เมื่อหลีอ๋องได้ยินข่าว เขาก็ส่ายหน้ายิ้มๆในห้องหนังสือ
เหตุใดตระกูลของพ่อตาข้า ถึงได้พ่ายแพ้รวดเร็วถึงเพียงนี้?
ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เมื่อเสด็จพ่อได้ปรับเปลี่ยนเรื่องงานในราชสำนักให้ถูกที่ถูกทางอย่างไร้ความปราณี เมืองหลวงก็เงียบสงบไปพักหนึ่ง และสุขภาพขององค์รัชทายาทก็ค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ หลังจากได้พักฟื้นชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งทําให้หลีอ๋องอึดอัดในอย่างสุดจะบรรยาย
ดังนั้นเขาจึงหวังว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เพื่อทําลายความสงบสุขนี้ การกวนน้ำให้ขุ่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ใครเล่าจะรู้ว่าในเวลาเพียงไม่กี่วัน ตระกูลจูที่สร้างกระแสความปั่นป่วนและลงมืออย่างหนักหน่วง ก็หยุดมือไปเสียเฉยๆ ส่วนน้องสาวภรรยาของเขา ก็ต้องจางหายไปจากสายตาของชาวบ้านชาวเมืองชั่วคราว ด้วยใช้ข้ออ้างว่าไปถือศีลภาวนา
แม่ทัพหลี่ และฮูหยินหลี่…ผู้หญิงบ้านนอกคนนั้นมีอํานาจขนาดนั้นเชียวเหรอ?
หรือว่าเขาควรจะพูดว่า เป็นเพราะนางโง่เขลา นางจึงไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม แม่ทัพหลี่คอยปกป้องนางจริงๆ! ซึ่งไม่มีข้อกังขาในเรื่องนั้นเลย
ไม่ถึงสองวัน พระชายาหลีได้ส่งหลิ่วเย่วไปยังจวนของเหลียนฟางโจว เพื่อมอบผ้าไหมทอยกดอกสิบพับ และปิ่นระย้าทองฝังอัญมณีและหยกเขียวลายร้อยลูกพันหลาน 1 คู่ โสมภูเขาเก่าแก่ 1 ต้น แม้ว่าจะแสดงความห่วงใยต่อครรภ์ของเธอตามธรรมเนียม เหลียนฟางโจวก็ยังสามารถจับความหมายที่ซ่อนอยู่ได้สองประการ
นี่คือการลบล้างสิ่งบาดหมางใดๆที่เคยมีมา และเปิดเผยความตั้งใจของตระกูลจูที่จะฉลองการมีความสัมพันธ์อันดีกับฝั่งตระกูลหลี่
เหลียนฟางโจวยินดีที่จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งอยู่แล้ว แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เหตุใดพระชายาหลีถึงทําเช่นนี้ แต่เธอก็ยังคงยอมรับของขวัญด้วยความยินดี และตบรางวัลแก่หลิ่วเย่วและสาวใช้สองคนที่มาด้วยกัน เหลียนฟางโจวกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายไปหลายประโยค และแสดงออกว่าเธอยอมรับความเมตตาของพระชายาหลีในครั้งนี้
ต่อมาภายหลัง เหลียนฟางโจวก็อดถอนหายใจ ใส่ชุนซิ่งและปี้เถา ที่ทำสีหน้าตกตะลึงไม่ได้: "ดูพวกเจ้าทำหน้าเข้าสิ! ในใต้หล้านี้ การทำตัวเป็นคนร้ายๆ เทียบกันแล้วก็ยังคุ้มค่ากว่า! หากเจ้าทำตัวเป็นคนหัวอ่อนนิดหนึ่ง เจ้าก็จะกลายเป็นลูกพลับนิ่มในมือคนอื่น! "
กล่าวได้ว่าสองสาวใช้ทนไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ฉลาด
ชุนซิ่งยิ้มแย้ม แล้วเอ่ยขึ้น "นับว่าฮูหยินเป็นคนโชคดี และนายท่านก็ปกป้องฮูหยินด้วย! หากลองเปลี่ยนเป็นคนอื่น ท่านคงไม่สามารถเป็นคนร้ายๆได้หรอกเจ้าค่ะ! "
ปี้เถาพยักหน้าหงึกหงัก : "ใช่แล้ว ใช่แล้ว บ่าวก็คิดเช่นเดียวกัน บ่าวไม่เคยบอกพี่ชุนซิ่งเลย แต่นางก็เข้าใจเหมือนกันเจ้าค่ะ!"
เหลียนฟางโจวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ และหลังจากคิดทบทวนอย่างรอบคอบ เธอก็จำต้องพยักหน้าและถอนหายใจ "พวกเจ้าสองคนพูดถูกแล้ว ข้าไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย!"
ลงท้าย ชะตากรรมของผู้หญิง ก็ยังคงอยู่ในกำมือของผู้ชายอยู่ดี! แม้ว่าเหลียนฟางโจวไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็จำต้องยอมรับอยู่ดี
ไม่นานการสอบชุนชื่อก็จบลง
ก่อนการสอบ เหลียนฟางโจวก็ไม่สะดวกที่จะส่งคนไปเยี่ยมซุนหมิง เพราะกลัวจะทําให้ซุนหมิงมีปัญหาเพราะตัวเธอ แต่ถ้าเป็นหลังสอบแล้ว ย่อมไม่ผิดจริยธรรมอันใด
ตัวเธอเองก็ไม่สมควรจะออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงสั่งให้ชุนซิ่งและปี้เถานํารังนกอย่างดีหนักสองชั่ง ต้นเทียนหมาหนักครึ่งชั่ง รวมถึงเก๋ากี่ โสมและสิ่งอื่น ๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงเลือดลม เพื่อไปเยี่ยมเขาครั้งหนึ่ง และถามเขาว่าการสอบเป็นอย่างไร
เมื่อชุนซิ่งและปี้เถากลับมารายงาน เหลียนฟางโจวจึงรู้ว่าซุนหมิงทำข้อสอบได้ดี และเธอรู้ว่าเขาไม่เคยเป็นคนที่ชอบขี้โม้โอ้อวด หากเขาบอกว่าทำได้ดี มันก็ต้องดีจริงๆ และนางก็ยินดีกับเขาเช่นกัน
คราวนี้ ก็ถือว่าลุงซุนและป้าซุน สองสามีภรรยา บรรลุความสำเร็จแล้วเช่นกัน
ปี้เถากระพริบตาอีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้มกับนายสาว "บ่าวยังรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายซุนกับคุณหนูซูดูเหมือนจะดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ! คุณหนูซูไม่แค่นเสียงใส่บ่าวแล้ว เพียงแต่นางยังไม่เป็นฝ่ายเริ่มมาพูดอะไรดีๆด้วย แต่ท่าทีของนางก็นับว่าดีใช้ได้เจ้าค่ะ! "
เหลียนฟางโจวหูผึ่งในทันใด จู่ๆก็เกิดนึกอยากรู้เรื่องราวลึกๆขึ้นมา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "จริงเหรอ? เล่ามาสิว่า สถานการณ์เป็นยังไง! "
หลังจากซักถามปี้เถาอย่างละเอียด เหลียนฟางโจวก็อดปรบมือหัวเราะไม่ได้ "ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะดีขึ้นมากจริงๆ!" หญิงสาวจึงหัวเราะแล้วถอนหายใจ "พี่ใหญ่ซุนเก่งจริงๆ! เขากำราบคุณหนูซูได้รวดเร็วอะไรเช่นนี้! คุณหนูใหญ่ซูเป็นคนดีทิฐิสูงนัก และเป็นคนดื้อด้าน นางเป็นคนที่เอาแต่ใจ หยาบคายไร้เหตุผล หัวรั้นอย่างหาตัวจับยาก! "
"แล้วใครจะบอกว่าไม่ใช่กันเล่าเจ้าคะ" ปี้เถายิ้มและชี้ไปในทิศทางของเรือนถือศีลภาวนา "เทียบแล้วก็แค่ยากกว่าคนทางโน้นเจ้าค่ะ!"
เหลียนฟางโจวหลุดยิ้มออกมา
ชุนซิ่งก็ยิ้มตาม แต่เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย "บ่าวคิดว่าฮูหยินและน้องปี้เถากำลังคิดซับซ้อนเกินไปหน่อย! คุณหนูซูย่อมเป็นคนแบบนั้นต่อหน้าคนนอก แต่เหนืออื่นใด คุณชายซุนก็เป็นสามีของนาง และเขาไม่มีความคิดจะเกาะตระกูลซู ดังนั้นคุณหนูซูจะเอาชนะเขาได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ! "
เหลียนฟางโจวชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วจึงยิ้มออกมา "สิ่งที่เจ้าพูดมาสมเหตุสมผลดี! ถูกต้องแล้ว! พี่ใหญ่ซูเป็นคนหยิ่งทะนงมาโดยตลอด และไม่ใช่ความหยิ่งทะนง เพราะหลงตัวเอง แต่เป็นความหยิ่งทะนงซึ่งอยู่ระหว่างความด้อยกว่าและความนับถือตนเอง แต่ความหยิ่งทะนงที่ไม่มีความโลภอยู่ในกมลสันดาน จึงกลายเป็นโชคดีของคุณหนูซูที่ได้แต่งงานกับเขา! "
ขณะที่หญิงสาวพูด ก็เหลือบมองไปยังปี้เถาและ ชุนซิ่ง แล้วถอนหายใจด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็มีชะตากรรมของตัวเอง! หากใครมาบอกข้าว่า ทั้งสองคนจะได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ข้าไม่มีทางเชื่อแน่! เพราะเห็นได้ชัดว่า คนสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย! ใครเล่าจะรู้ว่าเมื่อถึงเวลาโชคชะตากำหนด ก็ไม่มีใครหยุดได้! ข้าไม่รู้ว่าโชคชะตาของพวกเจ้าทั้งสองคนอยู่ที่ไหนกัน! "
ปี้เถาและชุนซิ่งไม่คาดคิดว่าไฟนี้จะมาลุกไหม้บนร่างกายของพวกตน ทั้งสองต่างมองหน้ากันไปมา แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมๆกัน "ไม่เจ้าค่ะ บ่าวไม่แต่งงานเจ้าค่ะ! บ่าวจะอยู่รับใช้ฮูหยินไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ! "
น้ําเสียงของปี้เถาค่อนข้างกัดฟันพูดหน่อยๆ ส่วนชุนซิ่งวิตกเล็กน้อย
เหลียนฟางโจวจะถือสาคําพูดของพวกนางเป็นจริงเป็นจังที่ไหน? เธอคลี่ยิ้มบางแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ความจริงแล้ว ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าว่า การแต่งงานยังต้องหาคู่ที่เหมาะสมกัน ในอนาคตเมื่อพวกเจ้าพบคนดีที่เหมาะสมกับพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะเข้าใจคําพูดของข้าเอง! "
ชุนซิ่งและปี้เถานิ่งงันไป เมื่อเห็นว่าเหลียนฟางโจวก็คร้านจะตอบรับ "การไม่แต่งงาน" ของพวกนาง
เหลียนฟางโจวเพียงพยักหน้ายิ้มๆ แล้วไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก และทั้งสองคนจึงหลับตาลงเพื่อทำใจ
หลังจากผ่านไป 11 หรือ 12 วัน ผลการสอบก็ออกมา
เหลียนฟางโจวขอให้ลั่วกว่างไปสอบถาม และคัดลอกรายชื่อกลับมาให้เธอดู
เป็นไปตามคาด มีชื่อซุนหมิงอยู่ในรายชื่อผู้สอบผ่านที่ได้คุณวุฒิจิ้นซื่อด้วย ส่วนเหลียนไห่สอบตก ไม่มีชื่ออยู่ในรายชื่อเหล่านั้น
ที่บ้านซุนหมิง หลี่ฟู่ก็ไปกล่าวแสดงความยินดีด้วยตนเอง และซุนหมิงพาซูซินเอ๋อร์ได้มาเยี่ยมที่จวนตระกูลหลี่อีกครั้งในฐานะแขก
ส่วนเหลียนไห่เนื่องจากเขาซ่อนตัวอยู่ห่างไกล เหลียนฟางโจวจึงไม่ได้ส่งคนไปสอบถามว่าเขาอยู่ที่ไหน และเพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้
หลังจากการทดสอบหน้าพระที่นั่ง การจัดอันดับที่แท้จริงก็ออกมา
อันดับของซุนหมิงนั้นไม่ต่ำจริง ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อันดับที่หนึ่งหรืออันดับที่สอง แต่ก็ได้อันดับที่สิบหก จึงไม่น่าแปลกใจ ที่เขาต้องรั้งอยู่ในเมืองหลวง และก้าวเข้าสู่สำนักราชบัณฑิตหลวง หรือสำนักฮั่นหลินในฐานะบัณฑิต
ณ จุดนี้การสอบชุนชื่อทุกสามปี ก็ใกล้จะปิดม่านลงแล้ว
ผู้สมัครสอบที่ตกจากรายชื่อยังคงอยู่เพื่อเฝ้าดูบรรยากาศตื่นเต้นคึกคักจนหยดสุดท้าย และยังมีผู้ที่ได้รับเชิญให้กลับบ้านเกิดของพวกเขา เพื่อกลับมาต่อสู้อีกครั้งในการสอบครั้งต่อไป
ซุนหมิงนั้นยุ่งอยู่ในหมู่เหล่าจิ้นซื่อใหม่ โดยต้องไปทำการคารวะอาจารย์ ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉยงหลิน และเข้าร่วมในงานเลี้ยงที่มีชื่อเสียงต่างๆหลายงาน เขาจึงยุ่งวุ่นวายไม่สิ้นสุด
ขุนนางฝ่ายบุ๋นและขุนนางฝ่ายบู๊ ต่างแยกกันฝ่ายกันเป็นเอกเทศ เพราะหลี่ฟู่เป็นขุนนางฝั่งบู๊ เหลียนฟางโจวก็ไม่สะดวกจะเข้าใกล้เขามากเกินไป หากเขามีเรื่องต้องการความช่วยเหลือ ก็ให้ส่งคนมาบอก ไม่จำเป็นต้องพบกันอย่างเป็นทางการตามมารยาท จากนี้จะไม่ไปมาหาสู่กันอีกต่อไป
…
ขอบคุณมากค่ะไรท์
ตอบลบ