วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2566

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 759 คลื่นลมลูกใหญ่

    “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ยกเว้นคนที่มีหน้าที่ซื้อของกินของใช้ ห้ามทุกคนออกนอกจวน และไม่ให้ใครซึ่งไม่ได้มาจากจวนเราเข้ามาในจวน และญาติสนิทมิตรสหายที่จะมาเยี่ยมหาที่จวน ก็ไม่อนุญาตให้พบปะกันในตอนนี้! ส่วนประตูทางเข้าให้ปิดลั่นดาลไว้ด้วย! ยามออกไปข้างนอกต้องซื่อสัตย์ ห้ามพูดเรื่องในจวน หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ก็ให้ตรงดิ่งกลับจวนเลย ห้ามถามใดๆทั้งสิ้น และห้ามพูดคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมากเกินไป! นอกจากนี้ การเดินเวรยามในตอนกลางคืน จะต้องเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น และสั่งการลงไป บอกทุกคนให้ปิดปากให้สนิท และหากได้ยินใครพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด ก็อย่ามาตำหนิที่ข้าหยาบคายก็แล้วกัน! ทุกคนได้ยินชัดแล้วใช่ไหม?”


     เมื่อพ่อบ้านเฉียนเข้ามาในครั้งแรก เขาสังเกตได้ถึงบรรยากาศอันอึมครึมผิดปกติ และหลังจากได้ยินคำสั่งเป็นหางว่าวของเหลียนฟางโจวแบบนี้ เขาและคนอื่นๆต่างมองหน้ากันด้วยความฉงน

    “ขอรับ ฮูหยิน บ่าวเข้าใจแล้ว จะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ขอรับ!” นั่นคือสิ่งที่เจ้ากำลังสั่ง พ่อบ้านเฉียนจึงค้อมตัวรับคำสั่ง

    ส่วนพ่อบ้านคนอื่นๆก็อดถามด้วยความอยากรู้มิได้ “ฮูหยิน มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือขอรับ?”

    สีหน้าของเหลียนฟางโจวมืดครึ้ม หณิงสาวเอ่ยอย่างเย็นชา “เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า แค่จดจำสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปก็พอ!”

    เหล่าพ่อบ้านต่างแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน แล้วรีบค้อมหัว ไม่กล้าถามอีก

    “เอาล่ะ ข้าเริ่มรู้สึกเพลียแล้ว และในเมื่อตอนนี้ทุกคนเข้าใจกันแล้ว พวกเจ้าก็ไปได้แล้ว!” เหลียนฟางโจวโบกมือ

    หญิงสาวไม่ได้ดุพ่อบ้านคนที่พูดมาก จวนของเธอและหลี่ฟู่ยังใหม่มาก ตระกูลหลี่ไม่ได้เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจบารมีซึ่งอยู่มานานหลายสิบปี หรือหลายร้อยปี ที่มีกฏระเบียบที่เข้มงวด มีการเข้าออกจวนที่เข้มงวด เพื่อเอาไว้ดูแลลูกหลานและข้าทาสบริวารมากมาย 

     สำหรับพวกเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างยังใหม่อยู่ แม้แต่รากฐานก็ยังใหม่ แล้วจะมีกฏระเบียบมากมายได้ที่ไหน? การเข้าออกจวน คำสั่งและข้อห้ามต่างๆ ล้วนขึ้นอยู่กับความทุ่มเทรังสรรค์สั่งสมกันมาหลายชั่วอายุคน

    อย่างไรก็ตาม ยิ่งมีกรณีนี้เกิดขึ้น เธอก็ยิ่งต้องดูแลจัดการจวนทั้งหลัง ในยามที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวายระส่ำระสาย เธอก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาฉวยโอกาสจากช่องโหว่ใดๆ

    หลี่ฟู่ไม่ได้กลับมาในคืนนั้น และก็ไม่กลับมาจนกระทั่งสามวันให้หลังในตอนเย็น

    และฝนนี้ยังคงตกหนัก และมีหยุดบ้างเป็นระยะๆ มีทั้งตกหนัก ๆหรือตกปรอยๆ ความจริงแล้วฝนก็ยังคงตกต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อย่างเมื่อคืนวาน ฝนตกหนักข้ามคืน ผสานกับมีฟ้าแลบฟ้ารองด้วย

    ช่วงระหว่างวัน จะเห็นท้องฟ้ามีสีเทาตะกั่วและคล้อยลงต่ำ ซึ่งทำให้อารมณ์ของผู้คน เกิดความหดหู่ซึมเซา

   หลี่ฟู่กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเงียบๆ ก่อนจะไปที่ห้องย่อยตะวันออก เพื่อไปหาเหลียนฟางโจว ซึ่งขณะนี้กำลังพลิกหนังสืออ่านฆ่าเวลาเพลินๆ

   ทันใดนั้น หญิงสาวก็ได้ยินเสียง ซึ่งดูคล้ายจะเรียกมานานสักพักแล้ว “ฮูหยิน!” เหลียนฟางโจวถึงกับสะดุ้งตัวแข็งทื่อ เธอกำลังใจลอยอยู่จริงๆ

   เมื่อเงยหน้ามองผ่านแสงไฟสลัว ก็เห็นร่างสูง พร้อมดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าและอ่อนโยน รวมทั้งรอยยิ้มที่ถวิลหามานาน หญิงสาวรู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย  เธอลุกขึ้นยืน พลางอ้าปากพึมพำ “อาเจี่ยน!”

   หลี่ฟู่ไม่รอให้หญิงสาวลุกขึ้น เขารีบสาวเท้ายาวๆตรงเข้าไปห้ามไว้ พลางนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย  มือใหญ่โอบประคองไหล่ แล้วมองสำรวจนางอย่างละเอียด ก่อนจะยิ้มออกมา “จิตใจยังเข้มแข็งดีอยู่ โล่งอกไปเสียที! เสียงฟ้าร้องเมื่อคืนทำให้เจ้ากลัวไหม?”

    เหลียนฟางโจวรู้สึกอุ่นวาบในใจ พลางส่ายหน้า แล้วโผเข้าสู่อ้อมอกชายหนุ่ม พลางกอดเขาแน่น นำ้เสียงแผ่วเบาดังขึ้น  “เหนื่อยไหม? กินมื้อเย็นมาหรือยัง?”

    ดวงตาหลี่ฟู่กวาดมองไปรอบๆ ชุนซิ่งและคนอื่นๆต่างรับรู้ แล้ว ถอยออกไปจากห้องจนหมด เหลือเพียงสองสามีภรรยาในห้องย่อยตะวันออก เพียงใช้กำลังมือเล็กน้อย เขาก็ดึงเหลียนฟางโจวเข้ามาในอ้อมแขน แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เดิมทีข้ายังเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ทันทีที่เห็นเจ้า ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง! ข้ากินมื้อเย็นจากข้างนอกมาแล้ว ตอนก่อนกลับจวน เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”

   เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม แล้วคนทั้งคู่ก็สนทนาเรื่องของครอบครัวไปสักพัก จากนั้นก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดในราชสำนักในวันนั้น

    เหลียนฟางโจวเป็นภรรยาเขา ซึ่งไม่ถูกต้องที่จะรู้เรื่องราวเหล่านี้เพียงไม่กี่ประเด็น ดวงตาหลี่ฟู่หรี่ลงเล็กน้อย แล้วค่อยๆเล่าเรื่องต่างๆให้นางฟังช้าๆ

    เพียงสองวันก่อนที่องค์รัชทายาทจะทรงเป็นลมหมดสติ ฮ่องเต้ทรงได้รับจดหมายฟ้องร้อง และแม้จะไม่ได้ชี้ไปตรงๆที่องค์รัชทายาท แต่เนื้อหากึ่งเปิดเผย กึ่งซ่อนเร้น มีนัยเชื่อมโยงกับองค์รัชทายาท

    ยามที่องค์รัชทายาททรงเป็นลม ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างหนัก และตรัสว่า องค์รัชทายาททรงมีความกตัญญูและมีใจเมตตากรุณา จะมีไปทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะทรงไปช่วยชีวิตคนขับรถม้า พระวรกายก็คงจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง จนหลายปีที่ผ่านมาคงไม่ต้องประชวรเจ็บออดๆแอดๆเช่นนี้  และยังต้องใช้ความทุ่มเทอย่างหนักอยู่พักใหญ่กว่าจะฟื้นฟูพระวรกายให้ดีขึ้นมาบ้าง แต่มีบางคนไม่ได้เห็นเหตุการณ์จริง เลยอยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ และหากไม่ใช่เพราะจดหมายฟ้องร้องที่เขียนขึ้นโดยไม่มีที่มานี้ องค์รัชทายาทคงไม่ต้องกระทบกระเทือนใจจากปัญหาจนเสียสุขภาพ  จนไม่อาจประคองตัวให้ยืนหยัดในท้องพระโรงได้  สุดท้ายก็เป็นลมหมดสติไป

    ฮ่องเต้ทรงพิโรธ และรับสั่งว่า ตัวการที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลัง มีแรงจูงใจแอบแฝง ที่จะพยายามสั่นคลอนราชบังลังก์ จึงทรงรับสั่งจำคุกและเนรเทศเสนาบดีหลายคน ที่ได้ฟ้องร้ององค์รัชทายาท โดยไม่ยอมละเว้น

     ที่ว่าการหกกระทรวง และสภาขุนนางก็ดำเนินการตามรับสั่ง โดยทำการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียด และย่อมมีผู้คนเป็นจำนวนมากที่โชคร้าย และคนเป็นอันมากที่โดนค้นบ้านช่อง ยังไม่นับคนที่ถูกเนรเทศอีก

   ในเวลาเดียวกัน ฮ่องเต้ก็ทรงออกพระบรมราชโองการดำเนินการปรับเปลี่ยนฝ่ายที่ดูแลศูนย์บัญชาการกองกำลังห้ากองพลรักษาพระราชวัง ทหารรักษาพระองค์ ค่ายกองพันทหารสามกองพันที่ประจำการอยู่นอกเมือง กองพันทหารเสินจือ และค่ายกองพันทหารห้ากองพัน ซึ่งในการนี้ได้ทรงโปรดให้มีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายบุคลากรอย่างถอนรากถอนโคน

     หลี่ฟู่ ในฐานะผู้บัญชาการของศูนย์บัญชาการกองกำลังห้ากองพล ล้วนต้องไปกำกับดูแลเรื่องจำเป็นต่างๆ เขาจึงงานยุ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    เมื่อเห็นเหลียนฟางโจวฟังอย่างตั้งใจ เขาก็เขย่ามือนาง แล้วส่งยิ้ม “วางใจเถิด ข้าแค่ทำตามหน้าที่ทีละขั้นทีละตอน ยามนี้คงต้องยุ่งไปอีกสักพัก พรุ่งนี้เช้าข้าจะต้องออกนอกเมืองหลวงไปค่ายทหารห้ากองพันอยู่ดี ข้ากลัวว่าคงไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้ามากแล้ว!”

     เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากข้าเป็นคนไม่สนใจลำดับความสำคัญก่อนหลัง ข้ายังจะบ่นเรื่องท่านเพราะเรื่องนี้หรือ? แม้ว่าท่านจะยุ่งจนต้องรีบไป ข้าก็ยังมีชุนซิ่ง ปี้เถาที่จวน! และ”

      มือบางลูบท้องน้อยเบาๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยนลง หญิงสาวยิ้มออกมา “ลูกชายของเราเป็นเด็กดีนัก! หลายวันนี้เขาไม่กวนข้าเลย!”

     หลี่ฟู่เอามือแตะอย่างระมัดระวัง และลูบท้องหญิงสาว พลางหัวเราะ “สมแล้วที่เป็นลูกชายของข้า! เครี่ยวกรำแม่ของเจ้ามากอย่างที่ข้าทำเลย!”

    เหลียนฟางโจวหลุดหัวเราะออกมา

    หญิงสาวอดเอ่ยเสริมไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าทักษะทางการแพทย์ของพี่เซวียยอดเยี่ยมหรอกหรือ?  เขารักษาอาการขององค์รัชทายาทให้ดีขึ้นไม่ได้หรือ?”

     หลี่ฟู่หรุบตาลง ดวงตาดูคล้ายจะมีประกายวูบหนึ่ง เขายิ้มปฏิเสธ “ศาสตร์การรักษาโรคลึ้งซึ้งกว้างไกลนัก เซวียอวี้ชิงก็ไม่ได้เก่งกาจเหนือคน  หรือเป็นเทพเซียน เขาจะเชี่ยวชาญไปทุกแขนงได้อย่างไร? แทนที่เขาจะจ่ายยา เขาต้องปล่อยให้สำนักหมอหลวงรักษาโดยจ่ายยาเม็ด เพื่อบำรุงและฟื้นฟูร่างกาย ถึงอยากจะรักษาให้คืบหน้ากว่านั้น ก็คงยาก!”

     เหลียนฟางโจวนิ่งเงียบไป แล้วชวนหลี่ฟู่คุยกันเรื่องอื่น

     เมื่อได้ยินความเห็นของเขา แม้พระวรกายของรัชทายาท จะไม่สามารถฟื้นฟูให้ดีขึ้นได้ในทันที ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอันใด อาเจี่ยนจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ เขาคงคาดแล้วว่า ปัญหาทั้งหลายจะคลี่คลายไปในทางที่ดีหลังจากนี้

      วันนี้ พระชนมายุของฮ่องเต้ยังไม่มากมาย ยังคงเร็วเกินไปที่รัชทายาทจะครองบังลังก์! นอกจากนี้ ต่อให้สุขภาพของรัชทายาทไม่ดีมากนัก  ไม่ใช่ว่ายังมีพระนัดดาหรอกหรือ? ขอเพียงฮ่องเต้ทรงวางเส้นทางสืบสันตติวงศ์ไว้มั่นคง ก็คงไม่น่ามีเหตุไม่คาดฝันใดๆเกิดขึ้น

    หลี่ฟู่ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด ทว่าจงรักภักดีต่อฮ่องเต้แห่งราชวงศ์นี้ และนี่ก็เพียงพอแล้ว

    เช้าวันต่อมา เมื่อเหลียนฟางโจวตื่นขึ้น หลี่ฟู่ก็ได้ออกไปอีกครั้งแล้ว

    ตั้งแต่เขากลับมาเมื่อคืนวาน เธอก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก และยังคงเข้มงวดกวดขันกับทุกคนในจวน  เพียงแต่ไม่เข้มข้นมากแล้ว

    บางครั้งบางคราว ข่าวสารจากภายนอกก็ผ่านเข้ามาในจวน โดยชุนซิ่งและคนอื่นๆ เล่าว่าตระกูลไหนถูกตรวจค้น ตระกูลไหนถูกจองจำ และยังคงมีข่าวคราวเข้ามาเรื่อยๆเกือบทุกวัน  ถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฝั่งตน แต่เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นในใจ



2 ความคิดเห็น: