วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 785 บิดาและบุตรชายเข้าร่วมสู้

      ซูซินเอ๋อร์เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว"ท่าน ท่านปล่อยนะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!  ท่านพูดบ้าอะไรของท่าน!  พูดบ้าๆอะไรกัน! "

    ซุนหมิงเห็นว่าดวงตาของหญิงสาววาวโรจน์ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ และทำท่าเขินอายอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันใด จึงคลี่ยิ้มเยือกเย็น: "ฮูหยิน สิ่งที่ข้าพูดมาคือความจริง ความจริงอันยิ่งใหญ่ เจ้าต้องเชื่อข้านะ!" 


    ซูซินเอ๋อร์ได้ยินเขาหัวเราะดังขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวก็ยิ่งเขินอาย หงุดหงิด และแตกตื่นหนักขึ้น จึงเอ็ดใส่ด้วยความเดือดดาล: "เจ้าสัตว์ร้าย! เจ้าปล่อยข้านะ! "

    ซุนหมิงนิ่งอึ้งไป พลางเลิกคิ้ว และแทนที่จะปล่อยนาง เขากับบีบแขนนางด้วยสองมือแน่น แล้วคำรามในลำคอ "สัตว์ร้าย? นี่เจ้าเรียกข้าอย่างนี้เหรอ? ข้าได้ยินเจ้ากรีดร้องตอนเจ้านอนฝันอยู่หลายครั้ง! เจ้าบอกข้ามาสิว่าข้ากลายเป็นสัตว์ร้ายได้อย่างไร? "

   ซูซินเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่า นางจะละเมอเรียกเขาแบบนี้ในความฝันด้วย ทันใดนั้นนางก็รู้สึกผิด และรีบแก้ตัววุ่นวาย " เหลวไหล ท่านต้องได้ยินมาผิดแน่!" 

   ซุนหมิงอดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้อีก "ถูกแล้ว! สัตว์ร้าย ข้าเป็นสัตว์ร้าย! และเจ้าย่อมเป็นฮูหยินของสัตว์ร้ายด้วย "

   "ซุนหมิง!" ซูซินเอ๋อร์เดือดดาล

    ซุนหมิงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม แล้วฉุดหญิงสาวพาเข้าไปในห้องนอน โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง และไม่สนใจการประท้วงที่ดูเหมือนจะไม่กลัวเกรงอย่างชัดเจน จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆทรมานหญิงสาวให้สมกับสมญานามว่า "สัตว์ร้าย"

    เพียงชั่วพริบตา  ก็ถึงวันสอบฮุ่ยซื่อ[1]แล้ว

   นี่เป็นพิธีการสอบคัดเลือกคัดเลือกระดับแคว้นที่จัดขึ้นทุกๆสามปี และยังเป็นเพียงหนทางเดียวสําหรับเด็กหนุ่มยากจนทุกคนในใต้หล้านี้  ที่จะมีโอกาสพลิกชะตาชีวิตของตน และย่อมเป็นที่สนใจของคนทุกผู้ทุกนามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

   ซุนหมิงตื่นแต่เช้าตรู่ และเตรียมตัวออกเดินทางก่อนรุ่งสาง

   แสงไฟที่ถูกจุดขึ้น ทำให้ในจวนหลังเล็กๆสว่างไสว และข้ารับใช้ทุกคนก็ตื่นขึ้นมายุ่งกับหน้าที่กันอย่างประหม่าและตื่นเต้น

  ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา ของซุนหมิงและซูซินเอ๋อร์มีความกลมเกลียวกันยิ่งนัก ไม่เห็นท่าทางที่ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากันอีกต่อไป ใบหน้าเล็กๆอันงดงามน่ารักของซูซินเอ๋อร์ก็มีเสน่ห์และสดใสเปล่งปลั่งมากขึ้น

    เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งด้วยสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย ซุนหมิงที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็โอบไหล่ของนางเบา ๆด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม: "เจ้ารอข้าอยู่ที่บ้านนะ ช่วงที่ข้าไม่อยู่หลายวันนี้  เจ้าอย่าได้ออกไปข้างนอกคนเดียว อีกไม่นานข้าก็กลับมาแล้ว! "

    ดวงตาของซูซินเอ๋อร์อ่อนลง แววแห่งความอาลัยอาวรณ์เพิ่มขึ้นสองส่วนโดยไม่รู้ตัว  "อื้ม เก้าวัน ที่ท่านต้องติดแหงกอยู่ที่นั่น ก้าวเท้าออกไปไหนไม่ได้แม้แต้ครึ่งก้าว ซ้ำตัวเองก็ยังต้องดูแลเอง!" 

    ซุนหมิงหยุดยิ้ม พลางนึกเอ่ยในใจ หายากนักที่เจ้าจะพูดแบบนี้ หากเจ้าอยากจะบอกว่าให้ข้ารักษาตัวด้วย ก็พูดออกมาสิ!

    ชายหนุ่มจึงพยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "วางใจเถอะ! เจ้าก็ด้วย! “ แล้วจู่ๆชายหนุ่มก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้น พลางกระซิบที่ข้างหู "เจ้าเองก็อย่าคิดถึงข้ามากเกินไปล่ะ!" 

   ใบหน้าของซูซินเอ๋อร์ขึ้นสีแดงระเรื่อ พลางจ้องมองเขา แล้วเอ่ยเสียงลอดไรฟัน : "น่าไม่อาย! ใครคิดถึงท่านกัน! "

   ซุนหมิงหัวเราะเสียงดัง และในที่สุดก็กล่าวคําอําลากับนาง ก่อนจะขึ้นรถม้าแลวจากไป

   ซูซินเอ๋อร์และจู๋เซียงยืนอยู่ที่ประตูรั้ว พร้อมกับคู่สามีภรรยาที่ตระกูลซูพามา และไม่ได้หันหลังกลับเลยจนกระทั่งมองไม่เห็นรถม้าอีกต่อไป

   จู๋เซียงอดยิ้มไม่ได้แล้วพูดขึ้นว่า "ท่านเขยเรียนเก่งยิ่งนัก และจะต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน ฮูหยินน้อยวาดอนาคตไว้ได้เลย ว่าจะต้องรุ่งเรืองยิ่งใหญ่มากแน่เจ้าค่ะ!" 

    ซูซินเอ๋อร์เหลือบมองสาวใช้ แล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า "หากเขาสอบไม่ผ่าน ก็ไม่เป็นไรหรอก  หากเขาสอบไม่ติด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอย่างอื่นไม่ได้! ตระกูลซูของเราทำการค้าเป็นส่วนใหญ่ มีกิจการไหนที่เขาจะทำไม่ได้เลยหรือไร?“

   นางกับเขาเพิ่งจะญาติดีกันได้เพียงไม่นาน ก็มีอันต้องแยกจากกันไปนานเสียแล้ว ซูซินเอ๋อร์รู้สึกว่าในใจไม่พอใจอยู่หน่อยๆ สําหรับการเป็นฮูหยินขุนนางนั้น นางไม่เคยสนใจเลยจริงๆ!

   บางคนก็ลืมความไม่ลงรอยกันในอดีต และมีจิตใจที่ปรอดโปร่งขึ้น ในขณะที่บางคนก็กำลังกังวลและร้อนใจ จนแทบจะรอคอยไม่ไหว

    เดิมทีฮูหยินจูเต็มไปด้วยความมั่นใจว่า ด้วยการโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่หยุดยั้ง นางจะบีบบังคับเหลียนฟางโจวให้ยอมประนีประนอมอย่างแน่นอน และนางถึงกับคิดว่าจะวางท่าอย่างไร ตอนที่แกล้งทำเป็นอิดออดเล่นตัว เพื่อทรมานอีกฝ่ายเล่น ในยามที่อีกฝ่ายมาขอประนีประนอมยอมตกลงถึงจวนตระกูลจู ใครเล่าจะรู้ว่าทางฝั่งหลี่ฟู่ไม่มีการตอบสนองใดๆเลย!

    ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่ยอมแพ้ และสั่งให้ลูกชายของนางติดสินบนให้บางคนไปพูดจาเสียดสีเยาะเย้ยกึ่งเท็จกึ่งจริงที่หน้าจวนตระกูลหลี่- มีผู้ชายกี่คนกันที่จะนิ่งเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ในยามที่ต้องโดนผู้อื่นหัวเราะเยาะ? ตราบใดที่หลี่ฟู่กลับไปที่จวนแล้วโดนโจมตี นาง..เหลียนฟางโจวก็คงสามารถไปเยือนจวนตระกูลจูได้แล้วกระมัง!

   ใครเล่าจะรู้ว่า เมื่อหลี่ฟู่ได้ยินเข้า ชายหนุ่มกลับหัวเราะอย่างไม่แยแส ในคำบริภาษที่คนอื่นพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง กลับกันเขากลับเผยสีหน้าทำนอง “ข้าเป็นคนกลัวภรรยา แล้วมันเดือดร้อนใครเหรอ?”

    ด้วยมีการจัดการสอบฮุ่ยซื่อ เหตุการณ์สําคัญนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของครัวเรือนหลายพันครัวเรือน และแม้แต่ระดับแว่นแคว้น จึงย่อมมีความสําคัญมากกว่า เรื่องซุบซิบนินทาที่โจษจันกันมานานหลายวัน ดังนั้นจุดสนใจของผู้คน ก็ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นเรื่องการสอบในครั้งนี้  ส่วนเรื่องเบ็ดเตล็ดปลีกย่อยของคุณหนูแห่งจวนตระกูลจู ก็ค่อยๆถูกพูดถึงน้อยลงไปทุกที

   ความหวังของจูอวี๋อิงที่เฝ้ารอมาด้วยความดีใจ ก็กลายเป็นความผิดหวังอีกครั้ง และภายใต้ความเศร้าและความผิดหวัง ก็ทำให้เกิดเรื่องเอะอะโวยวายครั้งใหญ่ขึ้นมาอีก และทําให้ฮูหยินจูโกรธยิ่งนัก

    สําหรับบุตรสาวของนางเอง นางชิงชัง ที่ต้องมาเจ็บปวดกับการที่บุตรสาวล้มเหลวไม่เป็นดังหวัง และสถานการณ์ในขณะนี้ ก็นางก็เหมือนกับขี่หลังเสือ แล้วลงจากหลังเสือไม่ได้แล้ว ส่วนเหลียนฟางโจว นางเกลียดชังอีกฝ่ายอย่างที่สุด

    อีกฝ่ายช่างเป็นหญิงชาวบ้านในชนบท ที่สายตาคับแคบอะไรเช่นนี้! อีกทั้งหัวแข็งเกินไปจริงๆ! ฮึ่ม แถมชื่อเสียงก็เลวร้ายด้วย  เหลียนฟางโจว เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยในเมืองหลวงได้จริงๆเหรอ ในเมื่อเจ้าชนกําแพงไปทุกที่ เจ้าจะรู้ไหมว่าตัวเองทำผิดแค่ไหน!

    ฮูหยินจูไม่เคยฉุกคิดบ้างเลยเหรอว่า หากเหลียนฟางโจวถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ไปเยือนที่จวนตระกูลจูเข้าจริงๆ ในอนาคตนางจะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นจริงๆเหรอ? ชีวิตนางจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับตระกูลจูที่จะเป็นผู้ลิขิตหรอกเหรอ!

    สิ่งที่ทําให้ฮูหยินจูหงุดหงิดยิ่งกว่า นั่นก็คือ นางถูกสามีตำหนิอีกแล้ว ตำหนิว่านางไม่ควรคิดการร้ายเช่นนี้ และยามนี้ไม่มีใครยอมก้าวลงจากเวทีสักคน แล้วเขาจะก้าวลงจากเวทีได้อย่างไร!

    ฮูหยินจูไม่มีทางเลือก จำต้องลเทิฐิลง แล้วเอ่ยว่า "นายท่านก็พูดเองว่า ตอนนี้ข้าไม่มีทางลงแล้ว ข้าจึงต้องใช้วิธีการโหดๆบ้างสิ!  เหตุใดนายท่านไม่ไปขอให้หลีอ๋องทรงออกหน้าช่วยคุยกับแม่ทัพหลี่——"

   ก่อนที่ฮูหยินจูจะพูดจบ นางก็ถูกนายท่านจูตําหนิ "ช่างขวัญกล้าอะไรเยี่ยงนี้! อย่าแม้แต่จะคิดนะ! แม้ว่าหลีอ๋องจะทรงเป็นลูกเขยของเรา แต่พระองค์ก็ยังเป็นหงส์สวรรค์และมีฐานะสูงส่งยิ่งกว่า! เจ้าคิดว่ายังก่อปัญหาไม่พออีกเหรอ? ต้องให้ท่านอ๋องต้องมามีส่วนร่วมด้วยเหรอ! หากเรื่องนี้ไปกระตุ้นให้ฮ่องเต้ทรงบังเกิดความสงสัยขึ้นมา แล้วเรื่องราวจะจบลงอย่างไร! "

    ฮูหยินจูไม่เห็นด้วย "อิงเอ๋อร์ชื่นชมแม่ทัพหลี่ ส่วนฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะทรงไม่รู้  ยิ่งฮองเฮาในวังหลวงก็ทรงขบขันเพราะเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ก็ต้องทรงเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้! หลีอ๋องก็ทรงรู้เรื่องนี้ แล้วมันจะเป็นอันตรายอันใด! "

    นายท่านจูแค่นเสียง "ไม่ว่าเวลานี้ หรือเวลาไหนเวลา!  สรุปสั้นๆว่า เจ้าต้องไม่บังอาจเกิดความคิดเหลวไหลนี้! “ จากนั้นก็พึมพำขึ้นว่า "ขี่หลังเสือแล้วยากจะลง ดังนั้น ข้าจึงต้องเป็นผู้คุยกับแม่ทัพหลี่เอง ไม่ใช่ให้หลีอ๋องทรงออกหน้าเจรจา"

  เมื่อฮูหยินจูได้ยินเช่นนี้ ก็ประจักษ์ชัดว่าสามีของนาง มีความคิดอยู่ในหัวแล้ว ดังนั้นนางจึงตัดสินใจรีบเอ่ยกำชับ " ในเมื่อเป็นเช่นนี้  ท่านก็รีบพูดให้เร็วดีกว่ารอไปเรื่อยๆ นายท่าน ฟังนะ ——"

   "ข้ามีความคิดของตัวเอง! เจ้าแค่ดูแลลูกสาวของเจ้าให้ดีก็แล้วกัน! “ กล่าวจบ นายท่านจูก็สะบัดแขนเสื้อตน

   ฮูหยินจูไม่ถือสาท่าทางของสามี เพียงพยักหน้าเห็นด้วย และอดกำชับนายท่านจูเพิ่มอีกสองสามคำไม่ได้

   ในเวลานี้ นางชิงชังเหลียนฟางโจวจริงๆ ไม่เคยมีใครกล้าที่จะไม่เห็นแก่หน้านางเช่นนี้! หลังจากจบปัญหาวุ่นวายนี้ หากเรื่องต่างๆไม่อาจจบลงได้อย่างน่าพอใจ ไม่ต้องพูดถึงบุตรสาวของนางเลย แม้แต่นางก็เสียหน้าไปด้วย และต่อไปนางจะต้องอยู่แต่ที่บ้าน และกระอักกระอ่วนใจที่จะออกไปสังสรรค์ข้างนอกอีก!

   ในวันนี้นายท่านจูและนายน้อยใหญ่จู ได้สั่งให้คนไปหยุดหลี่ฟู่ไว้ และเชิญเขาไปที่ภัตรคาร ซึ่งหลี่ฟู่ก็รู้แก่ใจดีว่าพวกเขามีวัตถุประสงค์อันใด

    เดิมทีชายหนุ่มอยากตอบปฏิเสธ แต่แล้วก็คิดได้ว่า หากไม่มีการเจรจากันต่อหน้าเพื่อหาข้อสรุป การปฏิเสธก็จะเป็นไปไม่ได้ ช้าเร็วก็ต้องพบกันอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงยินดีตอบรับคำเชิญ

**

[1]การสอบระดับเมืองหลวง หรือระดับประเทศ (metropolitan exams หรือ national exams) หรือเรียกว่า ฮุ้ยชื่อ (อังกฤษ: huishi, จีน: 會試, พินอิน: Huì shì, แปลตามตัวอักษรว่า "การสอบประชุมใหญ่ (conference exam) ") มีการสอบทุก ๆ 3 ปี โดยจัดสอบในเมืองหลวง และมีขุนนางฝ่ายพิธีกรรมเป็นผู้คุมสอบ เนื่องจากการสอบมักจัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ จึงเรียกการสอบในระดับนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "ชุนซื่อ" หรือการสอบในฤดูใบไม้ผลิ


1 ความคิดเห็น: