พี่สาวและน้องชายต่างบอกเล่าถึงความรู้สึกคิดถึงและห่วงหาอาทรของกันและกัน และเหลียนฟางโจวก็อดถามถึงอาหญิงสาม เหลียนเช่อ ชิงเอ๋อร์ พ่อบ้านฉิน ป้าจาง ถางสยง และเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆทีละคน และก็ย่อมถามถึงกิจการของตระกูลเหลียน รวมถึงเรื่องราวการแต่งงานระหว่างซูซินเอ๋อร์และซุนหมิง พลางทอดถอนใจ
เมื่อรู้ว่าทุกคนสบายดี กิจการของครอบครัวก็เจริญรุ่งเรือง พัฒนาเติบโตอย่างต่อเนื่อง และใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวจึงสบายใจขึ้น
เธออดลอบมองน้องชายผู้นี้ของบ้านเดิมตนไม่ได้ ตัวเขาสูงขึ้นมาก คงเป็นเพราะเขาฝึกวรยุทธ์มาเป็นเวลานาน เขาดูแข็งแกร่งทีเดียว เครื่องหน้าคมเด่นชัด ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า และคิ้วหนาคมดูเยือกเย็น แต่ไม่ทิ้งความองอาจน่าเกรงขาม! เขาไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยผอมเก้งก้างอีกต่อไป เขาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว!
ในขณะที่เหลียนฟางโจวโล่งใจ หญิงสาวเขาก็อดรู้สึกสับสนหน่อยๆไม่ได้
หลี่อวิ๋นหันนั้นมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องชายคนโต และหลี่ฟู่จงใจพาคนทั้งสองไปไหนมาไหนกับเขา ในไม่ช้าเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็กลายเป็นสหายกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน และสนิทกันยิ่งนัก
เหลียนฟางโจวย่อมชอบ เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์นี้
เมื่อเหลียนเจ๋อเข้ามาในเมืองหลวงคราวนี้ นอกเหนือจากการมาเยี่ยมเยียนพี่สาวแล้ว เขายังต้องการเดินตระเวณไปทั่วเมืองหลวง และเมืองโดยรอบ และอยากเปิดโรงงานสกัดน้ํามันในแถบภาคเหนือ จากนั้นเขาจะซื้อที่ดินบางส่วนเพื่อปลูกฝ้ายในมณฑลเป่าติ้งและมณฑลซานตง และตั้งโรงงานปั่นทอฝ้ายอีกหลายโรงไปด้วย
ความจริงแล้ว การที่เขาพูดกับเหลียนฟางโจวว่า เขาอยากขยายกิจการและทรัพย์สินของตระกูลเหลียนนั้น เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น และสิ่งที่เขาคิดมากกว่านั้นก็คือ เขาจะได้ใกล้ชิดกับพี่สาวมากขึ้น และหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลกับผู้เป็นพี่สาว เขาจะได้ช่วยเหลือทันท่วงทีด้วย
อย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวบ้านเดิมอยู่ใกล้ๆ พี่สาวจะได้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น มิใช่หรือ?
เหลียนฟางโจวเข้าใจเจตนารมณ์ของน้องชายชัดเจนเช่นกัน แต่ตอนนี้นางไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลเหลียนอีกต่อไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า มันย่อมไม่เป็นผลดีที่เข้าไปแทรกแซงกิจการของตระกูลเหลียนมากเกินไป เมื่อเหลียนเจ๋อยืนยันว่าเขาต้องการขยายกิจการอุตสาหกรรมไปทางแถบภาคเหนือ เธอก็ไม่อาจบอกปฏิเสธได้
และเหลียนเจ๋อเองก็มุ่งมั่นมากขึ้น หลังจากสอบถามรายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดกับปี้เถา ถึงสิ่งที่เหลียนฟางโจวได้ประสบพบมา หลังจากมาถึงเมืองหลวง
แม้ว่าเขาจะคิดอยู่แล้วว่า พี่สาวของเขาจะต้องพบอุปสรรคขวากหนามบางประการ ยามเมื่อนางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับพี่เขยของเขา แต่เขาก็ไม่เคยนึกฝันว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นพี่สาวนั้นมันจะเกินความคาดหมายของเขาไปไกล
ผู้คนในเมืองหลวงนี้ช่างหน้าไหว้หลังหลอกเกินไปจริงๆ!
คนที่ยอดเยี่ยมอย่างพี่สาวของเขา นางไม่เคยยืนขวางทางใครหรืออะไร แล้วเหตุใดพวกเขาถึงรังแกนางยิ่งนัก? โชคดีที่พี่สาวเขาหาใช่คนอ่อนแอไม่ มิฉะนั้นเขาคงได้ตรอมใจตายแล้ว
แล้วก็ยังมีหญิงสาวอย่างแม่นางฉินอีก ในตอนแรกเขาเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ทำตัวไม่ค่อยถูกต้อง และยังคิดไม่ซื่อกับพี่เขยอย่างไร้เหตุผลอีก หากรู้แบบนี้ เขาคงไม่เต็มใจให้พี่สาวแต่งเข้าตระกูลหลี่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกศิษย์เรียนวรยุทธ์ของอีกฝ่ายก็ตาม!
ตอนนี้พี่สาวของข้ายังมาตั้งครรภ์อีก—-
เมื่อเหลียนเจ๋อได้ฟังถ้อยคำที่เอ่ยอย่างชิงชังของปี้เถา ก็ให้รู้สึกไม่สบายใจหน่อยๆ
เขาจึงอดให้คําอธิบายดีๆกับปี้เถาไม่ได้ โดยให้นางและชุนซิ่ง คอยปรนนิบัติรับใช้อย่างระมัดระวัง ให้คอยสังเกตดูสิ่งต่างๆรอบตัวให้มากขึ้น และสําหรับแม่นางฉินนั้น นางจะต้องจับตาดูอีกฝ่ายตลอดเวลา!
ปี้เถาเพียงรู้สึกว่าคําพูดของนายน้อยนั้น เมื่อได้ฟังแล้ว ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจนัก นางถึงกับพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย!
แม่นางฉิน และสาวใช้คนสนิทสองคนนั้น เมื่อมองแล้วช่างขัดหูขัดตาเสียจริง!
เหลียนเจ๋อพำนักอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลาครึ่งเดือน และเมื่อเริ่มย่างเข้าฤดูหนาว การเดินเรือในคลองก็ยังคงราบรื่น เด็กหนุ่มจึงเตรียมตัวเดินทางกลับ
เหลียนฟางโจวได้ให้คนเตรียมของขวัญชิ้นแล้วชิ้นเล่า หลังจากนั้นจึงให้เหลียนเจ๋อนําของขวัญกลับไปแบ่งปันคนทางโน้น
เมื่อได้ให้คําชี้แนะเพิ่มเติมแก่น้องชายแล้ว หญิงสาวก็พยายามกลั้นน้ําตาไว้ และเดินไปส่งเขาที่ประตูจวน
ในขณะนี้เธอคิดว่า บางทีแผนการของอาเจ๋ออาจถูกต้อง การขยายกิจการไปทางแถบภาคเหนือ ครอบครัวๆน้องจะได้ย้ายมาที่นี่ และยังเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่พวกนางจะได้มาพบหน้ากันได้เรื่อยๆในอนาคต!
หลี่ฟู่กลัวว่า หากนางไปส่งน้องชายขึ้นเรือ อาจจะกระทบกระเทือนถึงทารกในครรภ์ ดังนั้นเขาจึงไม่อนุญาตให้ภรรยาไปส่งน้องชายถึงท่าเรือ จึงเพียงให้นางไปส่งน้องชายที่หน้าประตูจวนเท่านั้น ซ้ำยังสั่งให้ชุนซิ่งและปี้เถาช่วยประคองภรรยากลับมา ชายหนุ่มคอยจับมือและปลอบโยนภรรยา "ข้าและอวิ๋นหันจะไปส่งอาเจ๋อที่ท่าเรือเอง เจ้ากลับเข้าเรือนไปพักผ่อนเถอะ! และวางใจได้เลยว่าข้าจะเตรียมการให้ถูกต้อง! "
เมื่อเหลียนเจ๋อได้ยินว่า พี่เขยเร่งเร้าให้พี่สาวกลับไป เด็กหนุ่มจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มมั่นใจ "พอถึงปีหน้า ครอบครัวของเราจะไปเมืองหลวง และจากนั้นพวกเราจะสามารถพบกันได้ทุกวัน! พี่ใหญ่ของข้าต้องดูแลตัวเองให้ดี และให้กําเนิดเด็กผู้ชายตัวอวบขาวที่แข็งแรงสุขภาพดีนะ! "
เหลียนฟางโจวและหลี่ฟู่ต่างหัวเราะออกมา
เมื่อเหลียนฟางโจวเห็นแบบนี้ เธอจึงพูดคำว่า "รักษาตัวด้วย" แล้วจึงหมุนตัวกลับเข้าจวนพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อหญิงสาวเดินหายลับเข้าไปในจวนแล้ว เหลียนเจ๋อและหลี่ฟู่ ก็ขึ้นรถม้าแล้วออกเดินทาง
หลี่ฟู่และหลี่อวิ๋นหันต่างไปส่งเหลียนเจ๋อออกจากเมืองหลวง ที่ท่าเรือถงโจว
หลังจากกล่าวคําอําลากันแล้ว ทั้งคู่ก็กลับไปที่จวน ซึ่งเป็นเวลาเลยเที่ยงไปแล้ว
เมื่อเห็นเหลียนฟางโจวนั่งอยู่หน้าหน้าต่างวงพระจันทร์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดังนั้นชายหนุ่มจึงจงใจลงฝีเท้าหนักๆให้ได้ยิน แล้วกระแอมขึ้น ทําให้หญิงสาวหันไปมอง เขายิ้มและกอดนางพร้อมเอ่ยคำปลอบโยนมากมาย
เหลียนฟางโจวจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า"ท่านไม่จําเป็นต้องระมัดระวังถึงเพียงนั้น โดยนิสัย ข้าไม่ใช่คนประเภทจิตใจอ่อนไหวเสียหน่อย บางทีเป็นเพราะข้าตั้งครรภ์ จึงได้คิดมากอีกเล็กน้อย! และมันมีตรงไหนที่ร้ายแรงรึ! นอกจากนี้ข้าไม่ใช่คนที่ดื้อดึงเอาแต่คิดหมกมุ่นไม่ไปไหน เพียงแต่จู่ๆในครอบครัวก็มีคนหายไป ดูโล่งขึ้นข้าก็เลยรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย! ท่านทำใจให้สบายเถอะ! พอถึงปีหน้าพวกเขาก็จะมาเมืองหลวงกันแล้วจริงไหม? "
หลี่ฟู่โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แล้วยิ้มว่า"ดีที่สุดแล้ว หากเจ้าคิดแบบนี้ได้! เจ้ากําลังท้องกำลังไส้ อย่าได้คิดเรื่องนี้อีกเลย! "
ชายหนุ่มเอนตัวออก แล้วมองไปที่ท้องของภรรยา ครั้นแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า “สองสามวันนี้ ข้าไม่ได้สังเกตใกล้ชิด ท้องเจ้าดูโตขึ้นมาก!"
ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆวางมือลูบท้องหญิงสาวอย่างระมัดระวัง และกล่าวว่า"เจ้าเซวียอวี้ชิงนั่น บอกว่าลูกชายของเราขยับตัวอยู่ในท้องของเจ้าเพื่อทักทายข้าล่ะ! ไฉนข้าถึงไม่รู้สึกเลยเล่า! "
เหลียนฟางโจวก็หลุดยิ้มออกมา เพียงเท่านั้นความวูบโหวงเล็กๆในใจเธอก็ถูกกวาดออกไป ครั้นแล้วจึงหัวเราะอีกฝ่าย "แล้วเขาได้บอกท่านหรือเปล่าว่าจะรู้สึกได้เมื่อไร? เด็กยังตัวเล็กอยู่! คงต้องรออีก 3-4 เดือนกระมัง! "
หลี่ฟู่ไม่ยินยอม "อ้อ" และบ่นพึมพำว่านานเกินไป!
ทั้งสองคนพูดคุยกันสักพัก หลี่ฟู่ต้องการออกไปข้างนอก เขาจึงบอกเหลียนฟางโจว "ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าต้นฤดูหนาว ข้าเห็นว่าท้องฟ้าหลายวันนี้ไม่ค่อยดีนัก ข้าเกรงว่าอากาศจะแปรปรวน อยู่ที่บ้านเจ้าต้องหมั่นระวังรักษาสุขภาพให้มากขึ้น จะได้ไม่เป็นหวัด!"
เหลียนฟางโจวยิ้มรับคำ แล้วเดินไปส่งเขาออกจากจวน
วันรุ่งขึ้นหลี่ฟู่ไปเข้าประชุมที่วังหลวง เหลียนฟางโจวตัดสินใจนอนต่อตามปกติ และเมื่อลุกขึ้นอีกครั้ง เวลาก็จวนเที่ยงแล้ว
หลี่ฟู่ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอตามปกติที่เคย เหลียนฟางโจวจึงเกิดความหวาดหวั่นและความไม่คุ้นเคยในใจขึ้นมาชั่วขณะ
หลังจากนอนอยู่บนเตียงสักพัก หญิงสาวก็ลุกขึ้น
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากแล้ว เธอก็รับสำรับมื้อเช้า และไปเดินเล่นที่ใต้ระเบียงทางเดิน
เมื่อมองขึ้นไป ก็พบว่าท้องฟ้าได้เปลี่ยนไปจริงๆ
ดวงอาทิตย์ไม่สว่างจ้าเหมือนเมื่อวานนี้ ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆที่เคยเบาบางก็หนาขึ้น และท้องฟ้าที่อยู่สูง ก็ถูกดึงต่ำลงมา
บางครั้งลมก็พัดหวีดหวิว พัดพาเศษหญ้าสดใหม่ เศษใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดินให้ลอยขึ้น และหมุนคว้างไปตามลม
เหลียนฟางโจวอดคุยเล่นขำขันกับชุนซิ่ง ปี้เถาและคนอื่นๆไม่ได้ บอกว่าโชคดีที่เหลียนเจ๋อกลับไปแล้วเมื่อวานนี้ ไม่เช่นนั้น นางก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อากาศจะกลับมาดีเช่นนี้อีก!
ดูเหมือนว่าฝนจะตกเกือบตลอดทั้งคืน!
ชุนซิ่งและปี้เถาก็เข้ามาพูดคุยหัวเราะเป็นเพื่อน
หลังเที่ยงท้องฟ้าก็หม่นมัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ลมกรรโชกพัดไปทุกหนทุกแห่ง กิ่งไม้และใบไม้ปลิวว่อนผ่านประตูและหน้าต่างซึ่งปิดอยู่ เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด พื้นแผ่นฟ้าและผืนแผ่นดินดูคล้ายจะเปลี่ยนสีสันและ บังเกิดความวุ่นวายโกลาหลไปทุกหย่อมหญ้า
เหลียนฟางโจวนั่งอยู่หน้าหน้าต่างวงพระจันทร์ พลางมองออกไปข้างนอก คิ้วขมวดลงเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
…
หวังว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้นกับอาเจ๋อที่เดินทางกลับนะ
ตอบลบ