วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 762 วันส่งท้ายปีเก่า

             เพียงพริบตาเดียว ก็ถึงวันส่งท้ายปีเก่า ถึงแม้ว่าจะมีเพียงสองเจ้านาย คือ หลี่ฟู่และเหลียนฟางโจว รวมทั้งไม่มีข้าทาสบริวารมากนัก ทว่าหลี่ฟู่กลัวว่าภรรยาจะเบื่อ เพื่อเป็นการเอาใจภรรยา ประกอบกับเป็นปีใหม่ปีแรกของจวนใหม่นี้ด้วย จวนนี้จึงมีการตกแต่งต้อนรับงานเทศกาลอย่างงดงามอลังการสุดๆ นอกจากจะตกแต่งทุกบริเวณของจวนด้วยโคมไฟสีแดงดวงใหญ่ประดับพู่สีทอง ที่ใต้ชายคาระเบียงทางเดินแล้ว บรรดาดอกไม้บานนาๆพันธุ์นับไม่ถ้วน เช่น ดอกกุหลาบพันปี ดอกชากุหลาบแดง  ดอกหลี ดอกหลีแดง  ดอกกุหลาบ  ดอกเซียนเค่อไหล และอื่นๆ ก็ถูกตัดแต่งและจัดวางเต็มเรือนหลัก และบริเวณรอบๆ และยังมีดอกโบตั๋นจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกกระตุ้นให้บานในห้องเรือนกระจก บรรดาดอกไม้ที่มีค่า เช่น ดอกโบตั๋น  ดอกฉุ่ยเซียน ดอกบัวถ้วย และดอกเผินไจชิวไห่ถัง ก็ถูกเอามาจัดวางตกแต่งอยู่ในบริเวณที่ร่ม

ดอกชากุหลาบ

ดอกบัวถ้วย

ดอกเซียนเค่อไหล

ดอกฉุ่ยเซียน

ดอกเผินไจชิวไห่ถัง

    ในส่วนของคนพักอาศัย โจวซื่อและหลี่อวิ๋นหันกำลังวางแผนจะย้ายออกไปหลังเดือนหนึ่งของปีหน้า ดังนั้นพวกเขาย่อมอยู่ฉลองปีใหม่ที่นี่

    เหลียนฟางโจวเห็นด้วยกับเจตจำนงของสองแม่ลูกแล้ว และทุกๆปีทั้งสองครอบครัวจะยังกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยกัน โดยจวนทางฝั่งนี้จะเก็บเขตเรือนซึ่งเป็นที่ๆพวกเขาสองคนพำนักอยู่เอาไว้ และจะสั่งให้บ่าวไพร่คอยทำความสะอาดอยู่เสมอ ยามเมื่อมีเวลาว่าง พวกเขาจะได้มาพักอยู่ด้วยกันสักพัก

    และจะเพิ่มความสะดวก สำหรับหลี่อวิ๋นหัน ในกรณีที่จะขอคำชี้แนะจากหลี่ฟู่เรื่องการเรียนวรยุทธ์อีกด้วย ทั้งสองแม่ลูกต่างขอบคุณสองสามีภรรยายิ่งนัก

    นอกจากนี้ยังมีเซวียอวี้ชิงและเซียวมู่ที่จะมาอยู่ฉลองปีใหม่ที่จวนนี้ด้วยกันเพิ่มอีกสองคน

    พอเป็นแบบนี้ จำนวนคนก็นับว่าไม่น้อยทีเดียว

    พวกเขาทุกคนต่างมีนิสัยเรียบง่ายเป็นกันเอง จึงยิ่งทำให้บรรยากาศของการฉลองวันสิ้นปี ดูครึกครื้น และผ่อนคลายยิ่งขึ้น

    ตกกลางคืน โคมแดงทุกดวงใต้ชายคาระเบียงทางเดินก็ถูกจุดทีละดวง เพียงเท่านั้นจวนทั้งหลัง ก็พลันก็ตกอยู่ในบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของเทศกาลปีใหม่ในทันที

    เสียงจุดประทัดดังมาจากข้างนอกเป็นระยะๆ และก็มีการจุดประทัดภายในจวนด้วย

    เพราะพวกเขาทุกคนต่างสนิทสนมคุ้นเคยกันดี จึงไม่มีโต๊ะสี่เหลี่ยม คนทั้งหกนั่งรอบโต๊ะกลม ในห้องมีการจุดเตาไฟสร้างความอบอุ่น บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสและสุราเต็มโต๊ะ บรรยากาศนับว่าเลิศหรูนัก

     ขณะที่กำลังจะเริ่มรับประทานอาหาร เซียวมู่ก็เหลือบมองหลี่ฟู่และเหลียนฟางโจว จู่ๆเขาส่งยิ้มลังเล “ไฉนแม่นางฉินไม่ได้มาด้วยเล่า? วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า จะเชิญแม่นางฉินมาร่วมเฮฮาสังสรรค์ด้วยกันไม่ได้เหรอ?”

    ใบหน้าของหลี่ฟู่แข็งทื่อไปนิดหนึ่ง เขาหันไปมองเหลียนฟางโจว หลังจากถอนหายใจนิดหนึ่ง จึงพยักหน้า “ก็ได้ หงอวี้ เจ้าไปเชิญแม่นางฉินมาสิ!”

     หงอวี้เหลือบมองเหลียนฟางโจวอย่างไว พอเห็นว่านางไม่ปฏิกิริยาอันใด ซ้ำยังมีรอยยิ้มบางเจือบนใบหน้า นางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอันใดดี ดังนั้นจึงย่อกาย แล้วหมุนตัวจากไป

    หลังจากนั้นสักพัก หงอวี้ก็กลับมาคนเดียว แล้วกล่าวว่า “นายท่าน ฮูหยิน แม่นางฉินบอกว่าคนนอกเช่นนางกินเจมานานแล้ว ดังนั้นนางจะไม่มาเจ้าค่ะ! เอาไว้เป็นโอกาสหน้า จะมานั่งร่วมรับประทานด้วยเจ้าค่ะ”

   หลี่ฟู่บอกตัวเองไม่ได้ว่า พอฟังแล้ว ตนเองรู้สึกโล่งอก หรือว่าเสียใจกันแน่ จากนั้นจึงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเขารับรู้แล้ว แล้วจึงโบกมือให้หงอวี้ไปได้

    แม้เซียวมู่จะรู้สึกเสียใจ ที่แม่นางฉินพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เซวียอวี้ชิงจึงตะโกนว่ามาดื่มกันเร็วเข้าเถิด ว่าแล้วก็ดึงหลี่อวิ๋นหันมาร่วมดื่มด้วย และบอกว่า เจ้านายใหญ่ที่ทำอะไรไม่เป็น ก็จะดื่มไม่เป็นด้วยนะอวิ๋นหัน ทุกคนจึงหัวเราะกันครืน แล้วก็หมดความสนใจในเรื่องก่อนหน้าไป ก่อนจะลงมือรับประทานอาหารกันอย่างชื่นมื่น

     ในการถือศีลกินเจ ทั้งสองคน คือแม่นางฉิน และติงเซียงต่างกินอาหารเจที่ทางห้องครัวทำมาให้โดยเฉพาะอย่างเย็นชา

      เต้าหู้คลุกน้ำมันงา ฟักตุ๋นซีอิ๊ว เม็ดเยากั่วผัด(เม็ดมะม่วงหิมพานต์ผัด) เต้าหู้ผัดผัก ผัดหมูเจ แตงหอมตุ๋น ฟักตุ๋นเต้าหู้หน่อไม้เห็ดหอม….

    แม้ว่ากับข้าวจะมีหลากหลายอย่าง เมื่อมองแวบแรกจะรู้ได้เลยว่า แม่ครัวให้ความใส่ใจและพิถีพิถันในการประกอบอาหารยิ่งนัก  อีกทั้งอาหารที่ยกมาก็จะอุ่นมาร้อนๆอีกด้วย ยามนี้มีเพียงคนสองคนที่นั่งกินที่โต๊ะกลมพร้อมกับข้าวบนโต๊ะถึง 12 อย่าง ทว่าคนกินรู้สึกเย็นชาและหดหู่ที่สุด

   แม่นางฉินอดนึกในใจไม่ได้ว่า กระทั่งในสองปีที่พี่ฟู่หายตัวไป ไม่ว่านางจะถูกคนในจวนโน้นโขกสับกลั่นแกล้งแค่ไหน ทว่าในช่วงปีใหม่อารมณ์ของนางยังไม่เคยย่ำแย่เท่าตอนนี้เลย

    พอคิดเรื่องนี้อย่างถ้วนถี่ เป็นเพราะเมื่อก่อน อย่างน้อยนางก็ยังมีความหวังในหัวใจ กระมัง? ทว่าตอนนี้ นางไม่มีหนทางจะไปต่อแล้ว!

    เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจ ติงเซียงจึงอดพูดไม่ได้ “เมื่อครู่ตอนหงอวี้มาเชิญ ทำไมไม่ไปเล่าเจ้าคะ? ยามนี้คือช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เป็นวันดี ในเมื่อพวกเขามาเชิญ ท่านก็ควรไปสิเจ้าคะ!”

    แม่นางฉินยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าลืมไปแล้วหรือไร? ยามนี้ข้ากำลังถือศีลภาวนาอยู่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับแม่ชี แล้วมันจะมีอันใดเกี่ยวกับข้าเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น—“

    ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่อยากเจอเหลียนฟางโจวและพี่ฟู่ ที่แสดงออกว่ารักกันปานจะกลืนกิน และไม่อยากเห็นท้องของเหลียนฟางโจวซึ่งก็คงนูนออกมาแล้วด้วย

    แม่นางฉินจึงเปลี่ยนเรื่องคุย หญิงสาวยิ้มให้ติงเซียง “เราอยู่ด้วยกันสองคนก็ดีแล้วมิใช่หรือ? ข้าทำให้เจ้าต้องคับข้องใจแล้ว! มาเถอะ กินกันต่อเถอะ! หลังปีใหม่ ข้าจะหาเวลาเหมาะๆ คุยกับพี่ฟู่เรื่องจะหาตระกูลดีๆให้เจ้า!”

    ติงเซียงหน้าแดงระเรื่อ พลางก้มหน้า และโพล่งออกมา “บ่าวไม่ต้องการเจ้าค่ะ! บ่าวจะอยู่กับแม่นางเจ้าค่ะ!”

   สีหน้าเขินอายและเบิกบานใจของอีกฝ่าย เห็นได้อย่างชัดเจนนัก

    แม่นางฉินจึงยิ้มเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย “เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลังก็แล้วกัน!  และข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจแน่!”

     ติงเซียงยังเป็นเพียงเด็กสาว อยู่ในช่วงวัยดุจดอกไม้แรกแย้ม จะมาเต็มใจอยู่หน้ารูปปั้นพระพุทธรูป และถือศีลกินเจหรือ? เป็นเพราะนาง หากนางไม่ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทาง นางคงจะไม่ก้าวมาถึงขั้นนี้

   ทางฟากเรือนหลัก หลังอาหารมื้อเย็น ทุกคนก็นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันสักพัก จากนั้นก็มีการมอบซองอั่งเปาให้หลี่อวิ๋นหัน  และให้เขาแยกไปเล่นตามสบาย

    เซวียอวี้ชิงคว้าตัวหลี่ฟู่ไปที่เขตเรือนชั้นนอก เดิมทีเขาเรียกเซียวมู่ให้ไปด้วยกัน แต่เซียวมู่หาข้ออ้างปฏิเสธ เซวียอวี้ชิงจึงมองเขาแปลกๆสองครา และแล้วก็ดึงตัวหลี่ฟู่ไป

    หลี่อวิ๋นหันก็ไปกับเหล่าเด็กผู้ชาย เพื่อไปจุดประทัดกันที่ลานด้านหน้ากัน ขณะที่เหลียนฟางโจวเอนกายพิงตั่งนุ่มในศาลาอุ่น และคุยเล่นสนุกกับชุนซิ่งและคนอื่นๆ พร้อมกินของว่างไปด้วย   หญิงสาวเฝ้าดูโจวซื่อและหมอมอหลายคนเล่นไพ่กัน แสงไฟสว่างเจิดจ้า อากาศอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ ห้องทั้งห้องก็ดูครึกครื้นมีชีวิตชีวานัก

    เซียวมู่ปรากฏตัวที่ใต้ชายคาระเบียงทางเดินมาสักพักแล้ว จากนั้นก็เดินออกนอกประตู ก่อนจะเดินมายังทิศทางเรือนถือศีลภาวนาโดยไม่รู้ตัว

    ตั้งแต่เขาเอ่ยถึงแม่นางฉินตอนก่อนรับสำรับมื้อเย็น ปี้เถาก็นิ่งขึงไป และเมื่อนางเห็นเขากำลังจะไปยังทิศทางนั้นจริงๆ นางก็อดกระทืบเท้าไม่ได้ พลางด่าเขาไปสองที ก่อนจะรีบตามไปเงียบๆ

    ก่อนที่เขาจะไปถึงเรือนถือศีลภาวนา เซียวมู่ก็อดตะลึงงันไม่ได้ เมื่อเห็นร่างผอมบางในชุดเสื้อคลุมสีฟ้าเรียบๆ ยืนอยู่ข้างๆต้นชากุหลาบแดง ซึ่งเขาก็เห็นไม่ชัดนักเพราะมืดแล้ว

   ฉวยโอกาสที่เป็นตอนกลางคืน เขาจึงแอบมองนางเงียบๆ ในหัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย

    จู่ๆติงเซียงก็หันหน้ามาเห็นเขา จึงตะโกนเรียกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม่นางฉินจึงหันมามองเขา ครั้นแล้วก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นจึงส่งยิ้ม แล้วเดินตรงมาหาเขา “พี่เซียว!” แล้วนางก็หัวเราะกับตัวเอง “แม้ว่าตอนนี้ข้ากำลังถือศีลภาวนาอยู่ ข้าก็ไม่อยากเปลี่ยนคำเรียกขาน ไม่รู้ว่าท่านจะรังเกียจไหมที่ข้าเรียกท่านว่า พี่เซียว?”

   เซียวมู่รู้สึกหัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาฉับพลัน ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า พลางโบกมือปฏิเสธ “ไม่เลย ไม่รังเกียจเลย เจ้าเรียกไปเถอะ”

   ในความมืด ปี้เถากำมือแน่น พลางกัดฟันกรอดๆ แล้วแอบสบถออกมา “น่าไม่อาย!”

   “ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่เล่า? ในวันที่อากาศเย็นเช่นนี้ เจ้าจะไม่หนาวทรมานหรือ” เซียวมู่มองแม่นางฉินด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    แม่นางฉินยิ้มด้วยความซาบซึ้ง “ข้าสบายดี ข้าไม่ใช่คุณหนูตระกูลใหญ่เสียหน่อย จะบอบบางได้อย่างไร! ข้ามาเดินเล่นแก้เบื่อน่ะ  เพราะข้าเห็นต้นชากุหลาบแดงพวกนี้บานสะพรั่งนัก จึงเดินมาถึงที่นี่ ฤดูหนาวบรรยากาศน่าหดหู่ ข้าจึงไม่เห็นสีสันสดใสใดๆมานานมากแล้ว ข้าเลยจะมาชมดูสักพักหนึ่งน่ะ! ทว่าไม่คิดเลยว่าจะพบพี่เซียวได้!”




2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ4 มกราคม 2567 เวลา 01:31

    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  2. ความจริงถ้ามองคนที่เขารักตัวเองชีวิตก็จะมีความสุขอยู่นะ

    ตอบลบ