ๋า? อ้อ อ้อ!”อาหญิงสามผงกศีรษะ ทว่าดวงตายังไม่ละไปจากซูซินเอ๋อร์ สายตาของนางเปี่ยมด้วยความอิจฉาและรู้สึกแปลกตากับลักษณะท่าทางแบบคุณหนูลูกเศรษฐี

       อาเจี่ยนส่ายหน้าน้อย ๆ ครั้นแล้วก็เลิกส่งเสียง

       เหลียนฟาโจวนึกบ่นเงียบ ๆในใจ และเอ่ยปากร้องทัก “คุณหนูซู!” ครั้นแล้วก็เดินเข้าไปทักทาย

       แต่ซูซินเอ๋อร์ไม่แม้จะชายตาแลอีกฝ่ายเลย หนำซ้ำก็ไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายทักทายอีกต่าง นางเพียงถอดหมวกผ้าคลุมหน้าออกอย่างอ่อนช้อยนุ่มนวลแล้วส่งให้สาวใช้ข้างกาย ครั้นแล้วก็เดินไปหาชุยฉ้าวซีด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ พลางเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน “เปี่ยวเกอ!(ญาติชายสายมารดา) เปี่ยวเกอ! ท่านอยู่ที่นี่จริงๆด้วย? ให้ข้าตามหาเสียเหนื่อยเลย!”

       ดวงตาชุยฉ้าวซีปรากฏประกายเรืองวาบสายหนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ พลางเบี่ยงตัวหลบมือของซูซินเอ๋อร์ซึ่งพยายามเข้ามาเกาะแขน ครั้นแล้วจึงขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”

  ใบหน้างดงามน่ารักของซูซินเอ๋อร์ย้อมเป็นสีแดงเรื่อ ๆ ช่างดูน่ารักน่าสงสารเสียจริง หญิงสาวเอียงคอน้อย ๆทำเป็นเสดึงไข่มุกขนาดหัวแม่โป้งบนพู่ห้อยแกว่งเล่นเบา ๆ  ซึ่งยิ่งเพิ่มเสน่ห์ขึ้นมาอีกมากโข

       “เปี่ยวเกอก็ แน่นอนข้าก็มาหาท่านไงเล่า!” ซูซินเอ๋อรืทำปากคว่ำได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู แล้วกวาดสายตามองผ่านๆ พลางนิ่วหน้าด้วยความรังเกียจ ครั้นแล้วจึงเอ่ยขึ้น “เปี่ยวเกอ ท่านมาเจอสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร? อา! ทั้งสกปรกทั้งรกรุงรัง สู้คอกม้าบ้านเรายังไม่ได้เลย! เปี่ยวเกอ ไฉนเราไม่กลับกันสักทีเล่า!”

  ยามที่ซูซินเอ๋อร์เอ่ยวาจาเหล่านี้ น้ำเสียงคล้ายเสียงนกหวงอิง(นกขมิ้นท้ายทอยดำ) ที่แหลมใสดังกังวาน หญิงสาวไม่ระวังคำพูดเลยสักนิด คล้ายเคยชินกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นประจำ การเอ่ยถ้อยคำเยี่ยงนี้ สำหรับนางกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่กระทำไปตามสัญชาติญาณ!

        ส่วนเหลียนฟางโจวและคนอื่น ๆ  นางไม่เหลือบแลแม้แต่หางตา

       สายตาที่เปี่ยมด้วยความอิจฉา ซ้ำยังเจือความนับถือของอาหญิงสาม ที่คอยจับจ้องไปที่ซูซินเอ๋อร์ ได้เปลี่ยนไปในที่สุด ไม่เพียงรู้สึกโมโห นางยังจะอ้าปากพูดอะไรออกมาอย่างอดกลั้นไม่ไหว

  อาเจี่ยนซึ่งตามประกบอาหญิงสามอยู่ข้าง ๆ เฝ้ามองปฏิกิริยาของนาง ชายหนุ่มหรี่ตาแคบลงเมื่อเห็นแบบนี้ พลางเอ่ยกระซิบ “อาหญิงสาม อย่าทำให้ฟางโจวลำบากเลยนะ”

แม้ถ้อยคำของซูซินเอ๋อร์จะเอ่ยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ทำร้ายความรู้สึกคนได้จริง ๆ แต่เหนืออื่นใด นางคือน้องสามีของฟางฉิง! และยังเป็นบุตรสาวของสกุลซูด้วย!

  อาหญิงสามแค่นเสียงเบา ๆ นางสะกดกลั้นไม่ให้คำพูดหลุดออกจากปาก แล้วหันหลังกลับเดินเข้าเรือนไป

  เหลียนเจ๋อเองก็รู้สึกเบื่อหน่าย  เลยไปหาอะไรหย่อนใจที่ลานหลังบ้านทำ

  เหลียนฟางโจวเพียงทำเป็นไม่ได้ยินวาจาเหล่านั้น ทว่าเธอก็ไม่ก้าวเข้าไปหา คุณหนูซูมาเพราะชุยฉ้าวซี ดูท่าจะไม่สนท่าทีของเจ้าบ้านอย่างเธอ เช่นนั้น..ก็ปล่อยให้ชุยฉ้าวซีแก้ปัญหาเอาเองเถิด!

  สีหน้าชุยฉ้าวซีหนักอึ้ง ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย็นชา “พูดออกมาได้อย่างไร?”

  ซูซินเอ๋อร์กัดริมฝีปากอย่างเจ็บช้ำ และไม่เห็นด้วย “ก็ข้าพูดความจริงนี่! ที่นี่สกปรก  แม้แต่ที่จะวางเท้าก็ยังไม่มี! กลิ่นก็เหม็นมาก! เปี่ยวเกอฐานะของท่านอยู่ในระดับไหน ไหนเลยสถานที่นี้จะเหมาะกับเปี่ยวเกอเล่า? เปี่ยวเกอ เราไปกันเถิดนะ ตกลงนะ! ข้าไม่อยากอยู่แถวนี้แล้ว!”

  “อยากไปก็ไปเองสิ !  ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาเสียหน่อย!” ใบหน้าเปี่ยมโทสะของชุยฉ้าวซีดขาว ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้ากล้ามากนะ ถึงกับแอบตามมาที่นี่!”

     “หากข้าไม่ตามเปี่ยวเกอมา ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่มาสถานที่เช่นนี้หรอก!” ซูซินเอ๋อร์เหยียดมุมปาก ในใจรู้สึกแค้นเคือง หญิงสาวเหลือบตาที่ซ่อนความน้อยใจมองอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าหญิงสาวพลันเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง นางทำท่าเขินอายใส่ชุยฉ้าวซี พลางเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย “เปี่ยวเกอ ท่านใส่ใจข้าใช่หรือไม่? ท่าน ท่านวางใจเถิด ข้าเดินทางบนถนนสายหลักมาตลอดทาง ไม่เป็นไรเลย ข้าเป็นถึงคุณหนูใหญ่สกุลซู  จะมีใครคนไหนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือกล้าหยาบคายใส่ข้าเล่า? ”

  กล่าวจบ นางก็ขอร้องให้ชุยฉ้าวซีกลับไปกับนางอีก

  ชุยฉ้าวซีได้ยินที่นางพูดเช่นนี้ ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเข้าใจตนเองผิด ชายหนุ่มพลันรู้สึกอับจนหนทาง หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จะอธิบายก็ไม่ได้ ต่อหน้าเหลียนฟางโจวและคนอื่นๆ  เขารู้สึกกระดากใจและอับอาย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

  เหลียนฟางโจวรู้สึกว่าวาจาของซูซินเอ๋อร์ ฟังไม่เข้าหูมากขึ้นทุกที ส่วนชุยฉ้าวซีก็ได้แต่ทำสีหน้าเย็นชาและไม่ทำอะไรอื่น ช่างน่าเบื่อหน่ายนักที่เอาแต่คุมเชิงกันอยู่อย่างนี้ หญิงสาวจึงถอนหายใจ พลางเอ่ยเสียงอ่อน “คุณชายชุย  แถบชนบทของพวกข้ามันก็ดูไม่เจริญหูเจริญตา ไม่ใช่ที่ ๆ ท่านและคุณหนูซูจะอยู่ได้หรอก ท่านควรกลับไปก่อนเถิด!”

       “ใช่แล้ว ใช่แล้ว เปี่ยวเกอ เรากลับกันเถิดนะ!” ซูซินเอ๋อร์เลิกคิ้วพลางแย้มยิ้ม ครั้นแล้วนางก็ตวัดสายตามองเหลียนฟางโจว พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้ “อา ข้าจำได้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร! เจ้าเป็นน้องสาวญาติข้าใช่หรือไม่?นี่บ้านเจ้ารึ ช่างดูโทรมจริง ๆ!”

        “ใช่...” เหลียนฟางโจวยิ้มบาง กับคุณหนูผู้สูงส่ง เป็นสตรีที่น่ารักราวกับสวรรค์สรรสร้างแบบนี้ นางเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วยเลยจริง ๆ

  “ซูซินเอ๋อร์!”ชุยฉ้าวซีสูดหายใจสองเฮือก แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ไปกันได้แล้ว!”

  เขาทอดมองเหลียนฟางโจวด้วยสายตาขออภัย พลางส่งยิ้มขื่น หากเขาอยู่ต่อ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าซูซินเอ๋อร์จะพูดอะไรออกมาอีกบ้าง? นอกจากนี้ เขายังรู้จักนิสัยซูซินเอ๋อร์ดี เขาไม่สนใจนางอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่อาจทำความลำบากใจให้เหลียนฟางโจวได้

       “อ้อ เอาสิ!”ซูซินเอ๋อร์บังเกิดความยินดีปรีดานัก นางส่งยิ้มเจิดจ้าให้เขา

     “เดินทางดีๆ นะ!”เหลียนฟางโจวผงกศีรษะยิ้มให้พวกเขานิดหนึ่ง

    ...

[1]หยกเฟ่ยชุย  หรือหยกชนิดเจไดต์(Jadeite)  เป็นหยก ที่มีคุณภาพและราคาสูง หรือที่เรียกว่า หยกพม่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น