วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 789 ขู่ถางสยงให้กลัว

      เหลียนไห่รู้สึกกลัวและยิ้มอย่างขุ่นเคืองใจ "ฟางโจว เจ้ายังคงอารมณ์ร้อนอยู่ดี... ที่นี่คือเมืองหลวง เจ้า เฮ้อ เจ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เหรอ? ขืนเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะเป็นศัตรูกับคนอื่นไปทั่ว และอนาคตจะลำบากเอานะ! "


    เหลียนฟางโจวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แล้วเอ่ยขึ้น "ข้าเปลี่ยนไปมากแล้วนะ! ท่านก็เห็นว่า ตระกูลจูทำเกินไปจริงๆ และข้าเองก็ไม่ได้ตอบโต้ทางฝ่ายโน้นเลย และไม่ได้สนใจเลยด้วย! ถ้าหากคนพวกนั้นยืนกรานจะยั่วให้ข้าโกรธต่อไป ก็แสดงว่าพวกเขาต้องการบาดหมางกับข้าอย่างถาวรแล้ว นั่นคือ หากข้ายอมลงให้พวกเขา  ข้าถึงจะไม่มีความผิดใช่ไหม? แต่ถึงจะยอมลงให้  พวกเขาก็ยังคงไม่ชอบหน้าข้าอยู่ดี! อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้ขอพวกเขากิน แล้วข้าต้องกลัวสิ่งใดเล่า! "

   เหลียนไห่จุกแน่นไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วนึกบ่นในใจ ถ้าหากนางไม่สนใจ นางก็จะไม่เล่นงานอีกฝ่ายกลับจริงๆเหรอ? ไม่เช่นนั้น  เหตุใดตระกูลจูถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเล่า!

   อย่างไรก็ตาม เขารู้ซึ้งถึงนิสัยของถางเม่ยผู้นี้ดี และเมื่อเห็นว่านางไม่ได้ดื้อรันหัวชนฝา และเห็นว่า นางเองก็ไม่ได้เล่นงานตระกูลจูจริงๆ เขาจึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

    อย่างไรก็ตาม การได้อาศัยอยู่ที่นี่… เหลียนไห่ยังรู้สึกลังเลใจอยู่

    เขาจำต้องปลุกปลอบจิตใจตนเองให้ฮึกเหิม แล้วจึงฝืนยิ้มออกมา: "แต่เหนืออื่นใด อนาคตคนเรายังอีกยาวไกล  การให้อภัยผู้อื่น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า!" 

    เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ถางสยง ท่านเป็นคนดี และนิสัยดียิ่ง ซึ่งข้าคงทําไม่ได้อย่างแน่นอน! ในจุดนี้ เอ่อ ชั่วชีวิตนี้ข้าเองก็คงไปไม่ถึงเช่นกัน"

   เหลียนไห่ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ  เดิมทีเขายังอยากโน้มน้าวเหลียนฟางโจวอีกสองสามคํา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโน้มน้าวนางให้ปล่อยวางเรื่องที่เคยทะเลาะกับตระกูลจูเมื่อก่อนหน้านี้ได้ แต่พอนางพูดมาแบบนี้  หากเขาพยายามโน้มน้าวนางอีกครั้ง คงไม่ใช่เรื่องดีแล้ว

    เหลียนไห่ลอบจับตาดูอยู่ห่างๆ  และคิดว่า ด้วยนิสัยของเหลียนฟางโจว มีสิทธิ์ว่านางน่าจะสร้างปัญหาในอนาคต แล้วเขาจะอยู่ดีกินดีในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้ทรงอำนาจบารมีได้อย่างไร?

   ผู้ชายคนไหนจะอยากได้ผู้หญิงเช่นนี้กัน? ต่อให้นางจะปรับปรุงนิสัยมาพักหนึ่งแล้ว  มันก็ต้องใช้เวลายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากนิสัยของนาง มาขัดขวางอาชีพขุนนางของตัวเขาเข้า เมื่อถึงตอนนั้น จะไม่มีเรื่องร้องเรียนมาที่เขาได้อย่างไร?

   หากเอาแต่พึ่งพานางเพียงอย่างเดียว แล้วเกิดเรื่องร้องเรียนขึ้นมา เขาก็คงพึ่งพานางไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้นางยังจะมีประโยชน์อะไรอีก?

   การที่ตัวเขาอยู่ที่นี่ ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด ทางที่ดีเขาควรถอยห่างอีกฝ่ายให้ไกลดีกว่า จะได้ช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไปด้วย

   หลังจากตัดสินใจแล้ว เหลียนไห่ก็เริ่มกังวลอีกครั้ง: เขาต้องการกลับไปบ้านเกิดตนเองจริงๆหรือ? หลังกลับไปบ้านเกิดแล้ว เขาจะอธิบายเรื่องการสอบอย่างไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสหายและเพื่อนบ้านเก่าแก่พวกนั้น

   "ฟางโจว ที่เจ้าเพิ่งบอกมาเมื่อครู่นี้ว่า ข้าสามารถหาสถานที่ที่เงียบสงบที่ใดก็ได้ เพื่อใช้ในในการทบทวนตำรา  เรื่องนี้นับว่ามีเหตุผลเช่นกัน, แต่ทว่า-" เหลียนไห่ยิ้มเจื่อน รู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยถ้อยคำออกมา

   ใจของเหลียนฟางโจวเอง ก็คล้ายมีกระจกสะท้อนจิตใจอีกฝ่ายอยู่ภายใน ดูท่าว่า เขาคงรู้สึกอับอาย และไม่อยากกลับบ้านบ้านเกิด แต่เขาก็ขัดสนเงินทองเกินกว่าจะเดินทางไกลเป็นแน่

   เหลียนฟางโจวเองก็ยินดีจะจ่ายเงินในส่วนนี้ ดังนั้นหญิงสาวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "ตั้งแต่ถางสยงมาถึงเมืองหลวง ข้ายังไม่เคยให้การต้อนรับท่านเลย ข้าเองก็รู้สึกละอายใจเช่นกัน!  ดีแล้วที่ถางสยงอยากเดินทางท่องเที่ยว แต่ข้าคงไม่พูดอีก! แม้ครอบครัวข้าจะไม่ร่ำรวยอันใด  แต่เงินเจ็ดถึงแปดร้อยตำลึง ข้ายังคงพอมีอยู่บ้าง! "

   เหลียนไห่ดีใจมากที่ได้ยินแบบนี้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่า การใช้จ่ายเงินราวเจ็ดหรือแปดร้อยตำลึงในช่วงสามปี ดูจะน่าเป็นกังวลอยู่บ้าง  แต่เมื่อคิดใคร่ครวญแล้ว เขาไม่จําเป็นต้องอยู่ข้างนอกเป็นเวลาถึงสามปี อยู่เพียงแค่หนึ่งถึงสองปีก็เพียงพอแล้ว และหลังจากหลบลี้หนีหน้าไปชั่วคราว เขาย่อมสามารถกลับบ้านเกิดได้

    "ข้ากระดากใจจริงๆที่ต้องขอให้ถางเม่ยออกเงินให้" เหลียนไห่ยิ้ม ทำทีเป็นพูดปฏิเสธ แต่ในใจก็แอบลุ้นระทึก กลัวว่าเหลียนฟางโจวจะยอมรับคำปฏิเสธของเขาเข้าจริงๆ

    แต่ทันทีที่ผู้อื่นออกปาก แล้วเขาตอบตกลงทันที มันก็น่าอายยิ่งกว่านัก!

    โชคดีที่เหลียนฟางโจวมีความจริงใจให้เขาสองส่วน และยืนยันจะให้เงินเขา

    เหลียนไห่จึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป  "ขอบคุณถางเม่ย เงินนี้ข้าจะจ่ายคืนเจ้าในอนาคต ข้าจะชดเชยให้เจ้าอย่างแน่นอน!" 

    "ไม่ต้องหรอก  ท่านไม่ต้องกังวล แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆเอง!" เหลียนฟางโจวยิ้มแล้วจึงให้ชุนซิ่งไปเอาตั๋วเงินมาทันที

    เหลียนไห่รับตั๋วเงินไป แล้วกล่าวขอบคุณหญิงสาวอีกสองสามครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นกล่าวอำลา

   เหลียนฟางโจวก็ไม่ได้รั้งเขาให้อยู่ต่อเท่าไร แล้วก็สั่งให้คนออกไปส่งเขา

   ในไม่ช้า คำสั่งแต่งตั้งจิ้นซื่อหน้าใหม่ก็มีประกาศออกมา บางคนถูกส่งไปเป็นเจ้าเมืองตามเมืองต่างๆ บางคนเข้าสู่งานส่วนกลางในที่ทำการต่างๆในเมืองหลวง และบางคนก็เข้าสู่สำนักฮั่นหลิน(สำนักราชบัณฑิตหลวง)

   หลังจากประกาศรายชื่อสอบแล้ว ก่อนการแต่งตั้ง ผู้คนเหล่านี้ย่อมเป็นที่ภาคภูมิใจอย่างไม่ต้องสงสัย  พวกเขาจะเป็นจุดสนใจทุกที่ที่ไป ผู้คนล้วนแต่กล่าวสรรเสริญชื่นชมเมื่อพบพวกเขา  และพวกเขายังเป็นแขกผู้มีเกียรติที่สุดในงานเลี้ยงต่าง ๆ และผู้คนต่างแข่งขันกันเพื่อขอเป็นสหายด้วย

   สิ่งนี้มักจะทําให้เจ้าตัวบังเกิดลำพองใจ และความทะเยอทะยาน อย่างช่วยไม่ได้

   แต่เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาได้รับการแต่งตั้ง พวกเขาจะไม่มีเวลาปรับตัว และก็คล้ายตกจากเมฆลงมายังพื้นเบื้องล่างทันที กลายมาขุนนางชั้นต่ำสุดของแต่ละหน่วยงาน แม้แต่ขุนนางเก่าแก่ ก็สามารถชี้นิ้วสั่งงานพวกเขาได้อย่างถูกต้องชอบธรรม

   ท้ายที่สุด ในแง่ภาพรวมของทั้งแคว้น จิ้นซื่อนับเป็นมังกรและหงส์ในหมู่คน แต่ในแวดวงขุนนาง ก็ยังมีขุนนางตัวจริงอยู่หลายคนที่ไม่ได้มาจากจิ้นซื่อ?

   ช่องว่างชนิดนี้ทําให้หลายคนไม่อาจทำใจยอมรับได้  เพราะมันเหมือนกับโดนคนเทอ่างน้ําเย็นรดหัวทันที ซึ่งทำให้ใจที่เคยทะเยอทะยานภาคภูมิในตนเองหวั่นไหวในทันที  และนับแต่นั้นมา ก็ยากในการปรับปรุงหน้าที่การงานของตนเองให้เจริญรุ่งเรือง  บางคนก็บากบั่นทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางคนก็ยอมรับอย่างเยือกเย็น บางคนก็มีแต่ความขุ่นข้องหมองใจในใจ

    และเป็นดังคาด ด้วยลำดับคะแนนที่ซุนหมิงสอบได้ จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาถูกจัดให้เข้าไปทำงานอยู่ในสำนักฮั่นหลินในฐานะบัณฑิต

    หลังจากทราบผล เขาก็ส่งคนไปแจ้งเหลียนฟางโจวและหลี่ฟู่ที่จวนทันที

    หลี่ฟู่และเหลียนฟางโจวต่างชื่นชมยินดีกับเขา และส่งพ่อบ้านเฉียนเป็นตัวแทนไปแสดงความยินดีกับเขาด้วย

   เหลียนฟางโจวตรึกตรองอยู่สักพัก จึงสั่งให้พ่อบ้านเฉียนนำจดหมายไปส่งถึงซุนหมิงด้วย

   ในจดหมายนอกเหนือจากถ้อยคำแสดงความยินดีแล้ว ยังมีเนื้อความอื่น ๆ ในจดหมาย ซึ่งกล่าวถึงผลกระทบที่เขาได้เข้าสู่สำนักฮั่นหลิน และจะต้องเดินตามเส้นทางของขุนนางฝ่ายพลเรือนในอนาคต ซึ่งแตกต่างจากหลี่ฟู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนทั้งหลาย ในฉากหน้า ทั้งสองครอบครัวควรมีการติดต่อกันให้น้อยลงจะดีกว่า แต่หากมีเรื่องใดต้องการให้ช่วย ก็สามารถส่งคนมาบอกกล่าวได้ โดยไม่ต้องลังเลใดๆ 

   ซุนหมิงอ่านจดหมายแล้ว ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ และแอบถอนหายใจ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขารู้ว่าฟางโจวเป็นคนที่คิดถึงจิตใจของผู้อื่นที่สุด และตอนนี้ก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเดิม

   เขารู้สึกละอายใจหน่อยๆ จากมุมมองทางอารมณ์ความรู้สึก เขาไม่ยินดีจะทำตัวห่างเหินกับเหลียนฟางโจวและหลี่ฟู่ แต่จากมุมมองของตําแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการและอนาคตในหน้าที่การงาน การทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมดังเดิม มันเป็นไปไม่ได้

   ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองฝ่ายมีเส้นทางที่แตกต่างกัน!

   คําพูดของเหลียนฟางโจวทําให้ซุนหมิงรู้สึกโล่งใจ และรู้สึกผิดเป็นอย่างมากในเวลาเดียวกัน เพราะดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นคนเนรคุณคน

   เมื่อคิดทบทวนอีกที  การทำตัวห่างๆกันแบบนี้ ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่ดี  เพราะพวกเขาจะได้ไม่ต้องมากระอักกระอ่วนใจกันในภายหลัง

   จะให้ทำเหมือนเหลียนไห่ เขาคงทำไม่ได้

   หลังจากคิดทบทวนเรื่องนี้ ซุนหมิงจึงตอบจดหมายเหลียนฟางโจวกลับไป

   หลังจากเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ รัชทายาทได้รับราชโองการ เดินทางออกจากเมืองหลวงไปยังเหอหนานเพื่อสำรวจสถานการณ์การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อปีที่แล้วแม่น้ําฮวงโหได้ท่วมบ้านเรือนมากมายนับไม่ถ้วน จนเกิดความเสียหายอย่างหนัก ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ถูกน้ําท่วม และแม้ว่าทางราชสำนักจะจัดสรรเงินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติและการบูรณะซ่อมแซมแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจ ก็จะมีการส่งคนไปตรวจดูเสมอ

    ภายในสองวัน หลี่ฟู่ยังต้องไปที่ค่ายทหารกองพลที่ห้า ที่ตั้งอยู่นอกเมืองเพื่อฝึกทหาร และต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการไปแต่ละครั้ง

   "ข้าจะทิ้งลั่วกว่างไว้ให้เจ้า!  ทิ้งเขาไว้ที่นี่ ข้าถึงวางใจมากกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ขอให้อยู่ที่จวนดูแลลูกในครรภ์ให้ดี  ขอให้มั่นใจว่า ข้าจะอยู่ที่จวนตอนที่เจ้าจะคลอดเขาอย่างแน่นอน! " ช่างเป็นเรื่องทรมานใจจริงๆในช่วงสองสามวันก่อนที่จะแยกจากกัน และเมื่อถึงวันที่ต้องห่างไกลกัน ก็คงยากจะทำใจได้

    ทันทีทีเขาคิดว่า เขาจะต้องไปที่ค่ายทหารกองพลที่ห้าหลังจากไปเข้าประชุมในพระราชวังในเช้าวันพรุ่งนี้  เพื่อถวายพระพรลาฮ่องเต้ และคืนพรุ่งนี้เขาจะต้องนอนคนเดียวบนเตียงธรรมดาในกระโจมทหารที่ไม่อุ่น ไม่มีกลิ่นหอม ไม่มีคนตัวนุ่มนิ่มให้กอดอีกต่อไป เขาจึงอยากมีเวลาในคืนนี้ให้นานขึ้นอีกนิด!

    และยิ่งเขากอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนมากเท่าไร เขาก็ไม่อยากจะปล่อยมือเลย


2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ4 มีนาคม 2567 เวลา 00:10

    ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  2. ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีกระหว่างที่หลี่ฟู่ไม่อยู่
    รวมทั้งรับจะทายาทที่ออกเดินทางไปไกล

    ตอบลบ