วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 781 ฮูหยินจูมาเยือนด้วยตนเอง

       ฮูหยินจูไม่ได้คาดหวังว่าฮูหยินรองและสองลูกสะใภ้ตระกูลหลี่จะสามารถเจรจาได้ทันที หากพวกนางทําได้ บุตรสาวของตน คงไม่ต้องพบกับความอับอายขายหน้าแล้ว!


    เหตุผลที่นางทําเช่นนี้ เป็นเพียงการโยนหินถามทางเท่านั้น แค่ลองทดสอบดูสักครั้งสองครั้ง

    เหลียนฟางโจวเองก็ยังเดาความจริงข้อนี้ได้ เธอจึงรอคอยฮูหยินจู และลูกสะใภ้จะมาเยือนที่จวนในสักวันหนึ่ง

   เธอไม่ได้บอกหลี่ฟู่ เรื่องที่อาสะใภ้รองพี่สะใภ้รองและน้องสะใภ้สี่มาเยี่ยมเยียนที่จวน เพราะไม่ต้องการให้เขากังวลกับเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้

   แม้ว่าเธอจะรำลึกอยู่เสมอว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าขอเพียงหลี่ฟู่ยังโปรดปรานเธอ จะให้เธอใจกว้างกับใครๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้!

   แล้วฮูหยินจูล่ะ?  หากเธอไม่เห็นด้วย ก็คือไม่เห็นด้วย!

    เรื่องนี้เมื่อเธอตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวไปแล้ว ก็ต้องกัดฟันสู้ไม่ถอย เพราะยิ่งลากยาวออกไปนานเท่าไหร่  คนที่ย่ำแย่ก็จะเป็นจูอวี๋อิงและจวนตระกูลจู เหลียนฟางโจวไม่ต้องรอถึงสองวัน ฮูหยินจูก็พาสิ่วซื่อและจูหมอมอแวะมาเยี่ยม

    ซึ่งไม่เหมือนกับตอนที่สิ่วซื่อไปเยี่ยมฮูหยินรองและคนอื่น ๆ เพราะการไปเยือนจวนตระกูลหลี่สายหลักครานี้ เป็นการไปอย่างเอิกเกริก ด้วยกลัวชาวบ้านชาวเมืองไม่รู้เรื่องนี้

    ซึ่งย่อมดึงดูดความสนใจของชาวบ้านร้านตลาดได้อย่างรวดเร็ว

    ฮูหยินจูนับเป็นแขกที่โดดเด่น ดังนั้นเหลียนฟางโจวย่อมไม่อาจเสียมรรยาทได้

    หลังจากได้รับรายงาน เธอได้ให้ชุนซิ่ง ปี้เถา และคนอื่นๆ เอาเกี้ยวที่มีเบาะนุ่มนิ่ม ไปต้อนรับพวกนางถึงประตูชั้นที่สอง

    เมื่อเห็นว่าชุนซิ่งและคนอื่น ๆ ทำท่าทางคล้ายว่า พวกนางกําลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เหลียนฟางโจวก็อดหัวเราะไม่ได้ และพูดว่า "เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าทั้งหมด! ฮูหยินจูเป็นเพียงแขก! ดูพวกเจ้าสิ ทำท่าทางราวกบเจอฝูงสัตว์ร้ายกำลังวิ่งเข้ามาหา"

   ชุนซิ่งและคนอื่น ๆ ไม่ได้มีความรู้สึกดีกับคนนามสกุลจูแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่ว่า ฮูหยินจูคือมารดาของจูอวี๋อิงเลย!

    ปี้เถาผู้มีนิสัยเถรตรง เป็นคนแรกที่อดยู่ปากไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้น: "มันไม่ใช่ฝูงสัตว์ร้ายเท่านั้นนะสิเจ้าคะ! บ่าวอยากจะพูดว่า เทียบกันแล้วน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเจอสัตว์ร้ายตอนน้ําท่วมใหญ่เสียอีก แขกอะไรกัน แสดงอำนาจบารมีข่มขวัญเสียเอิกเกริกเช่นนี้! ฮูหยิน อีกเดี๋ยว ท่านต้องระวังตัวมากขึ้นนะเจ้าคะ อย่าปล่อยให้คนในตระกูลจูเข้ามาใกล้ท่านได้! "

    เหลียนฟางโจวทั้งขำทั้งฉุน "ยิ่งคนเรามีอำนาจบารมีมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งให้ความสำคัญกับหน้าตามากขึ้นเท่านั้น! พวกเจ้าทุกคนควรทำตัวให้เป็นปกติ ทำสีหน้าท่าทางแบบนี้ ใครเห็นก็รู้ว่าพวกเจ้ากลัวพวกเขา! พวกเขาไม่ใช่คนที่มีสามเศียรหกกรเสียหน่อย แล้วเจ้าจะกลัวอะไร! "

     ชุนซิ่งและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันและกัน เมื่อมองหน้ากันเองจนมั่นใจพอสมควรแล้ว และเห็นใบหน้าของเจ้านายที่ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์นัก พวกนางจึงรีบพยักหน้ารับคำ พลางหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับสีหน้าและอารมณ์

    ในระหว่างที่นายบ่าวกำลังสนทนากัน ฮูหยินจูและสิ่วซื่อได้มาถึง ภายใต้การนำทางของพ่อบ้านเฉียนแล้ว

     เหลียนฟางโจวร้องทักพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม  "ข้าตั้งครรภ์ เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก ฮูหยินจูและฮูหยินน้อยรองจู ได้โปรดอภัยให้ด้วย!" 

     สิ่วซื่อเหลือบมองหน้าท้องที่นูนสูงของอีกฝ่าย จึงแอบเหยียดริมฝีปากอย่างนึกดูถูก

   มารดาแบบนี้ ก็พลอยให้เด็กได้สายเลือดต่ำๆไปด้วย ก็คงมีเพียงแม่ทัพหลี่เท่านั้นที่โง่งม มัวปฏิบัติต่อนางราวกับสมบัติล้ำค่าไปได้!

   “ฮูหยินหลี่ไม่จําเป็นต้องไปหาถึงข้างนอกหรอก!" ฮูหยินจูพยักหน้าเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินตามคนสนิทของเหลียนฟางโจวเข้าไปด้านใน

    เมื่อพวกนางนั่งลงในห้องโถงหลักบนชั้นสองของเขตเรือนชั้นในแล้ว สาวใช้ก็ยกน้ำชามาบริการ และแล้วเหล่าสาวใช้ทั้งหมดก็ล่าถอยกลับออกไปโดยทันที มีเพียงชุนซิ่ง ปี้เถาที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ส่วนหงอวี้และบรรดาสาวใช้คนอื่นๆต่างยืนคุมเชิงอยู่ด้านนอก

    ฮูหยินจูจิบชาในมือด้วยกิริยางามสง่า พลางเช็ดมุมปากเบา ๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าปักลายในมือ ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "ชาชั้นหนึ่ง ชาเมฆหมอกแห่งเขาหวงซานอันหายาก วันนี้ช่างเป็นลาภปากจริงๆ!" 

    "ก็ไม่เชิงหรอกนะเจ้าคะ!" สิ่วซื่อหัวเราะและไม่คล้อยตามความเห็นของแม่สามี

    เหลียนฟางโจวยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า "ข้าดื่มไม่ได้ เพียงแค่คิดว่ากลิ่นชานี้หอมมาก! กลิ่นดูไม่ต่างจากใบใหญ่ของต้นมะไฟจีนที่ขึ้นในชนบทมากนัก! "

    เสียงหลุดหัวเราะของสิ่วซื่อที่ไม่สามารถเปล่งออกมาได้อย่างเต็มที่ดังขึ้น ขณะที่เหลียนฟางโจวได้ส่งยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วเอ่ยขึ้น "ฮูหยินจูและฮูหยินน้อยรองจู คงไม่ได้มาหาข้าเพื่อดื่มชาหรอกกระมัง? พวกท่านมาด้วยเรื่องคืนวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งที่เกี่ยวกับคุณหนูหกจูใช่หรือไม่? "

    แม่สามีและลูกสะใภ้ตระกูลจูต่างนิ่งชะงักไปชั่วครู่

    ฮูหยินจูคือผู้ที่ได้รับการอบรมมาดีและรอบรู้ และออกงานพบปะสังสรรค์ในวงสังคมชั้นสูงมาเกือบตลอดชีวิต และมั่นใจว่าไม่มีเหตุการณ์ใดที่นางไม่สามารถรับมือได้ แต่เมื่อจู่ๆนางได้ยินเหลียนฟางโจวพูดออกมาตรงๆโดยไม่อ้อมค้อม ก็รู้สึกคล้ายถูกคนจับได้โดยไม่ทันตั้งตัวขึ้นมา

   ฮูหยินจูรีบตื่นจากภวังค์โดยเร็ว ในเมื่อเหลียนฟางโจวได้พูดออกมาเองแล้ว นางก็จะได้ประหยัดเวลาพูดคุย!

    เมื่อมีโอกาสมาแล้ว นางจึงพยักหน้าโดยไม่ลังเล: "ใช่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวของข้า จูอวี๋อิง!" 

    เหลียนฟางโจวยิ้มแย้ม "เรื่องนั้นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่! ข้ายังคงคงคำพูดเดิมและความคิดแบบเดิม ดังนั้นข้าคิดว่าฮูหยินจูไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำพูดของบุตรสาวของท่านซ้ำอีกครั้งหรอกกระมัง! "

     ฮูหยินจูไม่เคยพบคนแบบเหลียนฟางโจวมาก่อน ไม่ว่าตนจะเป็นคนที่ได้รับการอบรมมาดีแค่ไหน แต่เมื่อเจอคำพูดของอีกฝ่ายเช่นนี้ ก็อดหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยไม่ได้ ครั้นแล้วจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ " ฮูหยินหลี่คิดว่าจะผ่านไปไม่ฟังเลยจริงๆหรือ? ไม่อยากได้ยินสิ่งที่ข้าจะพูดหรอกเหรอ? แน่นอนว่า ฮูหยินหลี่ไม่จําเป็นต้องสนใจบุตรสาวของข้า ทว่าเจ้าจะไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเองจริงๆน่ะเหรอ? "

    ในส่วนของเหลียนฟางโจว เธอตัดสินใจแล้วว่า จะไม่เจรจากับฮูหยินจู อย่างไรก็ตามเธอไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากนาง และไม่เคยคิดจะเป็นสหายกับเหล่าฮูหยินชั้นสูงในเมืองหลวง เพราะหลี่ฟู่ไม่ต้องการให้เธอคบหาสหายมากมาย แต่เมื่อได้ยินคําพูดของฮูหยินจู หญิงสาวก็อดสงสัยไม่ได้ จนโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า" ชื่อเสียงของข้ารึ?" 

    ทันทีที่คําเหล่านี้ถูกถาม เหลียนฟางโจวก็แอบหัวเราะในใจ:  ฮูหยินจูนี่น่าทึ่งจริงๆ! ทันทีที่เธออ้าปาก เธอก็เป็นฝ่ายโยนตัวเองลงไปในตาข่ายแล้ว!

   ในเมื่อเป็นเช่นนี้  ก็ลองฟังดูสักตั้งว่านางต้องการจะพูดอะไร!

    ฮูหยินจูถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น  "ฮูหยินหลี่อยากรู้ใช่ไหม? ตั้งแต่อิงเอ๋อร์ออกจากจวนของเจ้าในคืนนั้น เรื่องนี้ไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปแล้ว และมีข่าวลือออกมาแทบทุกประเภท! บุตรสาวข้าเป็นเด็กหัวรั้น  ทันทีที่นางตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้ใช้วัวเก้าตัว ก็ไม่สามารถดึงนางกลับได้! ยิ่งกว่านั้นความชื่นชมของนางที่มีต่อแม่ทัพหลี่เป็นที่รับรู้ของคนทั้งเมือง และแม้แต่ขุนนางในราชสำนัก ก็พูดคุยเป็นหัวข้อขบขันในเรื่องนี้! หากไม่ใช่เพราะแม่ทัพหลี่ประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทางกลับกรุงปักกิ่งเมืองหลวงเมื่อสองปีก่อน เฮ้อ เรื่องราวมันก็คงจบไปแล้ว ข้าคงไม่ต้องพูดหรอกกระมัง ตระกูลของข้าไม่เคยดูถูกแม่ทัพหลี่เลย อิงเอ๋อร์ก็ไม่ใช่คนที่มีคู่แข่ง นางชื่นชมแม่ทัพหลี่อย่างสุดหัวใจ ส่วนท่าน..ฮูหยินหลี่ ท่านเป็นคนที่แม่ทัพหลี่รักใคร่ชื่นชม  อวี๋อิงย่อมเคารพนับถือเจ้า หากไม่ใช่เพราะนางไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม ไร้ชีวิตจิตใจ ร้องไห้น้ำตาอาบหน้าทุกวัน ฮูหยินหลี่คิดว่าข้าจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้า เพื่อคุยเรื่องนี้กับเจ้ารึ ข้าเป็นมารดา ตระกูลของข้าและฐานะชาติตระกูลของครอบครัวก็ดียิ่งนัก แล้วเหตุใดข้าจะปล่อยให้บุตรสาวของข้าต้องคับข้องใจได้! "

    ฮูหยินจูกล่าวจบ ก็ถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าจิบชาช้าๆ

    เหลียนฟางโจวแทบจะปรบมือให้

    เมื่อเทียบกับจูอวี๋อิง ฮูหยินจูเหนือกว่าอยู่หลายขุม!

    เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่นางพูดมา มีเนื้อหาแทบจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน แต่ในคําพูดของฮูหยินจู เป็นความจริงว่าทุกๆคำของครอบครัวนางนั้นอับจนหนทาง และถูกบังคับให้ต้องทำ ซึ่งแตกต่างจากความคิดของจูอวี๋อิงที่เร่งรัดและข่มขู่กลายๆ!

    อย่างน้อย แม้สมองและจิตใจของเหลียนฟางโจวจะยังแจ่มใสยิ่งนัก และจิตใจก็ไม่ได้สั่นคลอนเลยสักนิด ทว่าสีหน้ากลับผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกว่าหัวใจของตนเองสงบลงมาก


1 ความคิดเห็น: