วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 765 ใครรังแกเจ้า

       ไม่แปลกใจเลย หลังจากได้ยินคำพูดของชุนซิ่ง เหลียนไห่ก็ปฏิเสธที่จะติดตามนางเข้าเมืองหลวง และยังคงยืนกรานว่าเทียนจินนั้นไม่อึกทึกหนวกหูอย่างในเมืองหลวง และเงียบสงบกว่า เหมาะสมกับการทบทวนตำรามากกว่า

    ยิ่งชุนซิ่งถ่ายทอดคำเชื้อเชิญของเหลียนฟางโจวและหลี่ฟู่ต่างๆนาๆ เหลียนไห่ก็ยิ่งปฏิเสธเสียงแข็งขึ้น


    สุดท้าย ชุนซิ่งจึงจากไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ด้วยสีหน้าผิดหวัง ส่วนในใจ ก็คล้ายเหลียนฟางโจว นางรู้สึกดูแคลนเหลียนไห่เต็มที่

    ต่อมา หลังจากสถานการณ์กลับมาสงบมั่นคงแล้ว แม้ว่าหลี่ฟู่จะบอกว่าตำแหน่งงานของเขาไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำยังมีงานในมือมากกว่าเดิม และมีอำนาจสั่งการสูงขึ้น ขณะเหลียนไห่ก็มีใจอยากจะไปหาถึงจวนเพื่อขอพักอยู่ด้วยแล้ว

   อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงตอนที่เขาปฏิเสธออกไปอย่างแน่วแน่ถึงเพียงไหนในตอนก่อนหน้า และคิดถึงนิสัยของเหลียนฟางโจวด้วยแล้ว เขาก็ไม่กล้าย่างกรายมาที่จวน

  เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินว่าซุนหมิงและซูซินเอ๋อร์กำลังมา เธอย่อมเบิกบานยินดี และรีบกระวีกระวาดสั่งให้ชุนซิ่งกับปี้เถาออกไปทักทายพวกเขา ส่วนเธอก็ให้หงอวี้ช่วยประคองเดินจากเขตเรือน แล้วมายืนรออยู่ใต้ชายคาประตู

   ขณะที่รอ ก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้

   การที่ซุนหมิงมาเเยี่ยมนั้น เธอไม่มีข้อกังขา ทว่าซูซินเอ๋อร์จะเต็มใจมาเยี่ยมด้วยหรือ? เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!

    ด้วยนิสัยใจคอของซูซินเอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่านางเสียเปรียบที่แต่งงานกับซุนหมิง นางไม่ใช่คนที่จะยอมให้เกียรติคนอื่น หากนางไม่ยอมมา ซุนหมิงยังคงสามารถบีบบังคับนางได้สำเร็จหรือ?

     เหลียนฟางโจวยกยิ้มมุมปาก ในใจก็พลันรู้สึกกังวลขึ้นมานิดหนึ่ง…

     หญิงสาวไม่รู้ว่าซูซินเอ๋อร์ยินยอมมากับซุนหมิงในวันนี้อย่างฝืนใจ และก็ไม่รับปากว่าจะไม่ชักสีหน้าเวลาเจอเหลียนฟางโจว และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมด

    นางไม่มีทางเลือก จึงจำใจต้องมาเมืองหลวงกับซุนหมิง ซึ่งทีแรกก็รู้สึกแปลกใหม่ เหนืออื่นใด แม้นางจะชอบออกไปเดินเล่นเล่นข้างนอก และไม่ได้ถูกบิดามารดาบังคับให้คอยเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนหลัง ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางเดินทางมาไกล และได้มาเห็นทัศนียภาพสิ่งแวดล้อมในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างออกไป รวมไปถึงธรรมเนียมมรรยาทด้วย 

    ทว่ายิ่งใกล้ปีใหม่เท่าไร หญิงสาวก็ยิ่งคิดถึงบิดามารดา พี่ชายและพี่สะใภ้ ทุกครั้งที่นางได้ไปเห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อข้าวของที่ใช้ในวันปีใหม่บนท้องถนน

    ความรู้สึกคิดถึงญาติสนิท ก็ยิ่งท้วมท้นในใจมากขึ้นทุกที  ไม่ว่าความครึกครื้นตื่นเต้นในเมืองหลวงจะมากมายแค่ไหน ก็ไม่อาจหันเหจิตใจของนางได้

    และยิ่งรอบกายคึกคักมีชีวิตชีวามากมายเท่าไร ความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวก็ยิ่งกล้าแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ

    อีกนัยหนึ่ง ยิ่งนางอ้างว้างว้าเหว่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงไม่อาจรับมือซุนหมิงได้แล้ว นางก็ยังไม่อยากความเศร้าสร้อยต่อหน้าเขาด้วย

    และในคืนวันส่งท้ายปีเก่า นางก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป อารมณ์ความรู้สึกที่ได้สะกดกลั้นมายาวนาน ก็ได้ฤกษ์ปะทุขึ้น นางกินอาหารได้ไม่กี่คำ ก็มานอนโดดเดี่ยวบนเตียงเตาอุ่นในศาลา พลางร้องไห้กระซิกๆไปเงียบๆคนเดียว

    เมื่อเห็นว่านางไม่มีความอยากอาหารมื้อเย็น ซุนหมิงก็คิดว่านางอาจล้มป่วยก็เป็นได้ เขาจึงเข้าไปดูนาง

    เหนืออื่นใด นางได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาแล้ว ต่อให้ในยามปกติ คนทั้งสองจะเปรียบเสมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่านางผิดปกติไม่ได้

   ซุนหมิงตกใจที่พบว่าแม่เสือตัวนี้ แท้จริงแล้วกำลังร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่

  ขณะที่เขากำลังจะพูดเพื่อปลอบใจและสอบถาม ซูซินเอ๋อร์ก็ยกชายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาแรงๆ แล้วแค่นเสียงใส่เขา “หากท่านอยากหัวเราะ ก็เชิญหัวเราะได้เลย ท่านไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหรอก! ข้าก็แค่ร้องไห้ มีอะไรผิดปกติกัน!”

    ซุนหมิงพลันพูดไม่ออกในทันใด “เอ่อ ข้าจะหัวเราะเจ้าไปเพื่ออะไร? ข้าเห็นว่าเจ้ากินมื้อเย็นได้ไม่มาก เจ้าไม่สบายอะไรหรือเปล่า? เจ้าอยากให้หมอมาดูไหม? ตอนนี้อากาศหนาวเย็น และที่นี่หนาวเย็นกว่ามากกว่าบ้านเราทางโน้น เจ้าเป็นหวัดหรือ?”

   ซูซินเอ๋อร์ไม่คาดว่าคนผู้นี้ ไม่ใช่สิ เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะมาใส่ใจนาง หญิงสาวจึงนิ่งงันไป

   หากเป็นยามปกติ ความห่วงใยที่เขามีให้นางคงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เมื่อคนเรามาอยู่ต่างถิ่น อยู่ไกลจากญาติพี่น้อง และอยู่ในช่วงเทศกาลที่ครอบครัวทั้งหลายต่างกลับมาพบหน้ากันเช่นนี้ จิตใจย่อมว้าเหว่ น้ำหนักความห่วงใยนี้จึงกลายเป็นมีน้ำหนักมากขึ้นทีเดียว

   ดวงตาซูซินเอ๋อร์แดงก่ำ นางยู่ปากอยากจะพูดคำพูดขอบคุณสักสองสามคำ แต่คนนิสัยดื้อรั้นอย่างนางจะเอ่ยออกมาได้ที่ไหน?

   หลังจากสะกดกลั้นมาเป็นเวลานาน ก็มีเพียงประโยคเดียวที่หลุดจากปากออกมา “ไม่ใช่ว่าท่านอยากทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าท่านหรอกหรือ? ทำไมท่านไม่หัวเราะเยาะข้าเล่า?”

   “…” ตรรกกะอะไรกันเนี่ย ซุนหมิงอยากจะดุนางสักสองที แต่เมื่อเห็นนางมีสภาพแบบนี้ เขาก็เลยจำต้องอดกลั้น แล้วเอ่ยอย่างอดทน “การหัวเราะเจ้ามันเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับข้าเหรอ? มันมีอะไรดีสำหรับข้ากัน? เจ้า—“

    ทันใดนั้นก็มีแสงวาบขึ้นมาในหัวเขา เขาจึงพูดขึ้นทันใด “เจ้าคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ใช่ไหม?”

   ซูซินเอ๋อร์อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป จึงร้องไห้โฮออกมา พลางเอามือขยี้ตาไปพลาง ร้องไห้ไปพลาง “ฮือๆๆ ข้ายัง ข้ายังคิดถึงพี่ชายอีกด้วย ฮือๆๆ!”

   ซุนหมิงไม่เคยเห็นแม่เสือสาวที่ดื้อรั้นเผด็จการและดุร้ายของตน  จร้องไห้ฟูมฟายเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มจึงอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ ขณะยกมือขึ้นมาจะลูบหลังนาง ก็ชะงักมือค้างกลางอากาศ ก่อนจะจะลูบหลังนางเบาๆอย่างลังเล ครั้นแล้วก็เอ่ยเสียงนุ่ม “วันนี้คือวันปีใหม่ ไม่แปลกใจที่เจ้าจะคิดถึงพวกเขา ไม่ใช่ว่าถึงอย่างไร เจ้าก็คงไปพบพวกเขาไม่ได้ แล้วเจ้าจะร้องไห้ไปทำไม? เอาไว้ในปีหน้า ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านเดิม เจ้าจะได้อยู่กับครอบครัวของเจ้าได้นานตามที่เจ้าต้องการ ดีไหม?”

   ซูนซินเอ๋อร์พลันโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็คงสะอึกสะอื้นแบบไม่มีเสียง

   ซุนหมิงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ชั่วครู่ แล้วจึงยิ้มออกมา “ข้าได้ยินว่าเทศกาลโคมไฟที่จัดในวันที่ สิบห้าของเดือนหนึ่งในเมืองหลวงคึกคักน่าสนุกนัก และมีโคมไฟดอกไม้น่ารักๆไม่เหมือนใครมากมาย ซึ่งหาไม่ได้ในที่อื่นเลย! เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะพาเจ้าไปดู เจ้าเห็นเป็นอย่างไร?”

   ดวงตาของซูซินเอ๋อร์วาววับ จิตใจพลันวูบไหวไปชั่วขณะ หญิงสาวเอ่ยอย่างลังเล “แต่ว่า ไม่ใช่ว่าท่านกำลังจะเข้าสอบในเดือนสองนี้หรอกเหรอ? มันจะไม่ทำให้ท่านอ่านหนังสือล่าช้าเหรอ?”

   ซุนหมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าอ่านหนังสือมานานมากแล้ว และตอนนี้ข้ารู้สึกว่าสนิมขึ้นเกาะตัวข้ามากเกินไปแล้ว! อีกอย่าง การออกไปข้างนอกสักครั้งสองครั้ง ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อข้าเลย เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก!”

   เขาเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจ “ช่วงนี้ลำบากเจ้าแล้ว  ที่ผ่านมาข้าก็มัวแต่ทบทวนตำรา และไม่ได้บอกว่าจะพาเจ้าออกไปเดินเล่น เจ้าจับเจ่าอยู่แต่ในจวน คงจะเบื่อกระมัง? ทำไมเราไม่ออกไปเดินเล่นข้างนอกสักวันสองวันเล่า!”

   ซูซินเอ๋อร์อึดอัดแทบตายมานานแล้ว ทว่านางยอมอึดอัดดีกว่าจะขอร้องซุนหมิง อีกอย่างที่นี่คือสถานที่ใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ เทียบไม่ได้กับที่บ้านเกิด นางย่อมมีความรู้สึกหวาดกลัวในใจ และไม่กล้าออกไปกับสาวใช้กันตามลำพัง เพราะกลัวจะประสบปัญหาเข้า

   เมื่อได้ยินซุนหมิงพูดมาเช่นนี้ นางก็พลันยู่ปากขึ้น แล้วก็บ่นกระปอดกระแปด “ท่านยังกล้าพูดอีกเหรอ? ข้าอึดอัดมาตั้งนานแล้วนะ!”

    ซุนหมิงคลี่ยิ้ม “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นหรือยัง? เจ้าอยากกินอะไรอีกไหม?”

   เมื่อซูซินเอ๋อร์ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ นางก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าขึ้นมาสองส่วนโดยไม่รู้ตัว พลางพยักหน้า “อืม”

   ซุนหมิงจีงสั่งจู๋เซียงให้ไปเอาน้ำมาปรนนิบัติหญิงสาวล้างหน้า แล้วสั่งห้องครัวให้เอาบะหมี่น้ำแกงไก่หมูหมักใส่หน่อไม้มาชามหนึ่ง

    ซูนซินเอ๋อร์ได้ยินแล้ว ก็เหลือบมองเขาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกถึงความอบอุ่นในใจขึ้นมานิดหนึ่ง รวมถึงความหวานที่ผุดขึ้นมาในใจโดยไม่มีสาเหตุ นี่คืออาหารโปรดของนาง นางไม่คิดว่าเขาจะรู้จริงๆ ยกเว้นบิดา มารดา และพี่ชายแล้ว ก็ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจจะรู้ว่านางโปรดปรานอะไรมากนัก!

   เพราะฉะนั้น เช้าวันนี้ เมื่อซุนหมิงลากนางลงจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ และบอกว่าเขาอยากจะไปเยี่ยมเหลียนฟางโจวที่จวน แม้ว่าซูซินเอ๋อร์จะไม่พอใจนัก และแสดงออกทางสีหน้า แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร และยอมลุกขึ้นไปล้างหน้าบ้วนปากและแต่งตัวแต่โดยดี

   ชั่วขณะที่จะออกไป ก็อดบ่นในใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนข้าเพิ่งกินบะหมี่ที่เขาสั่งให้ข้าไปชามหนึ่งหรอกหรือ? พอเขาเลี้ยงดูปูเสื่อข้า ก็มาทำตัวเป็นเจ้านายข้าอย่างไม่เกรงใจ! แต่สุดท้ายหญิงสาวก็กระดากใจจะเอ่ยปฏิเสธอยู่ดี!

    ด้วยเหตุนี้เหลียนฟางโจวจึงมารออยู่ที่ประตู จนกระทั่งคนทั้งคู่มาถึง


2 ความคิดเห็น: