วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 763 สะกดรอยตาม

     เซียวมู่ได้ยินคำพูดนาง ก็นึกถึงพุ่มดอกไม้บานสะพรั่งในเขตเรือนหลักของเหลียนฟางโจวโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกเวทนาโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงนิ่วหน้า “เจ้าอยู่ที่นั่น-โดดเดี่ยวมากหรือ? ใต้พื้นห้องอุ่นไหม? มีถ่านพอหรือไม่?”

    แม่นางฉินชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วรีบยิ้ม “พี่ฟู่และพี่สะใภ้ดีต่อข้ายิ่งนัก อยู่ที่นั่นข้าควรจะหนาว แต่ไม่หนาวเลย!”


    เซียวมู่คิดว่าหลี่ฟู่และเหลียนฟางโจวไม่ใช่คนหน้าไหว้หลังหลอก ต่อให้พวกนางก่อเรื่องราวที่ไม่น่าพอใจมาก่อน แต่ในเมื่อหลี่ฟู่ยินดีจะเก็บนางไว้ในจวน แสดงให้เห็นว่าเขายังหลงเหลือความรักและห่วงใยในอดีตอยู่บ้าง เซียวมู่จึงรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง

   เมื่อพินิจใบหน้าที่ซูบและซีดเซียวลงของแม่นางฉิน เขาจึงอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ “เหตุใดเจ้าถึง.…”

    ร่างกายแม่นางฉินสั่นสะท้าน ทันใดนั้นนางก็เลิกคิ้วขึ้น แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยฉับพลัน จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่ พี่เซียว เหตุใดท่านถึงมาที่นี่เล่า?”

   เมื่อเซียวมู่เห็นนางเป็นแบบนี้ เขาก็อดระเบิดโทสะออกมาไม่ได้  ด้วยความที่ทนไม่ไหว  ชายหนุ่มจึงก้าวเข้าไปคว้าข้อมือนาง พลางตะโกนขึ้น “ทำไมเจ้าถึงเอาแต่หมกมุ่นทรมานตัวเองจนร่างกายทรุดโทรมแบบนี้! ในเมื่อเขาไม่มีใจให้เจ้า เจ้าจะมีชีวิตดีๆไม่ได้หรือไร? เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเขาคนเดียวหรือ? แล้วตัวเจ้าเล่า? เจ้าจะดูถูกตัวเองไปถึงไหน!  การได้เป็นอนุภรรยาของเขา จะทำให้ชีวิตเจ้ารุ่งโรจน์นักหรือ? ต่อให้ชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่อาจยืนเคียงข้างเขาได้ ต่อให้ลูกของเจ้า ก็ไม่เรียกเจ้าว่าแม่ ต่อให้เจ้าต้องปรนนิบัติฮูหยินทุกวันด้วยความถ่อมตัวและเคารพเชื่อฟัง?

    ใบหน้าแม่นางฉินซีดเผือดด้วยความหวาดหวั่นไปชั่วขณะ ร่างกายสั่นสะท้านราวกับใบไม้ที่ปลิวไปตามลม ดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ ทอดมองเซียวมู่ที่มองนางอย่างสุดแสนเจ็บปวดและสงสาร ราวกับว่านางกำลังมาถึงขีดจำกัดของตัวเอง และอาจล้มได้ทุกเมื่อ!

     เซียวมู่รู้สึกเจ็บปวดในใจ ชายหนุ่มเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “เจ้า-“

     “แม่นางฉิน!” ปี้เถาอดโมโหเดือดดาลไม่ได้ เมื่อนางเห็นคนทั้งคู่ต่างยื้อยุดกันไปมา นางแอบก่นด่าคำว่าไร้ยางอายไม่รู้กี่ครั้งในใจ นี่มันจวนตระกูลหลี่นะ หากสองคนนี้แอบไปพบกันที่สวนหลังจวนจริงๆ จะไม่ทำให้นายท่านและฮูหยินอับอายขายหน้าหรือ? แล้วต่อไปจะจัดการอย่างไรดี? หากมีเรื่องไม่ดีงามเกิดขึ้น แล้วคนในจวนจะคิดอะไรในใจ?

     เมื่อปี้เถาคิดได้เช่นนี้ หญิงสาวจึงก้าวเท้าออกมา พลางตวาดเสียงดังลั่น

     เสียงห้วนกระด้างทำเอาแม่นางฉินกับเซียวมู่สะดุ้งตกใจ!

     เซียวมู่ก็พลันตระหนักได้ว่า เขาเสียกิริยา จึงรีบปล่อยมือแม่นางฉินโดยไม่รู้ตัว พลางถอยหลังไปสองก้าว

    แม่นางฉินทั้งหงุดหงิดทั้งอับอาย แต่ยังคงนิ่งเงียบ

    ติงเซียงที่ตกตะลึง พลันได้สติกลับมา นางเลิกคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “เป็นเจ้าเองหรือ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”

    ปี้เถาแค่นหัวเราะ พลางเหลือบมองเซียวมู่และแม่นางฉินด้วยสายตาดูแคลนแวบหนึ่ง ยังมีหน้ามาถามนางอีกหรือ? นี่ไม่ใช่เวลาถามเรื่องงามหน้าที่สุนัขชายหญิงทั้งสองคนทำอยู่หรอกเหรอ?

    “ฮูหยินเป็นห่วงแม่นางฉิน ดังนั้นบ่าวจึงอยากมาดูว่าแม่นางฉินทำอันใดอยู่ มาดูว่านางมีอะไรที่ต้องการจะสั่งหรือไม่ แต่มิคิดว่าจะพบแม่นางฉินที่นี่ ซึ่งก็ช่วยลดปัญหาให้บ่าวไปเยอะเลย!” ปี้เถาเชิดหน้า น้ำเสียงเจือการเยะเย้ยดูแคลนอย่างบอกไม่ถูก

    พอได้ยินเช่นนี้ แม่นางฉินก็เดือดดาลด้วยโทสะเต็มเปี่ยม หญิงสาวฝืนปั้นรอยยิ้ม “จริงเหรอ? ขอบคุณพี่สะใภ้สำหรับน้ำใจ ขอบคุณมากนะ! ขอบคุณมากนะ ข้าไม่มีคำสั่งใดๆหรอกนะ! หายากนักที่เจ้าจะมาที่นี่ในตอนดึกดื่นเช่นนี้!”

    หลังจากรับรู้เสร็จแล้ว เจ้าก็รีบไปได้แล้ว!

    ติงเซียงและปี้เถาเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน เมื่อคิดถึง

ฉากเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อน และตอนนี้พวกนางกลับมาถูกเหยียบย่ำโดยสาวใช้หยาบคายที่อยู่ข้างกายหญิงชาวบ้านผู้นั้น ในใจของนางจะยินยอมได้อย่างไร?

   นางจึงอดเปล่งเสียงอุทานไม่ได้ “อ้อ” และเอ่ยเสียงเรียบ “น้องปี้เถามาได้จังหวะนัก!  ทุกวันแม่นางฉินต้องหนาวเหน็บในห้องถือศีลภาวนา และข้าไม่เห็นใครที่ฮูหยินส่งมาดูเลย วันนี้การที่แม่นางจะออกมาเดินเล่นหย่อนใจข้างนอกนั้นไม่ง่ายเลย และการที่แม่นางปี้เถามาที่นี่! นี่คืออะไรรึ? เป็นความจริงที่แม่นางของเราถือศีลบำเพ็ญเพียร แต่ไม่ใช่ถึงขั้นที่จะมาถูกคุมขังอยู่ในเรือนใช่ไหม?  แค่พบกับใครก็ทำไม่ได้หรือ?”

    ปี้เถาจ้องหน้าติงเซียงด้วยความโมโห จู่ๆโทสะบนใบหน้าก็หายไปจากใบหน้าเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวแค่นเสียงเยาะ “ข้าคร้านเกินกว่าจะสนใจเจ้า!  ติงเซียง หากเจ้าลองคิดถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฮูหยินนั้น หากนางเป็นคนใจดำอำมหิต เจ้ายังจะกล้ามาต่อปากต่อคำกับข้าปาวๆแบบนี้หรอกเหรอ? พอเถอะ! อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้นะ ก่อนหน้าที่เจ้านายและสาวใช้อย่างเจ้ายังอาศัยอยู่ในจวนฝั่งโน้น เจ้าหัวอ่อนทำตัวเชื่อฟังดีนัก กระทั่งเมื่อมีใครมาโขกสับกลั่นแกล้งเจ้า เจ้าก็ได้แต่อดทนต่อการดูถูก และยอมแบกรับด้วยความอดทน! แต่พอมาตอนนี้เจ้ากลับกร่างขึ้นเรื่อย ๆ

    “เจ้า!” ใบหน้าติงเซียงแดงก่ำในชั่วพริบตา ดวงตาเบิกกว้าง หายใจหอบสะท้านแรง

   ปี้เถาเอ่ยขึ้น “นี่คือจวนตะรกูลหลี่ และแม่นางฉินก็เป็นคนนอก และต่อให้ชายและหญิงจะคุ้นเคยสนิทกัน พวกเขาก็ไม่น่าจะให้ความเป็นกันเองถึงเพียงนี้ กระมัง? ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ยังมาอยู่ในสวนด้านหลังอีก- อะแฮ่ม หากมีสิ่งใดผิดพลาด ท่านก็อาจไม่สนใจชื่อเสียงของตนเอง ทว่าก็อย่ามาทำลายชื่อเสียงของนายท่านและฮูหยินเจ้าของจวนก็แล้วกัน!”

   สิ้นคำของปี้เถา แม่นางฉินก็หน้าถอดสี ติงเซียงก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน ส่วนเซียวมู่ก็นิ่งอึ้งไป

   หญิงสาวต่อว่าครบสามคนแล้ว จึงหันหลังแล้วสาวท้าวยาว ๆจากไปทันที

   ข้าไม่เคยเห็นใครหน้าหนาเท่านี้มาก่อนเลย!

   แม่นางฉินถอนหายใจช้าๆ ด้วยความโล่งใจ แล้วจึงฝืนยิ้มให้เซียวมู่  ขณะกำลังจะพูดอะไร ทว่าก็เห็นเซียวมู่รีบเอ่ยว่า “ไว้ข้ามีเวลาจะมาเยี่ยมเจ้าอีก!” ครั้นแล้วก็หันหลังรีบสาวเท้าจากไป

   กว่านางจะเปิดปากโต้ตอบก็สายไปเสียแล้ว

   แม่นางฉินนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ครั้นแล้วคลื่นโทสะลึกๆและความขุ่นเคืองก็คล้ายจะปะทุขึ้นมาอีก พี่เซียว เขาถึงกับปฏิบัติกับนางเช่นนี้!

   ติงเซียงเองก็ขุ่นแค้นยิ่งกว่า นางกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด “นางทาสของนางจิ้งจอก มันก็เป็นพวกจิ้งจอกเหมือนกันๆ ดูแผนชั่วร้ายนี้สิ ดูท่าพวกนั้นคงจะไม่หยุด หากพวกนางไม่ได้ฉกสหายที่ดีที่สุดของแม่นางไปด้วย”

   พอได้ยินเช่นนี้ แม่นางฉินก็กระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น นางจึงเอ็ดใส่ติงเซียง ก่อนจะหมุนตัวด้วยใบหน้าเย็นชา แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนถือศีลภาวนา

   เซียวมู่รีบวิ่งตามหลังปี้เถาไปจนทัน แล้วร้องเรียกอีกฝ่าย “แม่นางปี้เถา” อยู่สองรอบเพื่อหยุดนาง

   ปี้เถาไม่อาจเดินหนีไปได้ จึงกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ พลางจ้องเซียวมู่เขม็ง แล้วแค่นเสียงใส่ “แม่ทัพเซียวต้องการจะทำอะไร?  จะสังหารคนหรือ?

   เซียวมู่โมโหยิ่งนัก เมื่อโดนประโยคที่ไม่สุภาพสาดใส่หน้า เขาพลันหดหู่อย่างหนัก แต่เหนืออื่นใด ชายหนุ่มคิดว่าเขาต้องมาขอความช่วยเหลือ ดังนั้นจึงจำต้องสะกดกลั้นโทสะเอาไว้ “แม่นางปี้เถาเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่อยากจะอธิบายให้กระจ่าง! ข้าและแม่นางฉิน เราต่างบริสุทธิ์ใจต่อกัน—“

   ปี้เถาไม่รอให้เขาพูดจบจึงแค่นเสียงดูถูกใส่อีกฝ่าย พลางเลิกคิ้ว “เชอะ แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอันใดกับข้า! “ แล้วจึงแค่นเสียงอีก “แม่ทัพเซียวคงคิดไม่ออก แต่โชคร้าย ที่ความหวังของผู้คนนั้นสูงลิบ สายตานางจึงจ้องตรงไปที่นายท่านของข้า!”

    “หยุดได้แล้ว!” เซียวมู่รู้สึกเพียงว่าหัวใจตนกำลังถูกจ้วงแทงอย่างรุนแรง  จึงตวาดเสียงเฉียบ

   เขาเกิดมาในกองทัพ และร่วมสู้รบอยู่ในกองทัพที่ทรงแสนยาสุภาพในสมรภูมิรบ ย่อมมีกลิ่นอายดุร้ายซึ่งคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้  ในเวลาปกติ ผู้คนจะสัมผัสกลิ่นอายนี้ไม่ได้  ดังนั้นกลิ่นอายนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่สาวน้อยอย่างปี้เถาจะสามารถทนได้

    เมื่อเห็นปี้เถาหน้าถอดสี น้ำตาคลอด้วยความตกใจกลัว เซียวมู่จึงรู้สึกวุ่นวายใจไปชั่วขณะ  ไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ตรงไหนดี เขาจึงลดเสียงห้วนให้อ่อนลงนิดหนึ่ง “ข้า..ข้าและแม่นางฉินแค่พูดกันสองสามประโยค และไม่มีเรื่องลับลมคมในใดๆเลย เจ้าอย่า เจ้าอย่าเอาไปคุยกับผู้อื่น …นางเป็นหญิงสาวยังไม่ออกเรือน ชื่อเสียงนั้นสำคัญต่อนางนัก ต่อไปข้าจะไม่ไปหานางอีกแล้ว!”


1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ4 มกราคม 2567 เวลา 01:39

    ไม่รู้ว่า ดอกบัวขาว หรือชาเขียวเหมาะกับแม่นางฉินมากกว่ากัน

    ตอบลบ