วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 270 ขี้หึงอย่างหนัก

        เหลียนฟางฉิงไม่เต็มใจอยู่บ้างที่ชุยฉ้าวซีบอกว่ากำลังจะกลับไป นางจึงพูดขึ้น “เปี่ยวเกอผู้งดงาม เดินทางระวังด้วย หากมีเวลาก็มาเยี่ยมข้าบ้างนะเจ้าคะ!”

        ชุยฉ้าวซีชอบที่เด็กน้อยพูดยิ่งนัก เขาฟังแล้วรื่นหูมาก ชายหนุ่มจึงพยักหน้ายิ้มให้ “ได้สิ ครั้งหน้าข้าจะมาอีก!”

  ซูซินเอ๋อร์ผู้ซึ่งกำลังจะหันกายเดินจากไป หยุดเท้าลงฉับ นางหันขวับมาจ้องหน้าเหลียนฟางฉิงอย่างเย็นชา “เมื่อกี้เจ้าเรียกเปี่ยวเกอของเจ้าว่าอะไรนะ? เปี่ยวเกอผู้งดงามรึ? แล้วยังจะให้เขามาหาอีกด้วยรึ?”

        เหลียนฟางฉิงไม่ชอบซูซินเอ๋อร์อย่างหนัก เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาพูดกับนางอย่างดุดัน นางจึงยืดอกและตะโกนใส่อีกฝ่าย “ข้าแค่ชอบให้เปี่ยวเกอผู้งดงามของข้ามาที่บ้านข้า ข้าไม่ชอบที่เจ้ามาด้วย!”

  “ฉิงเอ๋อร์!”เหลียนฟางโจวมองดูแล้วก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่  หญิงสาวเอ็ดอึงในใจ แล้วรีบสาวเท้าเข้าไปดึงตัวน้องสาวให้อยู่เฉย ๆไว้

  “เจ้าพูดอะไรของเจ้า!”ซูซินเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสี พลางตวาดลั่น ใบหน้าซีดขาวจ้องหน้าเหลียนฟางฉิง อยากเข้าไปดึงทึ้งอีกฝ่ายนัก ครั้นแล้วก็ตวาดขึ้นอีก “เจ้าบอกว่าชอบเปี่ยวเกอรึ!  เจ้ามันก็แค่เด็กบ้านนอกตัวเล็กๆ เจ้านับเป็นอะไรได้ บังอาจมาชอบเปี่ยวเกอของข้ารึ!”

        ทันทีที่ซูซินเอ๋อร์พูดจบ เกือบทุกคนพากันนิ่งอึ้งพูดไม่ออก ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

       มีเพียงชุยฉ้าวซีคนเดียวทีใบหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำสลับซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริกเปล่งเสียงไม่ออก

       “หุบปากเดี๋ยวนี้!”ชุยฉ้าวซีโทสะท่วมท้น พลันกระชากแขนซูซินเอ๋อร์อย่างแรง แล้วพาเดินออกไปท่าเดียว ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น “ซูซินเอ๋อร์ ได้ เจ้าแน่มาก!”

        ซูซินเอ๋อร์ยังปฏิเสธไม่ยอมไป ขณะดิ้นรนเหลียวหลังกลับมาบ่อยครั้ง พลางร้องตะโกนไปด้วย “ปล่อยข้านะ! เปี่ยวเกอ ! ปล่อยข้า! หากวันนี้ข้าไม่ได้สั่งสอนนังเด็กหญิงตัวเล็ก ๆนั่น ข้าก็ไม่ใช่คนแซ่ซูแล้ว! นางนับเป็นตัวอะไร กล้ามาแย่งข้า...”

       สีหน้าเหลียนฟางโจวดำคล้ำลงในฉับพลัน

       “คุณหนูใหญ่ผู้นี้หน้าตางดงาม แต่ดุชะมัด ข้าไม่ชอบนางเลย!” เหลียนฟางฉิงไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เข้าใจชัดแต่ว่านางกำลังด่าตน ปากน้อยๆของนางเม้มสนิท มีน้ำตาเอ่อคลอในหน่วยตา เด็กน้อยเศร้าเสียใจ “พี่ใหญ่ ข้าจะไม่ยุ่งกับนางอีก ไยนางถึงได้ทำท่าดุร้ายใส่ข้าปานนี้ด้วย!”

  เหลียนฟางโจวสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวล “เราอย่าไปสนนางเลยนะ ! ฉิงเอ๋อร์ของข้าดีที่สุดเลย!”ว่าแล้วก็ให้เหลียนเจ๋อพานางกลับเข้าเรือนไป

  

       เหลียนฟางฉิงเมื่อได้ยินพี่สาวตนเอ่ยออกมาเช่นนี้ จึงเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

       เหลียนฟางโจวเดินไล่หลังตามมาสองสามก้าว ครั้นแล้วก็ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “คุณหนูซู!

       ซูซินเอ๋อร์ถูกบังคับลากขึ้นรถโดยสาวใช้ชรา ที่ได้รับคำสั่งจากชุยฉ้าวซี นางหันมาเห็นเหลียนฟางโจว พลันจ้องกลับแล้วเตรียมอ้าปากจะด่าบริภาษ

       เหลียนฟางโจวสะกดกลั้นความเกลียดชังที่ท่วมท้นในใจ และรีบชิงพูดเสียงเรียบ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพรั่งพรูถ้อยคำไม่น่าฟังออกมา “คุณหนูซู ข้าคิดว่าท่านเข้าใจผิดแล้วล่ะ ! ฉิงเอ๋อร์ของข้ายังเล็กนัก เพียงแสดงออกกับคุณชายชุยเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่เหมือนอย่างที่คุณหนูซูคิดหรอก! คุณหนูซู ท่านคิดมากไปแล้ว!”

  ซูซินเอ๋อร์ชะงักไป และรีบเอ่ย “จริง ๆ รึ?”

        เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงอ่อน “ย่อมเป็นจริงตามนั้น ข้ามีอะไรที่ต้องปดคุณหนูซูด้วยรึ?”

        ก็ใครจะไปรู้เล่า!”ใครจะรู้เล่าว่าซูซินเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อที่อีกฝ่ายพูด จึงเอ่ยอย่างไม่ไว้ใจและกราดเกรี้ยวหนัก “ไม่เช่นนั้น เปี่ยวเกอของข้าจะมาทำอะไรในสถานที่แห่งนี้? เขาออกจะเป็นคนช่างเลือกพิถีพิถันปานนั้น มันต้องมีสาเหตุแน่ จุดประสงค์คงไม่ใช่เด็กนั่นจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

  “พอได้แล้ว!” ชุยฉ้าวซีโกรธจัดเสียจนใบหน้าบิดเบี้ยว และมือที่กำลังจับแขนอีกฝ่ายแน่น ขึ้นข้อขาวซีด เขาเอ่ยเสียงเย็น “ฉิงเอ๋อร์ยังเด็ก เจ้าช่างไม่ละอายที่พูดแบบนั้น ข้าอับอายแทนเจ้าจริง ๆ ! คนเขาจะคิดกับข้าอย่างไร?”

  “มันก็ไม่แน่หรอก ข้า...” ซูซินเอ๋อร์อยากจะพูดว่า ข้าก็ชอบท่านมาตั้งแต่ข้าอายุเท่านาง พอมองสีหน้าของชุยฉ้าวซีแวบหนึ่งแล้ว นางก็กลืนคำพูดลงไปอย่างฉาด แล้วเอ่ยว่า “นั่นก็จริง  เปี่ยวเกอมีชาติตระกูลปานนั้น ท่านคงไม่ตกหลุมกระทั่งเด็กน้อยเช่นนั้นเป็นแน่!”

  เหลียนฟางโจวสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้านางเรียบเฉย ทำเป็นเพียงไม่ได้ยินคำพูดอีกฝ่าย

       ชุยฉ้าวซีจ้องคนขับรถม้าด้วยใบหน้าเย็นชา “ยังไม่รีบไปอีกรึ ยังจะมองทำอะไรอยู่อีก?”

       “เปี่ยวเกอ ท่าน?”ซูซินเอ๋อร์รีบพูดอย่างไว

       ชุยฉ้าวซีโบกมืออย่างสิ้นความอดทน “ไปรอข้าที่ปากทางหมู่บ้านโน่น” พอเห็นปากของซูซินเอ๋อร์คล้ายอยากจะพูดอะไรออกมา ชายหนุ่มจึงขึงตาใส่ “ไม่เช่นนั้น...เจ้าก็กลับเอง!”

        ซูซินเอ๋อร์เห็นว่าเขากำลังจะโกรธจริง ๆ  ดังนั้นจึงไม่กล้าดื้อดึง นางกัดริมฝีปากพร้อมพยักหน้า “เช่นนั้น...เอ้อ เปี่ยวเกอ ท่านรีบมาเร็วหน่อยนะ!”

        ชุยฉ้าวซีแค่นเสียงและจ้องคนขับ คนขับทำคอย่นอย่างหวาด ๆ  แล้วรีบขับรถออกไป

       ชุยฉ้าวซีหันหน้ามามองเหลียนฟางโจวด้วยสายตาเปี่ยมด้วยคำขอโทษ ไม่รอให้อีกฝ่ายอ้าปาก เหลียนฟางโจวส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม แล้วเอ่ย “นางยังเด็ก ข้าไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนางหรอก ท่านรีบไปเถิด นางจะได้ไม่ก่อเรื่องอีก”

       ชุยฉ้าวซีหดหู่ใจเกินไปที่จะทำอย่างนั้น เขาเอ่ยอย่างข่มกลั้นอารมณ์ “ตกลง ข้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว!”

        เหลียนฟางโจวพยักหน้ายิ้มให้ “อื้ม” ชุยอวี้ได้ยินเข้า ก็รีบไปเตรียมการทันที

       เหลียนฟางโจวหันหลังกลับเข้าบ้าน ที่ประตู เธอได้ยินเสียงอาหญิงสามด่าวิจารณ์ต่าง ๆ นา ๆ ด้วยความโมโห หญิงสาวอดขำไม่ได้ แล้วคิดว่าหากเข้าไปตอนนี้ อาหญิงสามอาจดึงเธอเข้ามาพูดคุยวิจารณ์ด้วยกันไม่รู้จบ เธอจึงรีบเดินไปที่ลานหลังบ้านแทน

       คิดถึงเรื่องที่ซูซินเอ๋อร์หึงกระทั่งฉิงเอ๋อร์ หญิงสาวอดหัวเราะไม่ได้ ทว่าในใจก็ยิ่งเพิ่มความระวัง ซูซินเอ๋อร์มีนิสัยเอาแต่ใจ ดังนั้นเธอต้องรักษาระยะให้ห่างจากชุยฉ้าวซีไว้! หากวันใดนางสงสัยอะไรขึ้นมา—ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอก แค่นางปลงใจเชื่อเสียอย่าง คงจะทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมองหน้ากันไม่ติดเป็นแน่...

  

**

       สามวันต่อมา ในที่สุดเหล่าหวางโถวจากหมู่บ้านสกุลหวางก็ส่งคนมาแจ้งข่าว ว่าวันมะรืนนี้ให้เหลียนฟางโจวไปนำลูกเจี๊ยบกลับมาได้ และเน้นย้ำเป็นพิเศษให้พวกเขาไปแต่เช้าด้วย

       เหลียนฟางโจวตอบตกลงอย่างไว และยืนยันว่าจะเข้าไปในวันมะรืนนี้แน่

  แม้ว่าลูกเจี๊ยบที่เกิดใหม่จะตัวเล็กมาก ทว่ารถเกวียนเทียมลาก็ไม่พอขนพวกมัน ดังนั้นเหลียนฟางโจวจึงวางแผนจ้างรถคันอื่นในเมืองมาเพิ่มอีก

       พอถึงรุ่งสาง เหลียนฟางโจว อาเจี่ยนและเหลียนเจ๋อก็ออกเดินทาง

       หลังเข้าเมืองไปจ้างรถแล้ว รถเกวียน 2 คันก็ขับตามหลังกันมา แล้วตรงดิ่งไปยังบ้านของเหล่าหวางแห่งหมู่บ้านสกุลหวาง

       ยังไม่ถึงตอนเที่ยง ทั้งหมดบรรลุถึงบ้านเหล่าหวางแล้ว

       ภรรยาเหล่าหวางเอาเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งใต้ต้นหวย ที่ทางเข้าลานบ้าน ขณะกำลังนั่งทำงานปักเย็บอยู่ ก็ได้ยินเสียงรถ นางจึงรีบเก็บเข็มและด้ายลงตระกร้า แล้ววิ่งไปที่รถเกวียน

  ขณะทำท่าทางบอกให้รถหยุด ภรรยาเหล่าหวางก็หัวเราะเบา ๆ “พวกท่านมาแล้ว แม่นางเหลียน! ไปแบบเงียบๆนะ อย่าได้เคลื่อนไหวเสียงดัง! ไก่ค่างใกล้จะฟักออกจากไข่แล้ว ตอนนี้พวกมันอยู่ในช่วงวิกฤติ อาจทนเสียงดังไม่ได้!”

  เหลียนฟางโจวอึ้งงันในใจ แล้วรีบยิ้มตอบตกลง หญิงสาวกับเหลียนเจ๋อสองคนกระโดดลงจากรถอย่างแผ่วเบา  เธอให้อาเจี่ยนและคนขับรถลงมาด้วย และเข้าไปจูงลาให้เดินช้า ๆ ทั้งคอยระวังการเคลื่อนไหวและการพูดจาไม่ให้เกิดเสียงดัง

  “ยังใช้เวลาอีกเท่าไรรึ?” เหลียนฟางโจวถามด้วยรอยยิ้มกับภรรยาอีกฝ่าย

  ภรรยาเหล่าหวางหัวเราะเบา ๆ “มากสุดก็ครึ่งชั่วยามก่อนจะมีการเจาะเปลือกไข่ออกมา!  ท่านคอยสักครึ่งชั่วยามรอจนลูกเจี๊ยบเจาะเปลือกไข่ออกมาหมด  จากนั้นก็ขนกลับไปได้เลย! แม่นางเหลียน นั่งลงคอยสักพักนะ!”

  เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอ่อ ข้าขอเข้าไปดูข้างในตอนนี้ได้หรือไม่?”

        “เรื่องนี้....” ภรรยาเหล่าหวางพลันรู้สึกอึดอัดใจหน่อย ๆ ที่อึดอัดใจเพราะเหลียนฟางโจวใจกว้างซื้อไข่เป็ดสองร้อยฟอง ให้ตาแก่นางลองทำค่างไข่เป็ดดู ไม่เช่นนั้น นางคงจะปฏิเสธอีกฝ่ายไปแน่นอน

5 ความคิดเห็น: